A Silent Voice - Koe no katachi : รักไร้เสียง
" A Silent Voice เสียงอันแผ่วเบาที่สะท้อนสังคมได้ดังยิ่ง "
A Silent Voice (2017) หรือ
The Shape of Voice หนึ่งในหนังที่ผมไม่คาดคิดว่ามันจะดีขนาดนี้ บังเอิญว่าหลังจากที่ได้ดู Your Name มาแล้ว เห็นทางค่ายหนังได้นำเรื่องนี้มาเข้าฉาย ผมเห็นภาพโปสเตอร์หนังดูหวานแหววดี แถมชื่อไทยชื่อว่า
" รักไร้เสียง " เลยพาลคิดว่ามันเป็นหนังอนิเมะธรรมดาไม่มีอะไรมาก จนเพิ่งมาได้ดูเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ทำให้ผมกลับมุมมองเลย เป็นหนังอีกเรื่องที่ทำให้จุก
Koe no katachi (2017) กำกับโดย
Naoko Yamada ซึ่งเนื้อเรื่องก็เอามาจากมังงะที่มีชื่อเดียวกัน มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของ
Shoya Ishida โชยะในวัยประถม เด็กน้อยที่มีความมั่นใจสูง เป็นที่รักของเพื่อนๆทุกคนในห้อง วันหนึ่งมีเด็กนักเรียนหญิงชื่อ
Shoko Nishimiya เข้ามา เธอเป็นเด็กสาวที่พิการทางการได้ยิน ระหว่างที่ทั้งคู่ได้รู้จักและเรียนด้วยกัน โชยะชอบแกล้งโชโกะ เพราะเห็นว่าโชโกะเป็นคนน่ารำคาญ หูไม่ได้ยิน แต่โชโกะก็ไม่ได้โกรธอะไร จนกระทั่งการแกล้งครั้งหนึ่งของโชยะทำให้โชโกะต้องย้ายออกจากโรงเรียน
จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ตัดกลับมาที่โชยะในชีวิตมัธยม เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่มีความมั่นใจอะไรเลย เบื่อหน่ายในชีวิต แถมยังเคยคิดฆ่าตัวตายอีกด้วย (ตรงกันข้ามกับตอนวัยประถมอย่างสิ้นเชิง) เขาไม่มีทั้งเพื่อนที่จริงจัง ไม่มีสังคม และดูไม่มีอะไรเลย แต่แล้วเขาก็ได้เจอกับโชโกะอีกครั้ง ทำให้การพบกันในครั้งนี้ ชีวิตของเขามีอะไรมากขึ้น
A Silent Voice - หนังสะท้อนสังคมด้วยเรื่องราวอันน่าหดหู่
ตอนแรกที่ผมดูเรื่องนี้ เห็นโปสเตอร์กับชื่อไทยก็ไม่คิดอะไร คิดว่าเป็นหนังรักกัน ดราม่าซึ้งๆ แต่พอได้ดูแล้ว ทำให้พบว่าเป็นหนังที่ผสมประเด็นหลายอย่างที่หนักอึ้งมาก มีหลายอย่างอัดแน่นอยู่ในหนังเต็มไปหมด ซึ่งเกินความคาดหมายมาก และทำให้ผมชอบเลยแหละ (แต่ผมไม่เคยอ่านมังงะนะ)
A Silent Voice คือหนังจิตวิทยาสะท้อนสังคม เป็นหนังชีวิตดีๆเรื่องหนึ่ง ที่ครอบคลุมประเด็นเรื่องวัยรุ่น ปมการแกล้งกันในสมัยเรียน ปัญหาระหว่างเพื่อน ปัญหาความรัก ปัญหาชีวิต การไม่กล้าสู้หน้าคน และลักษณะของโรคซึมเศร้าที่สามารถนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้
