แชร์ประสบการณ์ Work and Travel ที่ Haines, Ak

กระทู้สนทนา
สวัสดีจ้า เพื่อนพันทิปทุกคน

เรามีโอกาสได้ไป Work and Travel ที่เมือง Haines รัฐ Alaska จึงอยากจะมาแชร์ประสบการณ์การทำงาน, ท่องเที่ยว สำหรับคนที่กำลังหาข้อมูลหรือ ตัดสินใจไปโครงการ Work and Travel ที่ Alaska จขกท. ขอข้ามรายละเอียดโครงการ หากใครมีข้อสงสัยสามารถหลังไมค์มาได้นะ


เราได้งานที่ร้านอาหาร Chikat Bakery and Restaurant เป็นร้านอาหารอเมริกันและอาหารไทย และทำขนม Bakery ขายด้วย ตั้งอยู่ในเมือง Haines ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ และสงบมาก มีประชากรประมาณ 2000 คน (แต่ในความรู้สึกแล้วเหมือนจะมีไม่ถึง 1000 คน) เมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยว เมืองธรรมชาติ และนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากเรือ Cruise ซึ่งจำนวนของนักท่องเที่ยวบนเรือ Cruise มีจำนวนมากกว่าประชากรในเมืองซะอีก ซึ่งเมื่อวันไหนมีเรือ Cruise มาจอด ก็จะทำให้ร้านอาหารในเมืองยุ่งมาก สภาพอากาศที่เมืองนี้มีแค่หนาว กับหนาวมากๆ อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ประมาณ 15 องศา เหมาะสำหรับคนขี้ร้อน และชอบอากาศหนาวๆ และเนื่องจากเมืองนี้เป็นเมืองเล็กมากๆ จึงไม่ค่อยมีรถสาธราณะ (เท่าที่ทราบมีรถ Shuttle Bus ที่ท่าเรือ Cruise เท่านั้น) การเดินทางไปทำงาน/เที่ยวในเมืองคือการเดินหรือปั่นจักรยาน เดินจากที่พักเราไปร้านอาหารที่ทำงานใช้เวลาแค่ 10 นาที/ปั่นจักรยาน 3 นาที
(สำหรับใครที่ชอบการถ่ายภาพแนวธรรมชาติ หรือชอบเที่ยวแบบธรรมชาติ เช่นเดินป่า ปีนเขา แนะนำเมืองนี้เลยจ้า)

การเดินทาง
BKK>>ICN>>SEA>>JNU>>HNS
การเดินทางไปเมืองนี้เป็นการเดินทางที่เหนื่อยมาก ใช้เวลาเกือบ 2 วันกว่าจะไปถึง นั่งเครื่องหลายต่อมากกว่าจะไปถึงเมืองที่ทำงานก็เหนื่อยสลบไปเลย
เนื่องจากพื้นที่เมือง Haines ติดกับประเทศแคนนาดา การเดินทางโดยรถจึงต้องผ่านประเทศแคนนาดาก่อน การเดินทางจึงมี 2 ทางจาก Juneau
1.เรือ Ferry ราคาประมาณ $40- $50 ใช้เวลาเดินทางจาก Juneau - Haines ประมาณ 3-4 ชั่วโมง
2.เครื่องบินขนาดเล็ก ราคาประมาณ $120 ใช้เวลาเดินทางจาก Juneau ประมาณ 30 นาที
การเดินทางไปเรานั่งเครื่องบินขนาดเล็กไปที่เมือง ถือเป็นการขึ้นเครื่องที่คุ้มสุดๆ เพราะว่าได้เห็นวิวจากมุมสูงและได้เห็นวิวกว้างมากๆ แต่การนั่งเครื่องแอบน่ากลัวอยู่เพราะเป็นเครื่องเล็ก เวลาเจอลมปะทะ เครื่องจะส่าย แต่ยังไม่เคยได้ยินเหตุการณ์เครื่องตกมาก่อน เอาเป็นว่าปลอดภัยแน่นอน
ปล.แปลกใจมากที่การขึ้นเครื่องบินลำเล็กนี้ไม่มีการตรวจ หรือ แสกนกระเป๋าอะไรเลย ปล2. วันไหนฝนตกหรือหมอกเยอะ เครื่องบินจะดีเลย์อย่างไม่มีกำหนดนะ น้องที่เค้าเดินทางไปถึงก่อนเครื่องดีเลย์หลายชั่วโมงเลย

