พอดีวันนี้มีโอกาสได้ไปต่อวีซ่าอเมริกามาค่ะ เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ ครั้งแรกที่ได้วีซ่ามา 10 ปีไม่ได้แชร์ไว้แล้วก็ลืมๆ เลยอยากบันทึกไว้ให้อ่านกันค่ะ
ขอเล่าคร่าวๆ ก่อนละกันเนอะ เราเคยขอวีซ่าอเมริกาครั้งแรกปี 2002 ตอนนั้นอายุ 20 กว่าๆ เงินเดือนนิดเดียว โสด ไม่เคยไปต่างประเทศ ภาษาอังกฤษอ่อนมากๆ เพิ่งเริ่มทำงานที่แรก อายุงานประมาณปีกว่าๆ แต่เราอยากไปหาโอกาสใหม่ๆ ที่อเมริกา เพราะมีน้องสาวและญาติๆ อยู่ที่โน่นหลายคน ไม่มีหลักฐานการจองโรงแรมเพราะรู้อยู่แล้วว่าจะไปอยู่บ้านน้องสาว แต่ระบุในใบ D-160 ว่าไม่มีญาติและไม่รู้จักใครที่โน่น (เคยอ่านเจอว่าถ้ามีญาติอยู่ที่โน่น โอกาสได้วีซ่าจะน้อย) หลักฐานการเงินแม่เราโอนเงินก้อนเข้าบัญชีเพื่อสร้าง statement ให้ประมาณ 5 แสน และมีเอกสารขอลางาน 3 เดือน (ตั้งใจว่าถ้าวีซ่าผ่านค่อยลาออก) - แน่นอนวีซ่าไม่ผ่านค่ะ (เพราะเรามีเจตนาแอบแฝงจริงและไม่ว่าจะโกหกด้วยเอกสารยังไง เขาก็ดูรู้ค่ะ อย่าลืมว่าเขาอยู่ตรงนั้นวันๆ นึงมีคนหลายชนชั้นหลายประเภทมาขอวีซ่าในรุปแบบที่แตกต่างกันตลอดเวลา) แต่ยังไม่วายรู้สึกโมโหที่โดนปฏิเสธวีซ่า เพราะถึงเราอยากจะไปหาโอกาสที่โน่นแต่คิดว่ายังไงก็ต้องกลับมาเมืองไทยอยู่แล้ว และคิดว่าชาตินี้คงจะไม่ไปเหยียบอเมริกาแน่นอน เลยไปขอประเทศออสเตรเลียในปีเดียวกัน (ประชด) ปรากฎว่าขอไปออสเตรเลียเราได้วีซ่า (ที่ยื่นคือต้องไปเที่ยวออสเตรเลียจริงๆ ไม่เคยไปต่างประเทศ ไม่มีญาติ ต้องจองโรงแรม ตั๋วเครื่องยิน วางแผนการเดินทางจริงทุกอย่าง ลางานจริงได้แค่ 5 วัน รวมเสาร์อาทิตย์เป็น 7 เพราะกลัวกลับมาแล้วไม่มีงานทำ) ได้วีซ่าแบบ single entry มา 10 วัน
ปี 2007 เราจำเป็นต้องขอวีซ่าอเมริกาอีกครั้ง เพราะว่าแม่เราอยากไปเยี่ยมหลานชายที่ย้ายไปอยู่กับน้องสาวตั้งแต่ 5 ขวบ และน้องสาวเราเพิ่งคลอดลูกสาวอีก 1 คน เราไม่ได้อยากไปแต่ต้องพาแม่ไป เพราะแม่เราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราว่างงานด้วยซ้ำตอนนั้น เพิ่งออกจากงานเก่าที่ทำมา 11 ปี และย้ายไปอยู่กับแฟนที่ภูเก็ต แม่เราเปิดร้านสปาที่บ้านให้แต่เราไม่ค่อยดูแลเท่าไหร่ ให้น้องสะไภ้ดูแลกิจการแทนมากกว่า ตั้งใจว่าจะแค่พาแม่เดินทางไปส่งให้ถึง california แล้วก็อยู่สักอาทิตย์แล้วกลับ ส่วนแม่เราจะอยู่ต่อสักเดือนนึงแล้วค่อยกลับมาเมืองไทยพร้อมน้องสาว ก็เตรียมเอกสารทุกอย่างตามความเป็นจริง ก็คิดว่าถ้าคราวนี้ไม่ได้อีกก็ไม่เป็นไรเพราะไม่ได้อยากไปเลย