ประเด็นปัญหาทั้งหลายดูจะเป็นปมปัญหาชีวิตวัยรุ่นวัยเรียนทั่วๆไป ซึ่งเป็นวัยที่เต็มไปด้วยความสับสน โดยส่วนมากเราก็มักจะผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ แต่ปัญหาคือ มันมีบางคนที่ไม่สามารถก้าวผ่านปัญหานี้ไปได้ อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่ได้เผชิญกับปัญหาเหล่านี้ในวัยเรียน แต่ในห้องเรียนของเรา ไม่ว่าที่ใดก็ตาม มันก็มักจะต้องมีคนหนึ่งที่ถูกแกล้งอยู่ตลอดหรือเป็นคนที่มีปมในใจใหญ่หลวง ถ้าคนนั้นสามารถก้าวผ่านปมชีวิต ลืมเรื่องในอดีตไปได้ก็ดี แต่ถ้าดันติดกับปมในใจก้าวผ่านไม่ได้ บอกได้เลยว่า การใช้ชีวิตในแต่ละวันแทบจะเหมือนกับนรกบนดินดีๆ และมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าอย่างโชยะนั่นเอง (ใครที่ดูแล้วจะได้เห็นสภาพจิตใจอันน่ารันทดของโชยะกับโชโกะ)
ปมปัญหาชีวิตที่ไม่อาจก้าวผ่านได้
สิ่งหนังตั้งใจพูดออกมาอย่างชัดเจนคือ
" ปมปัญหาชีวิตที่ไม่อาจก้าวผ่านได้ " ใครจะไปรู้ว่า เหตุการณ์ในวันหนึ่ง จะทำให้ชีวิตในอนาคตต้องอีรุงตุงนังขนาดนี้ อีกทั้งยังสร้างบาดแผลในใจอย่างลึกแสนสาหัสทั้งในจิตใจของโชยะและโชโกะ
เริ่มแรกหนังได้พูดถึงเรื่องราวในวัยประถมของโชยะที่ทำให้เขาต้องมามีชีวิตที่น่าสงสารในมัธยม เขาต้องสู้ชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาได้เจอเพื่อนดีๆ เขาพบกับปัญหาหนักหนามากมายและได้เริ่มเข้าใจถึงจิตใจตัวเอง เริ่มมีความกล้าในการสู้กับปัญหาและสามารถสู้หน้าคนใช้ชีวิตในสังคมได้อีกครั้ง เราจะได้เห็นชีวิตจากจุดต่ำที่สุดของโชยะค่อยๆสูงขึ้น และหักลง สูงขึ้น หักลง สลับไปมา และได้ลุ้นว่าเขาจะสามารถเอาชนะจิตใจตัวเองได้มั้ย (รวมไปถึงโชโกะด้วย)
เพื่อนและความรัก
เพื่อนและความรัก เป็นอีกเรื่องที่หนังพูดออกมาบ่อยถัดจากเรื่องปัญหาและจิตใจของโชยะ หนังเน้นย้ำมากเกี่ยวกับเรื่องเพื่อน เราจะได้เห็นเพื่อนประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนแท้หรือเพื่อนที่เสแสร้งของโชยะ มีหลากหลายประเภท ซึ่งเป็นไปตามชีวิตจริงที่เราต้องพบเจอคนอย่างหลากหลาย
ส่วนเรื่องความรัก แม้หนังอาจจะไม่ได้แสดงชัดเจนมากนัก เพราะหนังเน้นเสนอแง่มุมสังคมมากกว่าเรื่องความรักวัยรุ่น (ประเด็นความรักเป็นเรื่องรอง) แต่ก็มีโมเมนต์ให้ชวนคิดได้ เช่นเรื่องความรักของโชยะ หนังไม่ได้บอกชัดเจนว่าสุดท้ายโชยะชอบโชโกะแบบแฟนหรือแบบเพื่อน มันยังดูกำกวมอยู่ เราไม่รู้ว่าที่โชยะปกป้องโชโกะเป็นเพราะ เขาชอบโชโกะแบบแฟนหรือเปล่า หรือว่าแค่ปกป้องเพราะ อยากจะไถ่บาปที่ตัวเองเคยทำ (และเขาแทบไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคมอีกต่อไปแล้ว โชโกะจึงเป็นเพื่อนที่เขาขาดไม่ได้) ความกำกวมแบบนี้ก็พบได้ในชีวิตจริงนี่แหละ บางทีเรายังไม่รู้จิตใจตัวเองเลย
