สวัสดีค่ะทุกคน Log in นี้ไม่ได้ยืนยันตัวตน เลยมาตั้งเป็นกระทู้คำถามแทน แต่อยากให้ได้อ่านกันจริงๆ ค่ะ
อันที่จริงเราเป็นคนนึงนะที่เข้ามาหาความรู้ในกระทู้พันทิปก่อนจะทำอะไรโง่ๆ แบบนี้ลงไป ซึ่งอ่านไปก็ไม่ได้ช่วยทำให้ความอยาก
ที่จะประชดความน้อยใจนี้ลดลงไปได้
ขอเกริ่นก่อน...การกระทำครั้งนี้คงไม่ต้องบอกสาเหตุว่าเกิดจากอะไร ร้อยทั้งร้อยมันก็มาจากเหตุผลซ้ำๆ เดิมๆ กันทั้งนั้น
ทั้งๆ ที่บางทีเราเห็นข่าวอ่านข่าว เราก็ว่าเค้านะว่าทำแบบนั้นทำไม กับแค่คนคนเดียวที่ไม่รักเรา จะไปอะไรขนาดนั้น พอเจอกับตัวมันก็
อธิบายไม่ได้อยู่ดีค่ะ ว่าทำไมถึงคิดอะไรสั้นๆ แบบนั้น รู้แต่ว่าเราทำทุกอย่างแล้วเพื่อให้เค้ากลับมารักเรา ทุกอย่างแล้วจริงๆ
และนี่คือสิ่งสุดท้ายที่เราจะทำให้เค้าได้ คือให้ชีวิตเค้าค่ะ บ้าใช่ไหมล่ะ บ้ามากค่ะ แต่เราผ่านจุดนั้นมาแล้ว
และบอกเลยว่าขณะที่กำลังพิมพ์ให้ทุกคนได้อ่านอยู่นี้ ก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นว่าตอนนั้นแต่อย่างใด
เข้าเรื่องเหอะ เรากินยาแก้แพ้ที่มีชื่อว่า Dramamine ไปทั้งหมด 9 เม็ด เท่านั้นยังไม่พอ เรากินยาพาราเซตามอล
ที่ใช้ชื่อทางการค้าว่า Panadol สูตร ActiFast ซึ่งดูซึมเร็วกว่าปกติ 2 เท่าอีก 1 เม็ด ยาคลายกล้ามเนื้อและบรรเทาอาการปวด
ยี่ห้อ Norgesic ไปอีก 1 เม็ด ยาคลายกล้ามเนื้อ Voltaren 25 mg. ไปอีก 2 เม็ด และยาแก้อักเสบยี่ห้ออะไรก็ไม่รู้
ไปอีก 1 เม็ด รวมเป็นทั้งหมด 14 เม็ด อันที่จริงเราฉีก Air-X ไว้อีกประมาณ 6-7 เม็ด แต่เราคิดว่ามันหวาน กินไปคงไม่ได้ผลอะไร
แถมเม็ดใหญ่ขี้เกียจเคี้ยว เลยทิ้งใส่ถุงไว้ซะเฉยๆ และฉีก Norgesic ไว้อีก 2 เม็ด แต่มันเม็ดใหญ่มาก กลืนยากเลยกินไปแค่เม็ดเดียว
เรากินทั้งหมด 14 เม็ด เวลา 9.05 น.ของเช้าวันเสาร์ซึ่งแน่นอนว่าท้องหรือกระเพาะของเรานั้นว่างมาก และพร้อมที่จะย่อยและดูดซึม
สิ่งที่เราจะกินเข้าไปอย่างเต็มที่ หลังจากที่เรากินยาทั้งหมดนั้นเข้าไป เราส่งสติ๊กเกอร์ไลน์ไปหาแม่ และแม่ก็โทรกลับมาหาเราในทันที
ตอนนั้นยายังไม่ออกฤทธิ์ค่ะ คุยกะแม่ได้ 2 นาทีกว่าๆ แม่ก็วางสายไปโดยที่เราไม่ได้บอกอะไร ระหว่างนั้นตัวต้นเรื่องก็เข้ามา
ในห้องพอดีหลังจากวางสายจากแม่ เราก็ไปนอนบนเตียง
เวลาผ่านไปเกือบๆ ครึ่งชั่วโมง ยาพวกนั้นเริ่มออกฤทธิ์ เราเริ่มมีอาการปากและลิ้นชา พูดช้า และปลายมือและเท้าเริ่มไม่มีแรง