นี่เป็นเครื่องบินที่เราขึ้น จากสนามบิน Juneau ไป Haines

วิวจากบนเครื่อง

ได้นั่งหลังคนกัปตันด้วย

จริงๆวิวสวยมากๆ แต่เราถ่ายรูปไม่เก่งเอง ใช้กล้อง iPhone 5 เน่าๆถ่าย
พอเราไปถึงที่สนามบินเมือง Haines แล้วก็มีคนมารับไปส่งที่ร้านเลย ก็ได้พบกับนายจ้าง(และเป็นเจ้าของร้าน) ยายแม่ครัวอาหารไทย ก็สวัสดีทักทายกันเล็กน้อยแล้ว นายจ้างก็พาเราไปส่งที่พัก ซึ่งไม่ไกลเลย เก็บข้าวของแล้วในห้องแล้วก็นอนหลับเลยจ้า เพราะเดินทางเหนื่อยมากๆ เดินทางไปถึงประมาณ 6 โมงเช้า หลับยาว ตื่นอีกทีก็บ่ายกว่า เพื่อนเรียกไปกินอาหารที่ร้านและไปเดินเล่น ซื้อซิมโทรศัพท์ แล้วก็กลับมาที่พักแล้วก็ "หลับ" อีกรัวๆ เพราะเนื่องจากวันถัดไปต้องไปทำงานแล้ว เริ่มงานแบบเร่งด่วนมาก (จริงๆแล้วนายจ้างถามเมื่อวันที่ไปถึงเลยว่าจะทำงานเลยไหม แต่เราไม่ไหวง่วงมาก เลยตอบวันนี้ขอนอนก่อนละกัน)

สภาพบ้านเมือง
เมื่อเราไปถึงเราค่อนข้างช็อคกับเมืองนี้ เพราะเมืองมันเล็กมาก เล็กกว่าที่จินตนาการไว้ (ก่อนมา จขกท ได้ดูสภาพเมืองแล้วจาก Google Map แต่แผนที่นั้นถ่ายไว้ตั้งแต่ปี 2011 เราเลยคิดว่าเมืองนี้คงมีอะไรพัฒนาในระยะเวลา 6 ปีนี้ แต่พอมาเจอของจริงก็เหมือนเดิมเป๊ะๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย) แต่ระบบโดยรวมๆ ระบบสาธารณูปโภคก็มีครบ มีร้านค้า มีsuper market มีร้านอาหาร มีโรงแรม ร้านกาแฟ บาร์ โรงพยาบาลขนาดเล็ก โบสท์ เกือบจะครบทุกอย่างเลยแหล่ะ แต่ราคาของทุกอย่างในเมืองนี้จะค่อนข้างแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย เพราะต้องขนของขึ้นเรือมาจาก Juneau จากที่เกริ่นไปข้างบนแล้ว เมืองนี้ไม่มีพื้นที่ติดกับประเทศอเมริกาเลย ทำให้เราซึ่งมีแค่วีซ่าของประเทศอเมริกา ออกนอกจากเมืองนี้ค่อนข้างยาก ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ติดเกาะเลย 5555 แต่ชาวเมืองที่นี่ใจดี เป็นมิตรมาก (หมาที่นี่ก็เยอะด้วย มีเกือบทุกบ้านเลย <3)