- เรากรอกทุกอย่างตามจริง ไม่มีใบรับรองเงินเดือน ทำธุรกิจส่วนตัว (ร้านสปาและเสริมสวย)
- กรอกเอกสารทุกอย่างของแม่และของเราตามจริง ระบุที่อยู่ของน้องสาวใน california พร้อมชื่อและเบอร์โทร ของแม่ระบุระยะเวลาพำนัก 30 วัน ของเราอยู่ 2 สัปดาห์
- เหตุผลในการเดินทางคือ แม่ต้องการไปเยี่ยมลูกสาว (น้องสาวเรา) และหลานๆ ก่อนจะไม่มีโอกาสเพราะแม่อายุมากแล้ว (54) และมีโรคประจำตัว และแม่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราเลยต้องบินไปเป็นเพื่อน แต่เราจะอยู่แค่ 2 สัปดาห์และกลับก่อน เพราะต้องกลับมาหาแฟน และดูแลกิจการกับคุณพ่อที่บ้าน
- ค่าใช้จ่ายในการเดินทางออกกันเองทั้งหมด ไม่มี sponsor เรามีเงินในบัญชีแค่ 9 หมื่นกว่าบาท ของแม่ประมาณ 3 แสน
- พาสปอร์ตของเราเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้านบ้าง เพราะเรื่องงานและมีวีซ่าออสเตรเลีย
- มีใบจองตั๋วเครื่องบินระบุวันกลับพร้อม
วันสัมภาษณ์ เราใช้ภาษาอังกฤษ เพราะตอนนั้นมีแฟนต่างชาติ และภาษาอังกฤษเราเริ่มแข็งแรง ตอบตามจริงทุกอย่าง แทบไม่ขอดูเอกสารที่เตรียมไป - ผลคือวีซ่าผ่านทั้งคู่ได้คนละ 10 ปีมาแบบงงๆ และเดินทางครั้งแรกหลังได้วีซ่ามา 3 เดือน
วีซ่า 10 ปีที่ได้มา เรากับแม่ไปหาน้องสาวที่ california และอยู่ประมาณ 1 เดือน ทนหนาวไม่ไหวก็กลับเมืองไทย หลังจากนั้นก็มีไปยี่ยมน้าๆ เข้าออกที่ Hawaii อีก 2-3 ครั้ง อยู่นานที่สุดที่คือ 5 เดือน ตอนปี 2013 เพราะว่างงาน
ปี 2017 วันนี้วีซ่า 10 ปี กำลังจะหมดอายุในเดือนธันวาคม และเรามีแพลนต้องไป Hawaii อีกแล้ว (แฟนใหม่ซื้อบ้านที่ Hawaii เอาไว้และอยากให้เราไปช่วยตกแต่ง) และแม่เราก็อยากไปเยี่ยมน้าๆ ด้วย เราทั้งคู่เลยต้องไปต่ออายุวีซ๋าที่ได้มาอีกครั้ง
- เริ่มจากหาข้อมูล หลายที่บอกว่าการต่อวีซ่าสามารถยื่นเอกสารทางไปรษณีย์ได้และไม่ต้องถูกสัมภาษณ์ เราก็ทำตามขั้นตอนที่หลายเวปไซต์ (ที่เชื่อถือได้) แนะนำไว้
- กรอกข้อมูล D-160 ของทั้งเราและแม่ คราวนี้ปลายทางที่ต้องการไปคือ Hawaii ใช้ที่อยู่ของลุงที่ Honolulu และชื่อบุคคลอ้างอิงคือน้าสาวเราเอง
- ระบุญาติทางตรงคือ น้องสาวของเรา (หรือลูกสาวของแม่) ที่อยู่ california
- ระบุวันเดินทาง 2 สัปดาห์ คือ 18-31 ธันวาคม (ยังไม่ได้จองตั๋วเครื่องบิน)
- ของเรา ระบุข้อมูลที่ทำงานใหม่ พร้อมตำแหน่งและเงินเดือน 6 หลัก