เราบอกตัวต้นเรื่อง ว่า เรารู้สึกชา เค้าถามว่าเรากินยาเข้าไปใช่ไหม ตอนแรกเราไม่พูด แต่เราเห็นว่าเค้าเห็นแผงยาที่เราฉีกและ
เก็บใส่ถุงเรียบร้อยอย่างดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราเลยตัดสินใจตอบไปว่าใช่ และเค้าก็คว้ามือเราลุกไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนั้น
เรายังมีแรงเดินนะคะ แต่มันจะมีอาการเบลอๆ ลอยๆ ซักพักก็มีอาการปากแห้งมาก หิวน้ำ เราก็ไปคว้าน้ำในรถมากิน ซึ่งเราไม่รู้เลยว่านั่น
ยิ่งเพิ่มการดูดซึมของกระเพาะเข้าไปอีก ระหว่างทางไปโรงพยาบาล เราเริ่มมีอาการหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ ใจสั่นเป็นช่วงๆ
แล้วหัวใจก็เต้นช้าลง สลับกันไปมา จนถึงโรงพยาบาล ในใจก็คิดไปว่าจะช้อคไหมนะ แต่ก็ไม่ อีกใจก็คิดไปว่า ตายก็ตาย ไม่ตายก็แล้วไป
แต่คิดไว้แล้วว่ากินไปแค่นี้ ไม่ตายหรอก แต่มันจะทรมานไปเรื่อยๆ ไม่รู้ถึงเมื่อไหร่ ณ ตอนนั้น บอกได้เลยค่ะ ไม่มีอะไรเจ็บไปกว่า
หัวใจที่สลายแล้วจริงๆ มันได้มีอาการเจ็บปวดที่ร่างกายแต่อย่างใด หรือเราคิดว่าใจมันเจ็บกว่าแล้วจริงๆ
พอไปถึงโรงพยาบาล พยาบาลก็ถามว่ากินยาอะไรเข้าไป กี่เม็ด ซักประวัติ ถามชื่อที่อยู่ ถามหาญาติ
ซึ่งเราก็ฟังทุกอย่างรู้เรื่อง แต่ตอบแบบที่สมองสั่งไม่ได้ ความคิดเราไปเร็วกว่าปากที่พยายามพูด เรารู้สึกว่า ลิ้นมันหนัก มันเปลี้ย
ไม่มีแรง ในขณะที่เราพยายามพูด คำตอบที่เรากำลังจะตอบที่สมองกำลังสั่งให้ตอบ อยู่ๆ ก็หายไป แล้วเราก็ลืมว่าเราจะพูดว่าอะไร
คือสมองมันเบลอ ความคิดมันช้าลง และจบไปอย่างรวดเร็ว เราลืมสิ่งที่พยาบาลถาม และรู้สึกว่าพวกเค้าพูดเร็วเกินไป
พยาบาลวัดความดัน และเจาะเลือดที่ปลายนิ้วมือไปตรวจ ปกติเราเป็นคนกลัวเข็ม กลัวการเจาะเลือดมาก
แต่วินาทีนั้นที่พยาบาลใช้เข็มเจาะปลายนิ้วเรา เราไม่รู้สึกเจ็บเลย เหมือนแค่มีคนเอาปลายเล็บมาจิ้มที่นิ้วเราเท่านั้น
เราถูกเข็นไปที่ห้องฉุกเฉิน สิ่งที่พยาบาลบอกคือเราต้องล้างท้อง และการกินยาไปเท่าที่เราบอกเค้านั้น มันไม่ตายหรอกนะ
นั่นคือสิ่งที่เค้าพูดกับเรา จุกนะคะ ไม่ใช่ไม่จุก ตอนนั้นรู้สึกเหมือนตาจะปิดอยู่ตลอดเวลา หนักหนังตาจากฤทธิ์ยาแก้แพ้
แต่เราไม่ยอมหลับค่ะ แล้วเราก็ถามพยาบาลไปว่า ถ้าไม่ล้างท้องล่ะคะ เค้าก็ตอบกลับมาว่า ร่างกายก็จะดูดซึมยาต่อไป
แต่ไม่เป็นไรหรอกก็แค่ง่วงและเพลียจากฤทธิ์ยาแก้แพ้เท่านั้น