ยังมีเรื่องราวอื่นๆในหนังมีอีกมากมายตามที่ยังไม่ได้กล่าวแฝงในอยู่ในหนัง ซึ่งชวนให้เราขบคิดถึงปัญหาสังคมของญี่ปุ่น ผมไม่รู้ว่าญี่ปุ่นจะมีปัญหาแบบนี้เยอะหรือเปล่า แต่ก็เคยได้ยินมาว่า ญี่ปุ่นมีปัญหาเหล่านี้จริงๆ ซึ่งก็พอเป็นไปได้ถ้าดูจากบุคคลิกของคนญี่ปุ่นและสังคมที่มีความเครียดสูง ยาวไปจนถึงสื่ออีกหลายอย่างไม่ว่าจะหนังหรืออนิเมะ ก็มีประเด็นนี้แฝงอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เราได้มองเห็นปัญหาสังคมอีกด้านของญี่ปุ่น (จริงๆปัญหาแบบนี้มันก็มีกันทุกประเทศแหละ เพียงแต่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีภาพลักษณ์เชิงบวก พอได้ยินเรื่องเหล่านี้ก็ทำให้แปลกใจกว่าประเทศอื่นๆที่ด้อยกว่า)
หนังที่มีสไตล์ความเป็นญี่ปุ่นสูง
A Silent Voice เป็นหนังที่มีสไตล์ความเป็นญี่ปุ่นสูง สไตล์แบบนี้เป็นอีกสไตล์ที่ผมพบเห็นบ่อยในหนังรางวัลของญี่ปุ่น อาจเป็นเพราะ นิสัยคนญี่ปุ่นเป็นคนที่ไม่กล้าพูดอะไรตรงๆ รวมทั้งหนังมีความเป็นศิลปะสูง สไตล์หนังแบบนี้จึงได้เห็นอยู่บ่อยๆ ซึ่งดูไม่ง่ายนัก (แตกต่างกับแนวฮอลลีวูดมาก) การดำเนินเรื่องแบบเนิบๆ เรื่อยๆ พิถีพิถัน บรรยากาศเงียบๆ เหงาๆ แต่เต็มไปด้วยอารมณ์ดราม่า
เนื่องจากหนังไม่ได้กดดันอารมณ์แบบบอกตรงๆ แต่ใช้ภาพ ซิมโบล เสียง ความเงียบ กดดันความรู้สึกอย่างเหนือชั้น อย่างใน A Silent Voice ก็มีการใส่แต่ละฉากตัดสลับไปมาระหว่างการดำเนินเรื่อง เช่น ขณะคุยกันก็ตัดเอาภาพฉากสวนสาธารณะ สะพานเข้ามา ทำให้อารมณ์ดูอ้างว้าง เงียบ เดียวดาย เป็นเทคนิคหนังที่น่าสนใจที่พบเจอในหนังเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ มีสถานที่เป็นที่จุดรวมตัวของทุกเรื่องราวอย่างสะพานที่โชยะชอบไปยืนให้อาหารปลากับโชโกะ เสริมความแข็งแกร่งให้กับอารมณ์หนัง
ส่วนเรื่องภาพก็ทำได้สวยมาก ประณีต แสงเงางดงาม และดนตรีประกอบหนังก็สร้างอารมณ์กดดันแบบเงียบๆ ลึกๆ ในใจ ทำให้หนังดูเหงา (เพลงธีมเพราะแล้วก็เศร้ามาก) ตัวละครแต่ละตัวดูมีมิติ มีปมปัญหาของตัวเองที่ต้องเอาชนะไปให้ได้ ดูไม่แบนราบ ผสมกับปัญหาต่างๆ ทำให้บทหนังดูอัดแน่นและลึก
Ost. A Silent Voice รักไร้เสียง – เหตุผลที่ฉันตกหลุมรัก
ฉากที่ประทับใจที่สุด : โชยะสามารถมองหน้าทุกคนได้อีกครั้ง
ฉากที่ประทับใจที่สุดคงหนีไม่พ้นฉากสุดท้ายที่โชยะกล้าที่จะสู้หน้ากับทุกคนอีกครั้ง เป็นฉากที่ทำให้ผมน้ำตาคลอเลย รู้สึกสงสารแล้วก็ทึ่งที่โชยะลุกขึ้นสู้กับชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาผ่านเรื่องราวเลวร้ายมามากมายจริงๆ กว่าวันนี้จะมาถึงไม่ง่ายเลย
Koe no Katachi "A Silent Voice" OST (Soundtrack: LIT) - Longer Version
สรุป
สำหรับ
A Silent Voice (2017) ผมให้คะแนน