- ของแม่ ระบุว่าเป็นแม่บ้าน ไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้และเป็นแม่หม้าย (คุณพ่อเพิ่งเสีย) และระบุชื่อเราเป็นผู้กรอกเอกสารในฟอร์ม D-160 แทนทั้งหมด
วันสัมภาษณ์ นัด 09:30
09:15 มาถึงหน้าสถานทูต มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงขอดูเอกสารนัดสัมภาษณ์และพาสปอร์ต ให้บัตรผ่านมา 2 ใบ เอาไปยื่นให้จุดตรวจคนละใบ ทำการปิดโทรศัพท์มือถือและใช้บัตรประชาชนฝากของไว้
09:20 เข้ามานั่งรอด้านใน ก้นยังไม่ทันหย่อนถึงเก้าอี้ ก็มีเจ้าหน้าที่เรียก "คนที่มาสัมภาษณ์รอบ 7:30-9:30 เชิญเข้าแถวค่ะ" เราก็ไปเข้าแถว เจ้าหน้าที่ขอแค่เอกสารการกรอกฟอร์ม D-160 พร้อมพาสปอร์ตเล่มปัจจุบัน และถามว่าเคยได้วีซ่ามาแล้วใช่หรือไม่คะ และขอพาสปอร์ตเล่มที่มีวีซ่าอเมริกาไปด้วย เรายื่นให้เจ้าหน้าที่จัดเอกสารใส่พลาสติกใสเป็นสองชุด พร้อมเขียนคำว่า IWP ไว้บนเอกสารทั้งสองชุด และบอกว่าให้ไปอ่านป้ายข้างหลัง (คือป้ายว่าให้เราจดหมายเลข EMS ไว้เพื่อติดตามสถานะการส่งพาสปอร์ตคืน) และเดินเข้าห้อง
09:30 เดินเข้าห้องไปหยุดรอยื่นเอกสารช่อง 11-13 เพื่อพิมพ์นิ้วมือ จนท.ไม่ถามอะไรมาก ให้พิมพ์นิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว และขอรูปถ่ายที่เตรียมไป 1 ใบติดกาวลงในฟอร์ม (สงสัยรูปที่ถ่ายตอนกรอกฟอร์มจะใช้ไม่ได้) แล้วยื่นเอกสารคืนให้ สักพักก็มองจอแล้วขอเอกสารเรากลับไปอีกรอบและขีดฆ่า IWP ของเราทิ้ง (ของแม่ไม่โดนขีดฆ่า) แล้วให้ไปเข้าแถวเพื่อสัมภาษณ์ที่ช่อง 7-9 (มารู้ทีหลังว่า IWP ย่อมาจาก Interview Waiver Program คือการต่อวีซ่าที่เคยได้รับและยกเว้นการสัมภาษณ์ ซึ่งตรงนี้ของเราโดนขีดฆ่าออกแปลว่าเราต้องไปสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่อีกรอบ -_-)
09:45 สัมภาษณ์กับฝรั่งกลางคนผู้ชายช่อง 8
เรา: good morning
จนท : สวัสดีครับ คุณแม่พูดภาษาอังกฤษได้ไหม
เรา : No, she can't - (แม่ยิ้มอย่างเดียว)
จนท.: คุณแม่วางมือขวานะคร่บ
แม่ : วางนิ้วเพื่อแสกน เสร็จแล้วหันกลับมาถามเราต่อ
จนท.: why are you going to America?
เรา : travelling (เสียงสูง) we're going to Hawaii (ยิ้มหวาน)
จนท.: do you have any relative over there?
เรา : Yes, my sister lives in California and my auntie is in Hawaii
จนท. is your sister a resident or citizen
เรา : she's a citizen
จนท. is she married to American?
เรา : yes
จนท. how long does she live in the US?
เรา : about 15-16 years
จนท. and your auntie is a citizen too?