ขั้นตอนต่อไปคือการล้างท้องค่ะ พยาบาลอธิบายวิธีการล้างท้องให้เราฟังก่อนจะเริ่มทำการล้างท้อง เค้าจะสวนสายยาง
เข้าไปทางจมูกผ่านไปที่คอที่เรากลืนอาหารนั่นแหละค่ะ แล้วบอกให้เรากลืนสายลงไปจนกว่าสายจะลงไปถึงกระเพาะ
เราก็ทำตามที่พยาบาลบอก ถ้าใครเห็นสายที่ถูกเสียบไปที่รูจมูก ทุกคนจะมอง และถามเราว่าเจ็บไหม ซึ่งจริงๆ มันก็น่าจะเจ็บแหละ
แต่เราบอกได้เลยว่าตอนนั้นมันไม่มีอะไรเจ็บไปกว่าใจแล้วจริงๆ หลังจากนั้นพยาบาลก็จะเอาไซริ้งขนาด 150 CC
(ไปอ่านเจอเห็นเค้าว่างั้นนะ) ฉีดน้ำสวนลงไปในกระเพาะแล้วก็ดูดออกมา ทำซ้ำไปเรื่อยๆจนกว่ายาที่เรากอนเข้าไปจะออกมาหมด
(ในกรณีที่มาเร็วและยายังละลายไม่หมดจะสามารถเห็นเม็ดยาและนับได้) หรือจนกว่าน้ำที่ดูดออกมาจากระเพาะจะใส
หลังจากนั้นพยาบาลก็ให้ยาสำหรับดูดซึมสารพิษออกจากกระเพาะ เป็นน้ำสีดำ เราได้ยินพยาบาลพูดว่าเราต้องให้ยาตัวนี้เข้าไป
ในกระเพาะ120 CC ซึ่งดูแล้ว ก็น่าจะเป็น Activated Carbon เหมือนที่กินเข้าไปเวลาท้องเสียจากอาหารเป็นพิษ
เรามาทราบทีหลังว่ามันคือ activated charcoal โดยจะให้ขนาด 10 เท่าของยาที่กิน
หลังจากนั้นไอ้สายยางที่ถูกเสียบเข้าไปในจมูกก็อยู่กับเราไปอีก 24 ชั่วโมงเต็มๆหลังจากนั้นเราก็ถูกให้น้ำเกลือ
และย้ายไปนอนที่ห้องสังเกตอาการ 1 คืนเพื่อดูอาการ ถ้าวันรุ่งขึ้นไม่มีอาการอะไรผิดปกติก็กลับบ้านได้พยาบาลจะเดิน
มาถามเราทุกๆ 4 ชั่วโมงว่ามีอาการปวดท้องหรือไม่ ซึ่งเรามีอาการปวดท้องบ้างเป็นบางช่วง ซึ่งน่าจะเกิดจากการหิวข้าวมากกว่า
เพราะเรากินมื้อสุดท้ายคือเย็นวันศุกร์จนกระทั่ง 9 โมงของวันอาทิตย์เราจึงได้กินมื้อต่อไป หลังเที่ยงคืนของว่าเสาร์
เรามีอาการอาเจียน 3 รอบ โดยอาเจียนออกมาเป็นสีดำของ activated charcoal และตัวต้นเรื่องที่เฝ้าเราอยู่นั้น
เห็นเราอาเจียนเป็นเลือด ลืมบอกไปค่ะ หลังจากที่เรากินยาเกินขนาดเข้าไปนั้น การรักษาคือจะให้งดน้ำงดอาหารทุกชนิด
จนกว่าจะแน่ใจว่าพิษยาที่เรากินเข้าไปจะถูก activated charcoal ดูดออกหมดแล้ว หรือหมดฤทธิ์ยาไปแล้วเท่านั้นนะคะ
เพราะการที่แม้แต่จิบน้ำเข้าไปให้ถึงกระเพาะนั้นเป็นการช่วยให้ร่างกายดูดซึมพิษยาได้ดีเลยทีเดียว แล้วยาแก้แพ้มีฤทธิ์
ทำให้ปากแห้งและหิวน้ำมาก ทรมานสิคะงานนี้ น้ำก็กินไม่ได้ อาหารก็กินไม่ได้ซักอย่างถ้าเรากินยาเข้าไปมากกว่านี้
ลองคิดดูค่ะว่า เราต้องอดน้ำอดอาหารไปอีกกี่วัน สิ่งที่ให้ให้ร่างการยังสู้กับฤทธิ์ยาได้ มีเพียงน้ำเกลือเท่านั้นค่ะ
