สวัสดีค่ะ ยืมไอดีน้องมาใช้นะคะ ปกติแค่เข้ามาอ่าน วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์ที่เคยเกิดมาในชีวิต เพราะเห็นช่วงนี้มีปัญหาผู้ชายหนีงานแต่งเพราะไม่มีเงินค่าสินสอดเกิดขึ้นมา เลยอยากมาบอกเล่าเรื่องราวของตนเองค่ะ
เราคบกับแฟนมาได้สักระยะ และก็มาถึงความฝันของผู้หญิงหลายๆคน ที่มีแฟนคือ ผู้ชายขอแต่งงาน ความรู้สึกจะลงจากคานช่างดียิ่งนัก รีบตกลงทันที กลัวแฟนจะเปลี่ยนใจ พอตกลงแต่งงาน แฟนบอกจะให้พ่อกับแม่เค้ามาคุยกับที่บ้านเรา และแฟนก็ถามแม่จะเลือกสินสอดเยอะมั้ย? เราเลยแซวกลับไปว่า เตรียมล้มละลายได้เลย พอวันที่พ่อแม่ผู้ชายมาขอ ก็คุยกันว่าจะจัดงานอย่างไร แม่เราก็บอกแล้วแต่เด็กๆ พอพูดเรื่องจัดงานเสร็จ คำถามต่อมาคำถามสำคัญ คือสินสอดเท่าไหร่? แม่เราก็ถามแฟนกับเราว่าหลังแต่งงาน เราจะยังทำงานเหมือนเดิมริป่าว? เราบอกเราจะทำงาน ไม่อยากลาออกจากงาน แม่ก็เลยบอกงั้นสินสอดไม่ต้อง พ่อแม่แฟนบอกจะให้เค้าจัดมาเอง แล้วแต่ทางเค้าจะจัดมาหรอ(คงไม่แน่ใจ สงสัยกลัวฟังผิด) แม่บอกสินสอดไม่ต้อง พ่อแม่แฟนก็เลยบอก งั้นเรื่องงานแต่งงานเค้าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง และจะมีเรือนหอให้ 1 หลัง จะได้ไม่ต้องไปหาซื้อบ้านเอง
พอถึงวันแต่ง สิ่งที่น่าแปลกใจมาก คือหลายคนมาถามเยอะมาก ว่าสินสอดเท่าไหร่? เราเลยบอกไม่มีสินสอด ความสงสัยของคนบางประเภทเกิดขึ้นมาทันที เช่น พ่อแม่ผู้ชายไม่ชอบเราหรอ? หรือเราท้องก่อนแต่งหรอ? สารพัดข้อสงสัย ตัวเราเองก็เลยถามแม่ว่า แม่ทำไมแม่ไม่เลือกสินสอด เพราะถ้ามองแล้วตัวเราเองก็มีการศึกษาที่ดี หน้าที่การงานดี บ้านฝ่ายชายฐานะดี หลายคนเลยคิดว่าแม่เราน่าจะเรียกสินสอดเยอะ เรายังจำคำตอบของแม่ได้ขึ้นใจ แม่ตอบมาว่า "การที่หนูตัดสินใจใช้ชีวิตกับแฟน แปลว่าหนูรู้สึกมีความสุขกับการได้อยู่กับเค้า ดังนั้นคงไม่ยุติธรรมกับฝ่ายชายที่จะต้องจ่ายเงินฝ่ายเดียว" เราเลยแซวแม่ไม่ชอบหรือไงของฟรี แม่ตอบมาว่า" ใครบ้างจะไม่ชอบถ้าได้เงินมาฟรีๆ และใครบ้างที่จะชอบ ที่จะต้องเสียเงินไปให้คนอื่นฟรีๆ แม่ไม่รู้ว่าถ้าแม่เรียกสินสอดไปแล้ว ฝ่ายชายจะมองลูกอย่างไร เค้าจะมีความรู้สึกลบในตัวลูกมั้ย แม่กลัวเงินที่ได้มาจะทำลายความสุขของหนู แม่อยากให้ฝ่ายนั้นเค้ารักหนูให้มาก ให้เค้าเกรงใจความเกรงใจของเรา"