เรา : yes
จนท : You're going to Hawaii but you're not going to visit your sister in California?
เรา : Actually... my sister is coming to Thailand on 8th November (เสียงสูง) so we will go to Hawaii this time (เราหันกลับไปคุยกับแม่ว่า หรือแม่อยากจะไปเยี่ยมน้องที่ california ไหม แม่บอกก็ไปได้ ไป ๆ มาๆ)
จนท. ถามเรื่องที่ทำงาน ตำแหน่งอะไร และทำมากี่ปีแล้ว
เรา : ตอบรายละเอียดที่ทำงาน ตำแหน่งและอายุงาน
จนท. have I asked you to scan your fingers?
เรา : (มองบน) here?.. not yet (พร้อมแสกนนิ้วมือขวา 4 นิ้วอีกครั้ง)
จนท.: ถามซ้ำว่า ไม่ไปเยี่ยมน้องสาวที่ california แน่นะ
เรา : hmmm...she's visiting us next month so not this time... may be next year? (ยิ้มหวาน)
จนท. : thank you you'll get your visa in 1 week
เรากับแม่ : ยิ้มหน้าบาน thank you พร้อมยกมือไหว้
09:54 ออกจากสถานทูต ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 30 นาที ตอนนี้ก็ได้แต่รอวีซ่ามาส่งทางไปรษณีย์จ้าาา เพิ่งนึกได้ว่าเขายึดพาสปอร์ตไปทั้งสองเล่ม เล่มปัจจุบันและเล่มที่เคยได้วีซ่า และเห็นแวบๆ ว่าจนท.ลงตราประทับเต็มหน้าวีซ่าเดิมด้วย น่าจะเป็นตราประทับแบบยกเลิก มีการยื่นขอใหม่แล้ว หรือห้ามใช้อะไรประมาณนี้ และพาสปอร์ตเล่มปัจจุบันเรามีวีซ่า schengen ที่ได้มา 1 ปียังไม่หมดอายุอยู่ด้วย
ปล. เอกสารที่เตรียมไปเพิ่มเติม มีแค่ด้านการเงินคือ 1) Statement บัญชีย้อนหลัง 6 เดือน 2) สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3 เดือน แต่จนท.ไม่ขอดูเอกสารใดๆ เพิ่มเติมทั้งสิ้น
เราว่าหัวใจสำคัญของการขอวีซ่าอเมริกา คือ
1. การระบุข้อมูลที่เป็นความจริงและให้สัมภาษณ์ตามจริง ทุกอย่างต้องสัมพันธ์กัน (จนท.ทุกคนน่าจะผ่านการฝึกจับเท็จมา) ข้อมูลพื้นฐานต้องมีความน่าเชื่อถือ ต้องไม่มีพิรุธหรือเจตนาอื่นแอบแฝง เอกสารและหลักฐานทุกอย่าง ต้องซัพพอร์ทเจตนาของการเดินทางได้ (แม้เขาจะไม่ขอดู แต่อาจจะแค่ถาม) ข้อมูลทุกอย่างที่เรากรอกไว้ใน D-160 สำคัญมาก
2. ตอนสัมภาษณ์เขาดูความเป็นไปได้จากเจตนาที่เราต้องการเข้าประเทศเขา และพิจารณาจากหลักฐาน และความหนักแน่นของตัวบุคคลที่มีต่อถิ่นพำนักในเมืองไทย
เราว่าวีซ่าอเมริกาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าเราไม่ได้มีเจตนาจะไปโดดร่มหรืออยู่เกินจนเป็นภาระให้ประเทศเขา หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง เอาใจช่วยทุกคนนะคะ