สรุปแล้วยาแก้แพ้ 9 เม็ดและยาอื่นๆอีกนั้น ไม่ได้ช่วยให้เราหลับยาวเลย เราตื่นทุก 3 ชั่วโมงหลังจากกินยา
มีอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามร่างกายและเราตื่นทุกๆ 1 ชั่วโมงหลังจาก 12 ชั่วโมงที่ได้รับยาเข้าไป สรุปคือทั้งคืนนั้น
เราไม่ได้นอนแถมยังลุกขึ้นมาอาเจียนอีก และปวดฉี่บ่อยกว่าปกติทั้งๆ ที่ทั้งวันนั้นไม่ได้กินน้ำเลย กินไปแค่ตอนกินยา
9 โมงเช้าหมอมาดูอาการ กดๆ ที่ท้อง ฟังอัตราการเต้นของหัวใจ และถามว่ามีอาการปวดท้องไหม ซึ่งเราไม่มี
แต่ความดันต่ำลง แต่ไม่ต่ำกว่าปกติมากนัก หมอก็ไปคำนวณยาซักพัก ก็อนุญาตให้เรากลับบ้านได้
วินาทีนั้นคือ เอาอีสายยางนี้ออกไปจากคอฉันซักที มันทำให้เราเจ็บคอ และผืดผะอมตลอดเวลา ทรมานไปอีกกก
แล้วก็ขอกินน้ำก่อนได้ไหมมมมม ไม่ไหวแล้ว บวกกับหิวข้าวสุดๆ
เรายังโชคดีนะคะที่ยาที่กินเข้าไปไม่มากและไม่ทำให้เราทรมาณไปมากกว่านี้ ที่เรามาร่ายให้อ่านกันยาวเหยียดนี้
ส่วนนึงก็เพื่อเตือนตัวเองว่าการทำอะไรแบบนี้นั้น ไม่มีประโยชน์ ไม่ได้ทำให้ตัวต้นเรื่องกลับมารัก มาสนใจดูแลเรา
เหมือนเดิมแต่อย่างใด คนมันจะไม่รู้สึกผิด ให้ตายต่อหน้ามันมันก็ไม่รู้สึกอะไรค่ะ อย่าไปเจ็บตัวฟรีๆ เลย
ถึงตาย เราว่ามันก็ไม่ได้ทำให้เค้ารู้สึกผิดไปได้ทั้งชีวิตหรอกค่ะ มันก็คงจะแค่แรกๆ เท่านั้น ที่เหลือมันก็ไปใช้ชีวิตตามแบบ
ที่มันอยากเป็นแบบที่ไม่มีเราจริงๆ อย่างสบายใจกว่าเดิมอีก ต้องอยู่ค่ะ อยู่เป็นหนามแทงใจมันต่อไปค่ะ 5555+
ส่วนใครที่บอกว่าอกหัก ให้อ่านหนังสือธรรมะ เข้าวัด ทำบุญ เปลี่ยนแปลงตัวเอง ดูแลตัวเอง ทำตัวให้สวย
ให้มีคนใหม่เข้ามา เราบอกได้เลยว่าเราทำมันมาหมดแล้ว ไม่อยู่คนเดียว ไปวัด ทำบุญ ถวายสังฆทาน ใส่บาตรทุกเช้า แต่งตัวสวย
แต่งหน้าไปทำงาน น้ำหนักเราลดเพราะอกหัก หุ่นดี และก็มีผู้ชายคนใหม่มาจีบแต่เราก็ไม่ได้สนใจเค้าเลยค่ะ ไม่ใช่ว่าเค้าไม่ดี
หรือเราไม่ให้โอกาสเค้า หรือเราไม่ให้โอกาสตัวเอง แต่เราลองแล้ว ลองที่จะทำทุกอย่าง ลองคุย ให้โอกาสตัวเอง เปิดใจ
หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ครั้งนี้มันฝังใจมากค่ะ ตอนนี้เราอยู่ในช่วงพยายามเดินไปต่อคนเดียวให้ได้ ยังไม่พ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนะคะ
ยังต้องพยายามต่อไป ได้แต่บอกตัวเองให้พยายามต่อไปค่ะ
จบแล้วค่ะประสบการณ์โง่ๆ ของเรา อ่านแล้วก็ต้องบอกว่า ห้าม! ทำตามเด็ดขาดนะคะ คุณอาจไม่โชคดีเหมือนเรา