8.5/10 (เป็นอนิเมะที่สะท้อนสังคมได้ดีมาก) A Silent Voice ถือเป็นหนังที่ดูไม่ง่ายเลย เป็นหนังชีวิตที่หนักอึ้ง หนังดำเนินเรื่องเนิบๆ ซึ่งถ้าใครต้องการความฉับไว คงต้องบอกเลยว่าไม่เหมาะกับการดูหนังเรื่องนี้ เพราะอาจจะเบื่อและไม่ถูกใจ รวมถึงหนังดัดแปลงมาจากมังงะดังนั้นเนื้อเรื่องในอนิเมะนี้จะถูกอัดแน่น หนังผ่านเหตุการณ์แต่ละฉากค่อนข้างไว จุดนี้ก็เป็นอีกจุดที่ทำให้ดูยากหน่อย
ส่วนฟีลหนังคนละโทนกับ
Your Name (2017) ที่เน้นไปทางความรัก แต่ A Silent Voice เน้นไปเรื่องปัญหาชีวิต ส่วนตัวผมชอบมาก หนังผสมประเด็นเองต่างๆที่เปราะบางในสังคม นำเสนอออกมาได้ดี ดูไปดูมายังเหมือนหนังจิตวิทยากลายๆด้วย สอนให้เราเข้าใจถึงสภาพจิตใจของอาการซึมเศร้าที่ทำเอาผมจุกเลย ถือว่าคุ้มจริงๆที่ได้ดู
" ใครจะไปรู้ว่าเหตุการณ์ในวันนั้น จะทำให้ชีวิตต้องทนทุกข์ทรมาณขนาดนี้ "
8.5/10
----------------------------------------------------------------------
ป.ล. สำหรับคนที่ดูแล้วหรือยังไม่ได้ดู ก็สามารถมาคุยกันได้นะครับ ชอบฉากไหน ประทับใจเรื่องใด ก็มาคุยแลกเปลี่ยนกัน
----------------------------------------------------------------------
(เพิ่มเติมจาก คห.1) ดนตรีประกอบภาพยนตร์ของ A Silent Voice
หนังมีใช้ทั้งภาพสื่อความหมายแฝง ภาษาดอกไม้ แล้วยังรวมไปถึงดนตรีด้วยครับ ลองไล่ดูที่มีคนวิเคราะห์ดนตรีประกอบด้วยแล้วเพลินเลย (คลิปมีสปอยล์ ใครยังไม่ดูห้ามกดดูครับ) - ขอขอบคุณความคิดเห็นจากคุณ
ILoveHusky ดนตรีของ A Silent Voice ทำอย่างพิถีพิถันมากและละเอียดละออ
Koe no Katachi (A Silent Voice) Analysis - Music is Perspective (SPOILERS)
[CR] (Review) A Silent Voice (2017) - เสียงอันแผ่วเบาที่สะท้อนสังคมได้ดังยิ่ง
A Silent Voice (2017) หรือ The Shape of Voice หนึ่งในหนังที่ผมไม่คาดคิดว่ามันจะดีขนาดนี้ บังเอิญว่าหลังจากที่ได้ดู Your Name มาแล้ว เห็นทางค่ายหนังได้นำเรื่องนี้มาเข้าฉาย ผมเห็นภาพโปสเตอร์หนังดูหวานแหววดี แถมชื่อไทยชื่อว่า " รักไร้เสียง " เลยพาลคิดว่ามันเป็นหนังอนิเมะธรรมดาไม่มีอะไรมาก จนเพิ่งมาได้ดูเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ทำให้ผมกลับมุมมองเลย เป็นหนังอีกเรื่องที่ทำให้จุก
Koe no katachi (2017) กำกับโดย Naoko Yamada ซึ่งเนื้อเรื่องก็เอามาจากมังงะที่มีชื่อเดียวกัน มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของ Shoya Ishida โชยะในวัยประถม เด็กน้อยที่มีความมั่นใจสูง เป็นที่รักของเพื่อนๆทุกคนในห้อง วันหนึ่งมีเด็กนักเรียนหญิงชื่อ Shoko Nishimiya เข้ามา เธอเป็นเด็กสาวที่พิการทางการได้ยิน ระหว่างที่ทั้งคู่ได้รู้จักและเรียนด้วยกัน โชยะชอบแกล้งโชโกะ เพราะเห็นว่าโชโกะเป็นคนน่ารำคาญ หูไม่ได้ยิน แต่โชโกะก็ไม่ได้โกรธอะไร จนกระทั่งการแกล้งครั้งหนึ่งของโชยะทำให้โชโกะต้องย้ายออกจากโรงเรียน
จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ตัดกลับมาที่โชยะในชีวิตมัธยม เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่มีความมั่นใจอะไรเลย เบื่อหน่ายในชีวิต แถมยังเคยคิดฆ่าตัวตายอีกด้วย (ตรงกันข้ามกับตอนวัยประถมอย่างสิ้นเชิง) เขาไม่มีทั้งเพื่อนที่จริงจัง ไม่มีสังคม และดูไม่มีอะไรเลย แต่แล้วเขาก็ได้เจอกับโชโกะอีกครั้ง ทำให้การพบกันในครั้งนี้ ชีวิตของเขามีอะไรมากขึ้น
A Silent Voice - หนังสะท้อนสังคมด้วยเรื่องราวอันน่าหดหู่
ตอนแรกที่ผมดูเรื่องนี้ เห็นโปสเตอร์กับชื่อไทยก็ไม่คิดอะไร คิดว่าเป็นหนังรักกัน ดราม่าซึ้งๆ แต่พอได้ดูแล้ว ทำให้พบว่าเป็นหนังที่ผสมประเด็นหลายอย่างที่หนักอึ้งมาก มีหลายอย่างอัดแน่นอยู่ในหนังเต็มไปหมด ซึ่งเกินความคาดหมายมาก และทำให้ผมชอบเลยแหละ (แต่ผมไม่เคยอ่านมังงะนะ)
A Silent Voice คือหนังจิตวิทยาสะท้อนสังคม เป็นหนังชีวิตดีๆเรื่องหนึ่ง ที่ครอบคลุมประเด็นเรื่องวัยรุ่น ปมการแกล้งกันในสมัยเรียน ปัญหาระหว่างเพื่อน ปัญหาความรัก ปัญหาชีวิต การไม่กล้าสู้หน้าคน และลักษณะของโรคซึมเศร้าที่สามารถนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้
ประเด็นปัญหาทั้งหลายดูจะเป็นปมปัญหาชีวิตวัยรุ่นวัยเรียนทั่วๆไป ซึ่งเป็นวัยที่เต็มไปด้วยความสับสน โดยส่วนมากเราก็มักจะผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ แต่ปัญหาคือ มันมีบางคนที่ไม่สามารถก้าวผ่านปัญหานี้ไปได้ อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่ได้เผชิญกับปัญหาเหล่านี้ในวัยเรียน แต่ในห้องเรียนของเรา ไม่ว่าที่ใดก็ตาม มันก็มักจะต้องมีคนหนึ่งที่ถูกแกล้งอยู่ตลอดหรือเป็นคนที่มีปมในใจใหญ่หลวง ถ้าคนนั้นสามารถก้าวผ่านปมชีวิต ลืมเรื่องในอดีตไปได้ก็ดี แต่ถ้าดันติดกับปมในใจก้าวผ่านไม่ได้ บอกได้เลยว่า การใช้ชีวิตในแต่ละวันแทบจะเหมือนกับนรกบนดินดีๆ และมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าอย่างโชยะนั่นเอง (ใครที่ดูแล้วจะได้เห็นสภาพจิตใจอันน่ารันทดของโชยะกับโชโกะ)
ปมปัญหาชีวิตที่ไม่อาจก้าวผ่านได้
สิ่งหนังตั้งใจพูดออกมาอย่างชัดเจนคือ " ปมปัญหาชีวิตที่ไม่อาจก้าวผ่านได้ " ใครจะไปรู้ว่า เหตุการณ์ในวันหนึ่ง จะทำให้ชีวิตในอนาคตต้องอีรุงตุงนังขนาดนี้ อีกทั้งยังสร้างบาดแผลในใจอย่างลึกแสนสาหัสทั้งในจิตใจของโชยะและโชโกะ