ปล.2 พ่อเราเคยพูดไว้ว่า "เป็นสิงห์อยู่ในป่า ดีกว่าเป็นหมาอยู่ในบ้าน" คำพูดนี้เปลี่ยนความคิดเราไปเลย และก็มาเปรียบเทียบว่า เออจริง เรามีตัวตนที่เมืองไทยมีหน้าที่การงานที่ดี มีเพื่อนและครอบครัวที่น่ารักห้อมล้อม ทำไมเราจะอยากไปเป็นประชากรชั้นสองของประเทศอื่นล่ะ
แชร์การต่อวีซ่าอเมริกา 10 ปี เสร็จภายใน 30 นาที
ขอเล่าคร่าวๆ ก่อนละกันเนอะ เราเคยขอวีซ่าอเมริกาครั้งแรกปี 2002 ตอนนั้นอายุ 20 กว่าๆ เงินเดือนนิดเดียว โสด ไม่เคยไปต่างประเทศ ภาษาอังกฤษอ่อนมากๆ เพิ่งเริ่มทำงานที่แรก อายุงานประมาณปีกว่าๆ แต่เราอยากไปหาโอกาสใหม่ๆ ที่อเมริกา เพราะมีน้องสาวและญาติๆ อยู่ที่โน่นหลายคน ไม่มีหลักฐานการจองโรงแรมเพราะรู้อยู่แล้วว่าจะไปอยู่บ้านน้องสาว แต่ระบุในใบ D-160 ว่าไม่มีญาติและไม่รู้จักใครที่โน่น (เคยอ่านเจอว่าถ้ามีญาติอยู่ที่โน่น โอกาสได้วีซ่าจะน้อย) หลักฐานการเงินแม่เราโอนเงินก้อนเข้าบัญชีเพื่อสร้าง statement ให้ประมาณ 5 แสน และมีเอกสารขอลางาน 3 เดือน (ตั้งใจว่าถ้าวีซ่าผ่านค่อยลาออก) - แน่นอนวีซ่าไม่ผ่านค่ะ (เพราะเรามีเจตนาแอบแฝงจริงและไม่ว่าจะโกหกด้วยเอกสารยังไง เขาก็ดูรู้ค่ะ อย่าลืมว่าเขาอยู่ตรงนั้นวันๆ นึงมีคนหลายชนชั้นหลายประเภทมาขอวีซ่าในรุปแบบที่แตกต่างกันตลอดเวลา) แต่ยังไม่วายรู้สึกโมโหที่โดนปฏิเสธวีซ่า เพราะถึงเราอยากจะไปหาโอกาสที่โน่นแต่คิดว่ายังไงก็ต้องกลับมาเมืองไทยอยู่แล้ว และคิดว่าชาตินี้คงจะไม่ไปเหยียบอเมริกาแน่นอน เลยไปขอประเทศออสเตรเลียในปีเดียวกัน (ประชด) ปรากฎว่าขอไปออสเตรเลียเราได้วีซ่า (ที่ยื่นคือต้องไปเที่ยวออสเตรเลียจริงๆ ไม่เคยไปต่างประเทศ ไม่มีญาติ ต้องจองโรงแรม ตั๋วเครื่องยิน วางแผนการเดินทางจริงทุกอย่าง ลางานจริงได้แค่ 5 วัน รวมเสาร์อาทิตย์เป็น 7 เพราะกลัวกลับมาแล้วไม่มีงานทำ) ได้วีซ่าแบบ single entry มา 10 วัน
ปี 2007 เราจำเป็นต้องขอวีซ่าอเมริกาอีกครั้ง เพราะว่าแม่เราอยากไปเยี่ยมหลานชายที่ย้ายไปอยู่กับน้องสาวตั้งแต่ 5 ขวบ และน้องสาวเราเพิ่งคลอดลูกสาวอีก 1 คน เราไม่ได้อยากไปแต่ต้องพาแม่ไป เพราะแม่เราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราว่างงานด้วยซ้ำตอนนั้น เพิ่งออกจากงานเก่าที่ทำมา 11 ปี และย้ายไปอยู่กับแฟนที่ภูเก็ต แม่เราเปิดร้านสปาที่บ้านให้แต่เราไม่ค่อยดูแลเท่าไหร่ ให้น้องสะไภ้ดูแลกิจการแทนมากกว่า ตั้งใจว่าจะแค่พาแม่เดินทางไปส่งให้ถึง california แล้วก็อยู่สักอาทิตย์แล้วกลับ ส่วนแม่เราจะอยู่ต่อสักเดือนนึงแล้วค่อยกลับมาเมืองไทยพร้อมน้องสาว ก็เตรียมเอกสารทุกอย่างตามความเป็นจริง ก็คิดว่าถ้าคราวนี้ไม่ได้อีกก็ไม่เป็นไรเพราะไม่ได้อยากไปเลย