สภาพบ้านเมืองเค้าก็ประมาณนี้



ยอดภูเขาส่วนใหญ่มีหิมะอยู่เลย นี่ขนาดเป็นหน้าร้อนนะเนี่ย Facepalm

ที่พัก
เราไม่มีรูปที่พักของเราเลย แต่ก็อยากจะมาเล่าให้ฟัง ที่ร้านรับเด็ก Work and Travel มาทั้งหมด 6 คน ชาย 2 หญิง 4 ที่พักจึงต้องแยกชายหญิง ฝ่ายชายจะเป็นบ้านเล็กๆหนึ่งหลัง มีแยกส่วนไปเป็นห้องนอนข้างตัวบ้านเป็นห้องสำหรับลุงจอห์น (เชฟที่ร้าน) แต่ในส่วนที่เราพักจะมี2 ห้องนอนเล็กๆ แบ่งกันนอนคนละห้อง มีห้องครัว มีห้องน้ำแชร์กัน ในห้องครัวเราใช้แค่ไมโครเวฟกับตู้เย็นสำหรับแช่ไอศกรีมเท่านั้น เพราะไม่ค่อยทำอาหารที่บ้าน เน้นไปกินที่ร้านเพราะฟรี 555555 ส่วนบ้านของผู้หญิงจะเป็นห้องใต้หลังคาของบ้านโฮส ห้องกว้างมาก สะอาด มีทุกเครื่องอบผ้าให้ด้วย แต่ต้องซักเอง5555 ที่พักชาย และหญิงอยู่ไม่ห่างกันมาก เดินประมาณ 5 นาที ระยะทางจากบ้านทั้งสองไปร้านอาหารที่ทำงานเท่ากัน ใช้เวลาเดิน 10 นาที ซึ่งถือว่าใกล้มากๆ ห้องพักเดือนละ $350/เดือน ทั้งชายและหญิงและตุ๊ด

สภาพห้อง


งานและค่าตอบแทน
งานที่ร้านเรามีหลายตำแหน่ง มีคนทำขนม พนง.หน้าร้าน ครัว ล้างจาน งานที่เราได้รับช่วงแรกเป็นงานล้างจาน แต่พอผ่านไปอัพตัวเองไปเป็นผู้ช่วยเชฟ (เนื่องจากลุงจอห์น ที่เป็นกุ๊กลาออกจากงาน) ภาระอันใหญ่หลวงจึงตกมากับเรา ทำงานที่ร้านนี้บางวันก็หนักมาก บางวันก็ไม่หนักเลย แต่วันไหนที่ไม่ค่อยมีลูกค้า นายจ้างก็ไม่ค่อยไล่กลับบ้านนะ แต่จะหางานให้ทำมากกว่า เราทำงานที่นี่จำได้ชั่วโมงเยอะมาก  งานที่นี่เด็ก WAT จะได้เรทเท่ากันหมดทุกตำแหน่งคือ $10/hr + tips ร้านนี้จะเปิด 07:00-15:00 แล้วก็เปิดอีกที 17:00-21:00 จะแบ่งออกเป็น 2 กะ
กะเช้าทำงาน 07.00-15.00
และกะสาย 10.00-21.00 (ได้พัก 2 ชั่วโมงช่วงร้านปิด)
อาหารและเครื่องดื่มกินที่ร้านฟรี ห่อกลับไปกินที่บ้านได้ด้วย วันๆแทบไม่เสียตังอะไรเลย
โดยรายได้ทั้งหมดเราได้ประมาณ $7000 หลังหักค่าบ้าน ภาษี เงินจำนวนนี้เราได้เพราะเราเริ่มงานเร็วและออกงานช้า จึงมีเวลาทำงานเยอะกว่าเพื่อนๆ รายได้ทั้งหมดมาจากงานเดียวเท่านั้น (เพราะชั่วโมงงานเดียวก็เยอะแล้ว บางช่วงที่เป็นช่วงเทศกาลเราต้องทำงาน2 กะตั้งแต่เปิดร้าน ยันปิดร้าน ซึ่งเป็นอะไรที่เหนื่อยมากก) แต่สำหรับคนที่อยากจะหางานสองในเมืองนี้มีเยอะ แต่ว่างานแรกของเราตารางเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเลยไม่ได้ไปสมัครงานสอง (แต่มีเพื่อนเด็ก work ที่มาจากคาซัค ได้งานไป 3 งาน //ขยันแบบสุด)
ปล. งานที่นี่จะไม่มีเรทโอทีให้นะ ทำมาก ทำน้อยก็ได้เรทเดียวกันหมดเลย