ตอนนั้นก็ฟังคำของแม่ แต่มาเห็นประโยชน์ตอนที่ชีวิตคู่เรามีปัญหา หลังแต่งงานมีลูกจนรู้สึกว่าชีวิตนี้มีความสุขมาก แต่ชีวิตถ้าไม่มีปัญหาก็จะไม่ใช่ชีวิต ปัญหาที่เกิดคือจับได้ว่าสามีนอกใจ ความรู้สึกนี่แบบต้องคนเคยเจอถึงจะเข้าใจ ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก รู้แค่ไปรับลูกที่บ้าน เก็บกระเป๋า แล้วไปบ้านตัวเอง เล่าทุกอย่างให้แม่ฟัง แต่เลยวัยที่จะดราม่า ฟังเพลงอกหัก เปิดน้ำจากฝักบัวแล้วนะคะ เศร้าได้ไม่นานค่ะเพราะมีลูกตัวแสบมาคอยป่วน พอค่ำๆ มีรถบ้านสามีมาที่บ้าน ตอนแรกคิดว่าสามีจะมา แต่คนที่มาดันเป็นแม่สามี ลงมากอดเรา บอกขอโทษกับสิ่งที่ลูกทำ มาขอโทษแม่เรา ที่สอนลูกชายให้เป็นคนดีไม่ได้ และบอกว่าสามีเราจะมาคุยด้วย เราจะยอมให้คุยมั้ย? เราเลยบอกแม่สามีไป ว่าขอเราคิดก่อนว่าจะเอาอย่างไร อีก 1 อาทิตย์เราจะให้คำตอบ แม่สามีกลับไป และมาหาเราใหม่อีกวัน มาคุยกับเราว่า ไม่ว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร จะให้อภัยลูกชายเค้ามั้ย? ก็ให้คิดว่าเค้าคือแม่คนหนึ่ง เค้ารักเราแบบลูกสาว อยากให้เรากลับไปอยู่บ้านเรือนหอ เพราะที่นั่นสะดวกสบายกว่าบ้านเรา ถ้าไม่สบายใจที่เห็นสามีเรา เค้าจะให้ลูกชายย้ายออกมา แล้วก็พาเราไปจัดการโอนที่เรือนหอให้เป็นชื่อเรา และจะแบ่งเงินปันผลบริษัทส่วนของสามีออกมาให้เราบางส่วน พร้อมกับรถยนต์ที่ปกติคันนั้นจะใช้รับส่งลูกประจำ แต่เป็นรถของบ้านสามี พร้อมกับเงินอีกจำนวนหนึ่ง ตอนแรกเราจะไม่รับ แต่แม่สามีบอก ถ้าไม่อยากให้เค้ารู้สึกผิดต่อแม่เรา ต่อเราไปมากกว่านี้ให้รับไป เพราะเค้าก็อยากให้แม่กับเราเห็นว่าไม่ว่าเราจะตัดสินใจทางไหน เราก็คือลูกเค้า ถ้าเราเลือกที่จะหย่า ตัวเรากับลูกจะได้ไม่ลำบาก แต่ถ้าเราให้โอกาสสามีอีกครั้ง ตัวเค้าเองก็จะมีความสุข เค้าบอกวันที่แม่ไม่เรียกสินสอด เค้ารู้สึกเลยว่าเค้าได้ลูกสะใภ้ที่ดี จะมีญาติที่ดีเพิ่มขึ้น
เรื่องที่เกิดขึ้นมันทำให้เราซึ้งมาก ผลตอบแทนของการไม่เรียกสินสอดวันนั้น มันมากมายยิ่งนักไม่ใช่เพราะเงินทองที่ได้รับ แต่เพราะความรักของครอบครัวฝ่ายชาย ซึ้งที่แม่สามี รีบมาตั้งแต่ค่ำวันนั้น เค้าร้องไห้มาขอโทษแม่เรา และเลือกที่จำตามความสบายใจของเรา
เราไม่ได้จะบอกว่าการไม่เรียกสินสอดจะดีกว่าการเียกร้องสินสอดมั้ย? แต่ที่แน่ๆ ลองนึกถึงตัวเรากว่าจะทำงานมาได้แต่ละบาทต้องเสียเงินให้คนอื่นเป็นแสน เป็นล้านตัวเราจะรู้สึกอย่างไร?