- เรากรอกทุกอย่างตามจริง ไม่มีใบรับรองเงินเดือน ทำธุรกิจส่วนตัว (ร้านสปาและเสริมสวย)
- กรอกเอกสารทุกอย่างของแม่และของเราตามจริง ระบุที่อยู่ของน้องสาวใน california พร้อมชื่อและเบอร์โทร ของแม่ระบุระยะเวลาพำนัก 30 วัน ของเราอยู่ 2 สัปดาห์
- เหตุผลในการเดินทางคือ แม่ต้องการไปเยี่ยมลูกสาว (น้องสาวเรา) และหลานๆ ก่อนจะไม่มีโอกาสเพราะแม่อายุมากแล้ว (54) และมีโรคประจำตัว และแม่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราเลยต้องบินไปเป็นเพื่อน แต่เราจะอยู่แค่ 2 สัปดาห์และกลับก่อน เพราะต้องกลับมาหาแฟน และดูแลกิจการกับคุณพ่อที่บ้าน
- ค่าใช้จ่ายในการเดินทางออกกันเองทั้งหมด ไม่มี sponsor เรามีเงินในบัญชีแค่ 9 หมื่นกว่าบาท ของแม่ประมาณ 3 แสน
- พาสปอร์ตของเราเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้านบ้าง เพราะเรื่องงานและมีวีซ่าออสเตรเลีย
- มีใบจองตั๋วเครื่องบินระบุวันกลับพร้อม
วันสัมภาษณ์ เราใช้ภาษาอังกฤษ เพราะตอนนั้นมีแฟนต่างชาติ และภาษาอังกฤษเราเริ่มแข็งแรง ตอบตามจริงทุกอย่าง แทบไม่ขอดูเอกสารที่เตรียมไป - ผลคือวีซ่าผ่านทั้งคู่ได้คนละ 10 ปีมาแบบงงๆ และเดินทางครั้งแรกหลังได้วีซ่ามา 3 เดือน
วีซ่า 10 ปีที่ได้มา เรากับแม่ไปหาน้องสาวที่ california และอยู่ประมาณ 1 เดือน ทนหนาวไม่ไหวก็กลับเมืองไทย หลังจากนั้นก็มีไปยี่ยมน้าๆ เข้าออกที่ Hawaii อีก 2-3 ครั้ง อยู่นานที่สุดที่คือ 5 เดือน ตอนปี 2013 เพราะว่างงาน
ปี 2017 วันนี้วีซ่า 10 ปี กำลังจะหมดอายุในเดือนธันวาคม และเรามีแพลนต้องไป Hawaii อีกแล้ว (แฟนใหม่ซื้อบ้านที่ Hawaii เอาไว้และอยากให้เราไปช่วยตกแต่ง) และแม่เราก็อยากไปเยี่ยมน้าๆ ด้วย เราทั้งคู่เลยต้องไปต่ออายุวีซ๋าที่ได้มาอีกครั้ง
- เริ่มจากหาข้อมูล หลายที่บอกว่าการต่อวีซ่าสามารถยื่นเอกสารทางไปรษณีย์ได้และไม่ต้องถูกสัมภาษณ์ เราก็ทำตามขั้นตอนที่หลายเวปไซต์ (ที่เชื่อถือได้) แนะนำไว้
- กรอกข้อมูล D-160 ของทั้งเราและแม่ คราวนี้ปลายทางที่ต้องการไปคือ Hawaii ใช้ที่อยู่ของลุงที่ Honolulu และชื่อบุคคลอ้างอิงคือน้าสาวเราเอง
- ระบุญาติทางตรงคือ น้องสาวของเรา (หรือลูกสาวของแม่) ที่อยู่ california
- ระบุวันเดินทาง 2 สัปดาห์ คือ 18-31 ธันวาคม (ยังไม่ได้จองตั๋วเครื่องบิน)
- ของเรา ระบุข้อมูลที่ทำงานใหม่ พร้อมตำแหน่งและเงินเดือน 6 หลัก
- ของแม่ ระบุว่าเป็นแม่บ้าน ไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้และเป็นแม่หม้าย (คุณพ่อเพิ่งเสีย) และระบุชื่อเราเป็นผู้กรอกเอกสารในฟอร์ม D-160 แทนทั้งหมด