ทำขนม


ที่ท่องเที่ยวใน Haines
นายจ้างเราใจมาก พาเราไปเที่ยวบ่อยมาก เกือบทุกอาทิตย์เลย ที่เที่ยวส่วนใหญ่ก็จะเป็น National Park สำหรับปีนเขา หรือเดินป่า บางสัปดาห์ก็พาไปทำบาร์บีคิวกินกัน

ไปเดินป่าที่ Battery Point

เที่ยว Chilkat National Park

ไปบาร์บีคิว/ ปิกนิก ริมทะเล + ชมเมือง

และปีนเขา Mt. Ripinski เขาที่ยาวที่สุดในเมืองนี้ (ความยากระดับบอส ปีนเขาไปกลับรวมๆเกือบ 8 ชั่วโมง)
ทางเดินขึ้นเขา

และต้องปีนขึ้นเขาด้วย

มาถึงยอดเขาแล้ว ก็จะมีหิมะ และวิวภูเขาข้างๆ แต่วันที่ จขกท ไปเดินเขามันมีเมฆมากไปหน่อยเลยทำให้มองไม่เห็นเมืองข้างล่างเลย

ที่ไม่ใส่เสื้อแขนยาว เพราะเดินป่ามาเหนื่อยมาก เหงื่อไหล แต่หลังจากถ่ายเสร็จ คว้าเสื้อแจคเก็ตรัวๆ

นักตกปลาแซลม่อนทีมชาติไทย

นักตกปูอลาสก้าทีมชาติไทย (ปล.เพื่อนบอกว่า ปูอลาสก้าเนื้อหวานและแน่นกว่าปูบ้านเรา ส่วน จขกท แพ้ปู กินม่ายล่าย ปล2.ชาวเมืองจับปูได้ฟรี แต่ห้ามไปขายนะ ถ้าจะจับขายต้องมีใบอนุญาตก่อน )

อบายมุขเราก็ไม่ขาด
เราและพี่สาวและน้องสาวร่วมสาบาน ไปกินเบียร์เกือบทุกวันหลังเลิกงาน ไปทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละ 3-5 วัน อยู่เมืองเล็ก ไม่มีที่ให้ใช้ตัง ก็มาใช้ตรงนี้นี่แหล่ะ หมดไปเย้อะ แต่ก็สนุกดีได้คุยกับเพื่อน ฟังอิโจเพ้อเป็นภาษาอังกฤษ แต่ก็ฟังไม่รู้เรื่องนะ 555555 ร้านที่เราไปบ่อยที่สุดและชอบมากที่สุดก็คือร้านชื่อว่า Fogcutter เปิดเพลงแนว country ตามสไตล์ของชาวเมืองนี้ ซึ่งสาวไทยเข้าไม่ถึงกับแนวนี้เลย ผู้คนก็คุยกันสนุก ชอบบรรยากาศร้านดี ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้ชายให้ส่องก็ตาม
ปล.หนุ่มๆหน้าตาดีในเมืองนี้ถือเป็นแรร์ไอเทม ระดับ legend
ปล2. ถ้าคิดจะมาหาเพื่อนคุยที่เมืองนี้ แนะนำให้ย้ายเมืองง่ายกว่า 5555
ปล3. รสชาติค็อกเทล์ไม่เหมือนกันซักวัน ขึ้นอยู่กับคนทำ บางวันเข้มเชียว บางวันหวานเจี๊ยบ

สรุป สำหรับเพื่อนที่กำลังตัดสินใจไปโครงการ Work and Travel เราอยากจะบอกว่า ไปเถอะ ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะไม่ได้เงินกลับบ้าน แต่สิ่งที่ได้กลับมาทุกคนคือประสบการณ์ มันอาจจะดีบ้าง แย่บ้าง ก็ถือเป็นบทเรียนในชีวิตเราไว้ เรามาคนเดียว เป็นการเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวครั้งแรก และไปไกลสุดด้วย ภาษาก็ไม่ได้เก่งด้วย แรกๆก็กลัวเหมือนกันว่าจะปรับตัวได้ไหม แต่สุดท้ายก็ได้เพื่อน และมิตรภาพกลับบ้าน ขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่คอยช่วยเหลือกัน คิดถึง <3


เอ่าชนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่