รักตัวเองเยอะๆ ค่ะ เราจะไม่บอกหรอกว่าให้คิดถึงหน้าพ่อแม่เยอะๆ เพราะถึงจุดๆ นั้นแล้ว อะไรก็รั้งไว้ไม่อยู่ อยู่ที่สติของคุณนั่นแหละ
แต่อยากให้ลองคิดซักนิด ว่าทำแบบนั้นแล้ว ตัวต้นเรื่องจะกลับมารักเราหรอบอกเลยค่ะว่าไม่! เพราะฉะนั้นบอกได้เลย
มันไม่มีประโยชน์เลยค่ะ ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ ด่าเราได้ แต่อย่าแรงนะ เราสำนึกไม่ทันแล้ว หุหุ
ประสบการณ์ "กินยาแก้แพ้เกินขนาด" อ่านก่อนกินนะ
อันที่จริงเราเป็นคนนึงนะที่เข้ามาหาความรู้ในกระทู้พันทิปก่อนจะทำอะไรโง่ๆ แบบนี้ลงไป ซึ่งอ่านไปก็ไม่ได้ช่วยทำให้ความอยาก
ที่จะประชดความน้อยใจนี้ลดลงไปได้
ขอเกริ่นก่อน...การกระทำครั้งนี้คงไม่ต้องบอกสาเหตุว่าเกิดจากอะไร ร้อยทั้งร้อยมันก็มาจากเหตุผลซ้ำๆ เดิมๆ กันทั้งนั้น
ทั้งๆ ที่บางทีเราเห็นข่าวอ่านข่าว เราก็ว่าเค้านะว่าทำแบบนั้นทำไม กับแค่คนคนเดียวที่ไม่รักเรา จะไปอะไรขนาดนั้น พอเจอกับตัวมันก็
อธิบายไม่ได้อยู่ดีค่ะ ว่าทำไมถึงคิดอะไรสั้นๆ แบบนั้น รู้แต่ว่าเราทำทุกอย่างแล้วเพื่อให้เค้ากลับมารักเรา ทุกอย่างแล้วจริงๆ
และนี่คือสิ่งสุดท้ายที่เราจะทำให้เค้าได้ คือให้ชีวิตเค้าค่ะ บ้าใช่ไหมล่ะ บ้ามากค่ะ แต่เราผ่านจุดนั้นมาแล้ว
และบอกเลยว่าขณะที่กำลังพิมพ์ให้ทุกคนได้อ่านอยู่นี้ ก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นว่าตอนนั้นแต่อย่างใด
เข้าเรื่องเหอะ เรากินยาแก้แพ้ที่มีชื่อว่า Dramamine ไปทั้งหมด 9 เม็ด เท่านั้นยังไม่พอ เรากินยาพาราเซตามอล
ที่ใช้ชื่อทางการค้าว่า Panadol สูตร ActiFast ซึ่งดูซึมเร็วกว่าปกติ 2 เท่าอีก 1 เม็ด ยาคลายกล้ามเนื้อและบรรเทาอาการปวด
ยี่ห้อ Norgesic ไปอีก 1 เม็ด ยาคลายกล้ามเนื้อ Voltaren 25 mg. ไปอีก 2 เม็ด และยาแก้อักเสบยี่ห้ออะไรก็ไม่รู้
ไปอีก 1 เม็ด รวมเป็นทั้งหมด 14 เม็ด อันที่จริงเราฉีก Air-X ไว้อีกประมาณ 6-7 เม็ด แต่เราคิดว่ามันหวาน กินไปคงไม่ได้ผลอะไร
แถมเม็ดใหญ่ขี้เกียจเคี้ยว เลยทิ้งใส่ถุงไว้ซะเฉยๆ และฉีก Norgesic ไว้อีก 2 เม็ด แต่มันเม็ดใหญ่มาก กลืนยากเลยกินไปแค่เม็ดเดียว
เรากินทั้งหมด 14 เม็ด เวลา 9.05 น.ของเช้าวันเสาร์ซึ่งแน่นอนว่าท้องหรือกระเพาะของเรานั้นว่างมาก และพร้อมที่จะย่อยและดูดซึม
สิ่งที่เราจะกินเข้าไปอย่างเต็มที่ หลังจากที่เรากินยาทั้งหมดนั้นเข้าไป เราส่งสติ๊กเกอร์ไลน์ไปหาแม่ และแม่ก็โทรกลับมาหาเราในทันที