วันสัมภาษณ์ นัด 09:30
09:15 มาถึงหน้าสถานทูต มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงขอดูเอกสารนัดสัมภาษณ์และพาสปอร์ต ให้บัตรผ่านมา 2 ใบ เอาไปยื่นให้จุดตรวจคนละใบ ทำการปิดโทรศัพท์มือถือและใช้บัตรประชาชนฝากของไว้
09:20 เข้ามานั่งรอด้านใน ก้นยังไม่ทันหย่อนถึงเก้าอี้ ก็มีเจ้าหน้าที่เรียก "คนที่มาสัมภาษณ์รอบ 7:30-9:30 เชิญเข้าแถวค่ะ" เราก็ไปเข้าแถว เจ้าหน้าที่ขอแค่เอกสารการกรอกฟอร์ม D-160 พร้อมพาสปอร์ตเล่มปัจจุบัน และถามว่าเคยได้วีซ่ามาแล้วใช่หรือไม่คะ และขอพาสปอร์ตเล่มที่มีวีซ่าอเมริกาไปด้วย เรายื่นให้เจ้าหน้าที่จัดเอกสารใส่พลาสติกใสเป็นสองชุด พร้อมเขียนคำว่า IWP ไว้บนเอกสารทั้งสองชุด และบอกว่าให้ไปอ่านป้ายข้างหลัง (คือป้ายว่าให้เราจดหมายเลข EMS ไว้เพื่อติดตามสถานะการส่งพาสปอร์ตคืน) และเดินเข้าห้อง
09:30 เดินเข้าห้องไปหยุดรอยื่นเอกสารช่อง 11-13 เพื่อพิมพ์นิ้วมือ จนท.ไม่ถามอะไรมาก ให้พิมพ์นิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว และขอรูปถ่ายที่เตรียมไป 1 ใบติดกาวลงในฟอร์ม (สงสัยรูปที่ถ่ายตอนกรอกฟอร์มจะใช้ไม่ได้) แล้วยื่นเอกสารคืนให้ สักพักก็มองจอแล้วขอเอกสารเรากลับไปอีกรอบและขีดฆ่า IWP ของเราทิ้ง (ของแม่ไม่โดนขีดฆ่า) แล้วให้ไปเข้าแถวเพื่อสัมภาษณ์ที่ช่อง 7-9 (มารู้ทีหลังว่า IWP ย่อมาจาก Interview Waiver Program คือการต่อวีซ่าที่เคยได้รับและยกเว้นการสัมภาษณ์ ซึ่งตรงนี้ของเราโดนขีดฆ่าออกแปลว่าเราต้องไปสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่อีกรอบ -_-)
09:45 สัมภาษณ์กับฝรั่งกลางคนผู้ชายช่อง 8
เรา: good morning
จนท : สวัสดีครับ คุณแม่พูดภาษาอังกฤษได้ไหม
เรา : No, she can't - (แม่ยิ้มอย่างเดียว)
จนท.: คุณแม่วางมือขวานะคร่บ
แม่ : วางนิ้วเพื่อแสกน เสร็จแล้วหันกลับมาถามเราต่อ
จนท.: why are you going to America?
เรา : travelling (เสียงสูง) we're going to Hawaii (ยิ้มหวาน)
จนท.: do you have any relative over there?
เรา : Yes, my sister lives in California and my auntie is in Hawaii
จนท. is your sister a resident or citizen
เรา : she's a citizen
จนท. is she married to American?
เรา : yes
จนท. how long does she live in the US?
เรา : about 15-16 years
จนท. and your auntie is a citizen too?
เรา : yes
จนท : You're going to Hawaii but you're not going to visit your sister in California?