เมื่อฉันแต่งงานโนที่ที่บ้านไม่เรียกสินสอด ผลตอบแทนที่ได้รับมันยิ่งกว่าเงิน
เราคบกับแฟนมาได้สักระยะ และก็มาถึงความฝันของผู้หญิงหลายๆคน ที่มีแฟนคือ ผู้ชายขอแต่งงาน ความรู้สึกจะลงจากคานช่างดียิ่งนัก รีบตกลงทันที กลัวแฟนจะเปลี่ยนใจ พอตกลงแต่งงาน แฟนบอกจะให้พ่อกับแม่เค้ามาคุยกับที่บ้านเรา และแฟนก็ถามแม่จะเลือกสินสอดเยอะมั้ย? เราเลยแซวกลับไปว่า เตรียมล้มละลายได้เลย พอวันที่พ่อแม่ผู้ชายมาขอ ก็คุยกันว่าจะจัดงานอย่างไร แม่เราก็บอกแล้วแต่เด็กๆ พอพูดเรื่องจัดงานเสร็จ คำถามต่อมาคำถามสำคัญ คือสินสอดเท่าไหร่? แม่เราก็ถามแฟนกับเราว่าหลังแต่งงาน เราจะยังทำงานเหมือนเดิมริป่าว? เราบอกเราจะทำงาน ไม่อยากลาออกจากงาน แม่ก็เลยบอกงั้นสินสอดไม่ต้อง พ่อแม่แฟนบอกจะให้เค้าจัดมาเอง แล้วแต่ทางเค้าจะจัดมาหรอ(คงไม่แน่ใจ สงสัยกลัวฟังผิด) แม่บอกสินสอดไม่ต้อง พ่อแม่แฟนก็เลยบอก งั้นเรื่องงานแต่งงานเค้าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง และจะมีเรือนหอให้ 1 หลัง จะได้ไม่ต้องไปหาซื้อบ้านเอง
พอถึงวันแต่ง สิ่งที่น่าแปลกใจมาก คือหลายคนมาถามเยอะมาก ว่าสินสอดเท่าไหร่? เราเลยบอกไม่มีสินสอด ความสงสัยของคนบางประเภทเกิดขึ้นมาทันที เช่น พ่อแม่ผู้ชายไม่ชอบเราหรอ? หรือเราท้องก่อนแต่งหรอ? สารพัดข้อสงสัย ตัวเราเองก็เลยถามแม่ว่า แม่ทำไมแม่ไม่เลือกสินสอด เพราะถ้ามองแล้วตัวเราเองก็มีการศึกษาที่ดี หน้าที่การงานดี บ้านฝ่ายชายฐานะดี หลายคนเลยคิดว่าแม่เราน่าจะเรียกสินสอดเยอะ เรายังจำคำตอบของแม่ได้ขึ้นใจ แม่ตอบมาว่า "การที่หนูตัดสินใจใช้ชีวิตกับแฟน แปลว่าหนูรู้สึกมีความสุขกับการได้อยู่กับเค้า ดังนั้นคงไม่ยุติธรรมกับฝ่ายชายที่จะต้องจ่ายเงินฝ่ายเดียว" เราเลยแซวแม่ไม่ชอบหรือไงของฟรี แม่ตอบมาว่า" ใครบ้างจะไม่ชอบถ้าได้เงินมาฟรีๆ และใครบ้างที่จะชอบ ที่จะต้องเสียเงินไปให้คนอื่นฟรีๆ แม่ไม่รู้ว่าถ้าแม่เรียกสินสอดไปแล้ว ฝ่ายชายจะมองลูกอย่างไร เค้าจะมีความรู้สึกลบในตัวลูกมั้ย แม่กลัวเงินที่ได้มาจะทำลายความสุขของหนู แม่อยากให้ฝ่ายนั้นเค้ารักหนูให้มาก ให้เค้าเกรงใจความเกรงใจของเรา"