เริ่มแรกหนังได้พูดถึงเรื่องราวในวัยประถมของโชยะที่ทำให้เขาต้องมามีชีวิตที่น่าสงสารในมัธยม เขาต้องสู้ชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาได้เจอเพื่อนดีๆ เขาพบกับปัญหาหนักหนามากมายและได้เริ่มเข้าใจถึงจิตใจตัวเอง เริ่มมีความกล้าในการสู้กับปัญหาและสามารถสู้หน้าคนใช้ชีวิตในสังคมได้อีกครั้ง เราจะได้เห็นชีวิตจากจุดต่ำที่สุดของโชยะค่อยๆสูงขึ้น และหักลง สูงขึ้น หักลง สลับไปมา และได้ลุ้นว่าเขาจะสามารถเอาชนะจิตใจตัวเองได้มั้ย (รวมไปถึงโชโกะด้วย)
เพื่อนและความรัก
เพื่อนและความรัก เป็นอีกเรื่องที่หนังพูดออกมาบ่อยถัดจากเรื่องปัญหาและจิตใจของโชยะ หนังเน้นย้ำมากเกี่ยวกับเรื่องเพื่อน เราจะได้เห็นเพื่อนประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนแท้หรือเพื่อนที่เสแสร้งของโชยะ มีหลากหลายประเภท ซึ่งเป็นไปตามชีวิตจริงที่เราต้องพบเจอคนอย่างหลากหลาย
ส่วนเรื่องความรัก แม้หนังอาจจะไม่ได้แสดงชัดเจนมากนัก เพราะหนังเน้นเสนอแง่มุมสังคมมากกว่าเรื่องความรักวัยรุ่น (ประเด็นความรักเป็นเรื่องรอง) แต่ก็มีโมเมนต์ให้ชวนคิดได้ เช่นเรื่องความรักของโชยะ หนังไม่ได้บอกชัดเจนว่าสุดท้ายโชยะชอบโชโกะแบบแฟนหรือแบบเพื่อน มันยังดูกำกวมอยู่ เราไม่รู้ว่าที่โชยะปกป้องโชโกะเป็นเพราะ เขาชอบโชโกะแบบแฟนหรือเปล่า หรือว่าแค่ปกป้องเพราะ อยากจะไถ่บาปที่ตัวเองเคยทำ (และเขาแทบไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคมอีกต่อไปแล้ว โชโกะจึงเป็นเพื่อนที่เขาขาดไม่ได้) ความกำกวมแบบนี้ก็พบได้ในชีวิตจริงนี่แหละ บางทีเรายังไม่รู้จิตใจตัวเองเลย
ยังมีเรื่องราวอื่นๆในหนังมีอีกมากมายตามที่ยังไม่ได้กล่าวแฝงในอยู่ในหนัง ซึ่งชวนให้เราขบคิดถึงปัญหาสังคมของญี่ปุ่น ผมไม่รู้ว่าญี่ปุ่นจะมีปัญหาแบบนี้เยอะหรือเปล่า แต่ก็เคยได้ยินมาว่า ญี่ปุ่นมีปัญหาเหล่านี้จริงๆ ซึ่งก็พอเป็นไปได้ถ้าดูจากบุคคลิกของคนญี่ปุ่นและสังคมที่มีความเครียดสูง ยาวไปจนถึงสื่ออีกหลายอย่างไม่ว่าจะหนังหรืออนิเมะ ก็มีประเด็นนี้แฝงอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เราได้มองเห็นปัญหาสังคมอีกด้านของญี่ปุ่น (จริงๆปัญหาแบบนี้มันก็มีกันทุกประเทศแหละ เพียงแต่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีภาพลักษณ์เชิงบวก พอได้ยินเรื่องเหล่านี้ก็ทำให้แปลกใจกว่าประเทศอื่นๆที่ด้อยกว่า)
หนังที่มีสไตล์ความเป็นญี่ปุ่นสูง
A Silent Voice เป็นหนังที่มีสไตล์ความเป็นญี่ปุ่นสูง สไตล์แบบนี้เป็นอีกสไตล์ที่ผมพบเห็นบ่อยในหนังรางวัลของญี่ปุ่น อาจเป็นเพราะ นิสัยคนญี่ปุ่นเป็นคนที่ไม่กล้าพูดอะไรตรงๆ รวมทั้งหนังมีความเป็นศิลปะสูง สไตล์หนังแบบนี้จึงได้เห็นอยู่บ่อยๆ ซึ่งดูไม่ง่ายนัก (แตกต่างกับแนวฮอลลีวูดมาก) การดำเนินเรื่องแบบเนิบๆ เรื่อยๆ พิถีพิถัน บรรยากาศเงียบๆ เหงาๆ แต่เต็มไปด้วยอารมณ์ดราม่า