เรา : Actually... my sister is coming to Thailand on 8th November (เสียงสูง) so we will go to Hawaii this time (เราหันกลับไปคุยกับแม่ว่า หรือแม่อยากจะไปเยี่ยมน้องที่ california ไหม แม่บอกก็ไปได้ ไป ๆ มาๆ)
จนท. ถามเรื่องที่ทำงาน ตำแหน่งอะไร และทำมากี่ปีแล้ว
เรา : ตอบรายละเอียดที่ทำงาน ตำแหน่งและอายุงาน
จนท. have I asked you to scan your fingers?
เรา : (มองบน) here?.. not yet (พร้อมแสกนนิ้วมือขวา 4 นิ้วอีกครั้ง)
จนท.: ถามซ้ำว่า ไม่ไปเยี่ยมน้องสาวที่ california แน่นะ
เรา : hmmm...she's visiting us next month so not this time... may be next year? (ยิ้มหวาน)
จนท. : thank you you'll get your visa in 1 week
เรากับแม่ : ยิ้มหน้าบาน thank you พร้อมยกมือไหว้
09:54 ออกจากสถานทูต ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 30 นาที ตอนนี้ก็ได้แต่รอวีซ่ามาส่งทางไปรษณีย์จ้าาา เพิ่งนึกได้ว่าเขายึดพาสปอร์ตไปทั้งสองเล่ม เล่มปัจจุบันและเล่มที่เคยได้วีซ่า และเห็นแวบๆ ว่าจนท.ลงตราประทับเต็มหน้าวีซ่าเดิมด้วย น่าจะเป็นตราประทับแบบยกเลิก มีการยื่นขอใหม่แล้ว หรือห้ามใช้อะไรประมาณนี้ และพาสปอร์ตเล่มปัจจุบันเรามีวีซ่า schengen ที่ได้มา 1 ปียังไม่หมดอายุอยู่ด้วย
ปล. เอกสารที่เตรียมไปเพิ่มเติม มีแค่ด้านการเงินคือ 1) Statement บัญชีย้อนหลัง 6 เดือน 2) สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3 เดือน แต่จนท.ไม่ขอดูเอกสารใดๆ เพิ่มเติมทั้งสิ้น
เราว่าหัวใจสำคัญของการขอวีซ่าอเมริกา คือ
1. การระบุข้อมูลที่เป็นความจริงและให้สัมภาษณ์ตามจริง ทุกอย่างต้องสัมพันธ์กัน (จนท.ทุกคนน่าจะผ่านการฝึกจับเท็จมา) ข้อมูลพื้นฐานต้องมีความน่าเชื่อถือ ต้องไม่มีพิรุธหรือเจตนาอื่นแอบแฝง เอกสารและหลักฐานทุกอย่าง ต้องซัพพอร์ทเจตนาของการเดินทางได้ (แม้เขาจะไม่ขอดู แต่อาจจะแค่ถาม) ข้อมูลทุกอย่างที่เรากรอกไว้ใน D-160 สำคัญมาก
2. ตอนสัมภาษณ์เขาดูความเป็นไปได้จากเจตนาที่เราต้องการเข้าประเทศเขา และพิจารณาจากหลักฐาน และความหนักแน่นของตัวบุคคลที่มีต่อถิ่นพำนักในเมืองไทย
เราว่าวีซ่าอเมริกาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าเราไม่ได้มีเจตนาจะไปโดดร่มหรืออยู่เกินจนเป็นภาระให้ประเทศเขา หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง เอาใจช่วยทุกคนนะคะ
ปล.2 พ่อเราเคยพูดไว้ว่า "เป็นสิงห์อยู่ในป่า ดีกว่าเป็นหมาอยู่ในบ้าน" คำพูดนี้เปลี่ยนความคิดเราไปเลย และก็มาเปรียบเทียบว่า เออจริง เรามีตัวตนที่เมืองไทยมีหน้าที่การงานที่ดี มีเพื่อนและครอบครัวที่น่ารักห้อมล้อม ทำไมเราจะอยากไปเป็นประชากรชั้นสองของประเทศอื่นล่ะ