ตอนนั้นก็ฟังคำของแม่ แต่มาเห็นประโยชน์ตอนที่ชีวิตคู่เรามีปัญหา หลังแต่งงานมีลูกจนรู้สึกว่าชีวิตนี้มีความสุขมาก แต่ชีวิตถ้าไม่มีปัญหาก็จะไม่ใช่ชีวิต ปัญหาที่เกิดคือจับได้ว่าสามีนอกใจ ความรู้สึกนี่แบบต้องคนเคยเจอถึงจะเข้าใจ ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก รู้แค่ไปรับลูกที่บ้าน เก็บกระเป๋า แล้วไปบ้านตัวเอง เล่าทุกอย่างให้แม่ฟัง แต่เลยวัยที่จะดราม่า ฟังเพลงอกหัก เปิดน้ำจากฝักบัวแล้วนะคะ เศร้าได้ไม่นานค่ะเพราะมีลูกตัวแสบมาคอยป่วน พอค่ำๆ มีรถบ้านสามีมาที่บ้าน ตอนแรกคิดว่าสามีจะมา แต่คนที่มาดันเป็นแม่สามี ลงมากอดเรา บอกขอโทษกับสิ่งที่ลูกทำ มาขอโทษแม่เรา ที่สอนลูกชายให้เป็นคนดีไม่ได้ และบอกว่าสามีเราจะมาคุยด้วย เราจะยอมให้คุยมั้ย? เราเลยบอกแม่สามีไป ว่าขอเราคิดก่อนว่าจะเอาอย่างไร อีก 1 อาทิตย์เราจะให้คำตอบ แม่สามีกลับไป และมาหาเราใหม่อีกวัน มาคุยกับเราว่า ไม่ว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร จะให้อภัยลูกชายเค้ามั้ย? ก็ให้คิดว่าเค้าคือแม่คนหนึ่ง เค้ารักเราแบบลูกสาว อยากให้เรากลับไปอยู่บ้านเรือนหอ เพราะที่นั่นสะดวกสบายกว่าบ้านเรา ถ้าไม่สบายใจที่เห็นสามีเรา เค้าจะให้ลูกชายย้ายออกมา แล้วก็พาเราไปจัดการโอนที่เรือนหอให้เป็นชื่อเรา และจะแบ่งเงินปันผลบริษัทส่วนของสามีออกมาให้เราบางส่วน พร้อมกับรถยนต์ที่ปกติคันนั้นจะใช้รับส่งลูกประจำ แต่เป็นรถของบ้านสามี พร้อมกับเงินอีกจำนวนหนึ่ง ตอนแรกเราจะไม่รับ แต่แม่สามีบอก ถ้าไม่อยากให้เค้ารู้สึกผิดต่อแม่เรา ต่อเราไปมากกว่านี้ให้รับไป เพราะเค้าก็อยากให้แม่กับเราเห็นว่าไม่ว่าเราจะตัดสินใจทางไหน เราก็คือลูกเค้า ถ้าเราเลือกที่จะหย่า ตัวเรากับลูกจะได้ไม่ลำบาก แต่ถ้าเราให้โอกาสสามีอีกครั้ง ตัวเค้าเองก็จะมีความสุข เค้าบอกวันที่แม่ไม่เรียกสินสอด เค้ารู้สึกเลยว่าเค้าได้ลูกสะใภ้ที่ดี จะมีญาติที่ดีเพิ่มขึ้น
เรื่องที่เกิดขึ้นมันทำให้เราซึ้งมาก ผลตอบแทนของการไม่เรียกสินสอดวันนั้น มันมากมายยิ่งนักไม่ใช่เพราะเงินทองที่ได้รับ แต่เพราะความรักของครอบครัวฝ่ายชาย ซึ้งที่แม่สามี รีบมาตั้งแต่ค่ำวันนั้น เค้าร้องไห้มาขอโทษแม่เรา และเลือกที่จำตามความสบายใจของเรา
เราไม่ได้จะบอกว่าการไม่เรียกสินสอดจะดีกว่าการเียกร้องสินสอดมั้ย? แต่ที่แน่ๆ ลองนึกถึงตัวเรากว่าจะทำงานมาได้แต่ละบาทต้องเสียเงินให้คนอื่นเป็นแสน เป็นล้านตัวเราจะรู้สึกอย่างไร?