เนื่องจากหนังไม่ได้กดดันอารมณ์แบบบอกตรงๆ แต่ใช้ภาพ ซิมโบล เสียง ความเงียบ กดดันความรู้สึกอย่างเหนือชั้น อย่างใน A Silent Voice ก็มีการใส่แต่ละฉากตัดสลับไปมาระหว่างการดำเนินเรื่อง เช่น ขณะคุยกันก็ตัดเอาภาพฉากสวนสาธารณะ สะพานเข้ามา ทำให้อารมณ์ดูอ้างว้าง เงียบ เดียวดาย เป็นเทคนิคหนังที่น่าสนใจที่พบเจอในหนังเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ มีสถานที่เป็นที่จุดรวมตัวของทุกเรื่องราวอย่างสะพานที่โชยะชอบไปยืนให้อาหารปลากับโชโกะ เสริมความแข็งแกร่งให้กับอารมณ์หนัง
ส่วนเรื่องภาพก็ทำได้สวยมาก ประณีต แสงเงางดงาม และดนตรีประกอบหนังก็สร้างอารมณ์กดดันแบบเงียบๆ ลึกๆ ในใจ ทำให้หนังดูเหงา (เพลงธีมเพราะแล้วก็เศร้ามาก) ตัวละครแต่ละตัวดูมีมิติ มีปมปัญหาของตัวเองที่ต้องเอาชนะไปให้ได้ ดูไม่แบนราบ ผสมกับปัญหาต่างๆ ทำให้บทหนังดูอัดแน่นและลึก
ฉากที่ประทับใจที่สุด : โชยะสามารถมองหน้าทุกคนได้อีกครั้ง
ฉากที่ประทับใจที่สุดคงหนีไม่พ้นฉากสุดท้ายที่โชยะกล้าที่จะสู้หน้ากับทุกคนอีกครั้ง เป็นฉากที่ทำให้ผมน้ำตาคลอเลย รู้สึกสงสารแล้วก็ทึ่งที่โชยะลุกขึ้นสู้กับชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาผ่านเรื่องราวเลวร้ายมามากมายจริงๆ กว่าวันนี้จะมาถึงไม่ง่ายเลย
สรุป
สำหรับ A Silent Voice (2017) ผมให้คะแนน 8.5/10 (เป็นอนิเมะที่สะท้อนสังคมได้ดีมาก) A Silent Voice ถือเป็นหนังที่ดูไม่ง่ายเลย เป็นหนังชีวิตที่หนักอึ้ง หนังดำเนินเรื่องเนิบๆ ซึ่งถ้าใครต้องการความฉับไว คงต้องบอกเลยว่าไม่เหมาะกับการดูหนังเรื่องนี้ เพราะอาจจะเบื่อและไม่ถูกใจ รวมถึงหนังดัดแปลงมาจากมังงะดังนั้นเนื้อเรื่องในอนิเมะนี้จะถูกอัดแน่น หนังผ่านเหตุการณ์แต่ละฉากค่อนข้างไว จุดนี้ก็เป็นอีกจุดที่ทำให้ดูยากหน่อย
ส่วนฟีลหนังคนละโทนกับ Your Name (2017) ที่เน้นไปทางความรัก แต่ A Silent Voice เน้นไปเรื่องปัญหาชีวิต ส่วนตัวผมชอบมาก หนังผสมประเด็นเองต่างๆที่เปราะบางในสังคม นำเสนอออกมาได้ดี ดูไปดูมายังเหมือนหนังจิตวิทยากลายๆด้วย สอนให้เราเข้าใจถึงสภาพจิตใจของอาการซึมเศร้าที่ทำเอาผมจุกเลย ถือว่าคุ้มจริงๆที่ได้ดู
ป.ล. สำหรับคนที่ดูแล้วหรือยังไม่ได้ดู ก็สามารถมาคุยกันได้นะครับ ชอบฉากไหน ประทับใจเรื่องใด ก็มาคุยแลกเปลี่ยนกัน
(เพิ่มเติมจาก คห.1) ดนตรีประกอบภาพยนตร์ของ A Silent Voice
หนังมีใช้ทั้งภาพสื่อความหมายแฝง ภาษาดอกไม้ แล้วยังรวมไปถึงดนตรีด้วยครับ ลองไล่ดูที่มีคนวิเคราะห์ดนตรีประกอบด้วยแล้วเพลินเลย (คลิปมีสปอยล์ ใครยังไม่ดูห้ามกดดูครับ) - ขอขอบคุณความคิดเห็นจากคุณ ILoveHusky ดนตรีของ A Silent Voice ทำอย่างพิถีพิถันมากและละเอียดละออ