ตอนนั้นยายังไม่ออกฤทธิ์ค่ะ คุยกะแม่ได้ 2 นาทีกว่าๆ แม่ก็วางสายไปโดยที่เราไม่ได้บอกอะไร ระหว่างนั้นตัวต้นเรื่องก็เข้ามา
ในห้องพอดีหลังจากวางสายจากแม่ เราก็ไปนอนบนเตียง
เวลาผ่านไปเกือบๆ ครึ่งชั่วโมง ยาพวกนั้นเริ่มออกฤทธิ์ เราเริ่มมีอาการปากและลิ้นชา พูดช้า และปลายมือและเท้าเริ่มไม่มีแรง
เราบอกตัวต้นเรื่อง ว่า เรารู้สึกชา เค้าถามว่าเรากินยาเข้าไปใช่ไหม ตอนแรกเราไม่พูด แต่เราเห็นว่าเค้าเห็นแผงยาที่เราฉีกและ
เก็บใส่ถุงเรียบร้อยอย่างดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราเลยตัดสินใจตอบไปว่าใช่ และเค้าก็คว้ามือเราลุกไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนั้น
เรายังมีแรงเดินนะคะ แต่มันจะมีอาการเบลอๆ ลอยๆ ซักพักก็มีอาการปากแห้งมาก หิวน้ำ เราก็ไปคว้าน้ำในรถมากิน ซึ่งเราไม่รู้เลยว่านั่น
ยิ่งเพิ่มการดูดซึมของกระเพาะเข้าไปอีก ระหว่างทางไปโรงพยาบาล เราเริ่มมีอาการหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ ใจสั่นเป็นช่วงๆ
แล้วหัวใจก็เต้นช้าลง สลับกันไปมา จนถึงโรงพยาบาล ในใจก็คิดไปว่าจะช้อคไหมนะ แต่ก็ไม่ อีกใจก็คิดไปว่า ตายก็ตาย ไม่ตายก็แล้วไป
แต่คิดไว้แล้วว่ากินไปแค่นี้ ไม่ตายหรอก แต่มันจะทรมานไปเรื่อยๆ ไม่รู้ถึงเมื่อไหร่ ณ ตอนนั้น บอกได้เลยค่ะ ไม่มีอะไรเจ็บไปกว่า
หัวใจที่สลายแล้วจริงๆ มันได้มีอาการเจ็บปวดที่ร่างกายแต่อย่างใด หรือเราคิดว่าใจมันเจ็บกว่าแล้วจริงๆ
พอไปถึงโรงพยาบาล พยาบาลก็ถามว่ากินยาอะไรเข้าไป กี่เม็ด ซักประวัติ ถามชื่อที่อยู่ ถามหาญาติ
ซึ่งเราก็ฟังทุกอย่างรู้เรื่อง แต่ตอบแบบที่สมองสั่งไม่ได้ ความคิดเราไปเร็วกว่าปากที่พยายามพูด เรารู้สึกว่า ลิ้นมันหนัก มันเปลี้ย
ไม่มีแรง ในขณะที่เราพยายามพูด คำตอบที่เรากำลังจะตอบที่สมองกำลังสั่งให้ตอบ อยู่ๆ ก็หายไป แล้วเราก็ลืมว่าเราจะพูดว่าอะไร
คือสมองมันเบลอ ความคิดมันช้าลง และจบไปอย่างรวดเร็ว เราลืมสิ่งที่พยาบาลถาม และรู้สึกว่าพวกเค้าพูดเร็วเกินไป
พยาบาลวัดความดัน และเจาะเลือดที่ปลายนิ้วมือไปตรวจ ปกติเราเป็นคนกลัวเข็ม กลัวการเจาะเลือดมาก
แต่วินาทีนั้นที่พยาบาลใช้เข็มเจาะปลายนิ้วเรา เราไม่รู้สึกเจ็บเลย เหมือนแค่มีคนเอาปลายเล็บมาจิ้มที่นิ้วเราเท่านั้น
เราถูกเข็นไปที่ห้องฉุกเฉิน สิ่งที่พยาบาลบอกคือเราต้องล้างท้อง และการกินยาไปเท่าที่เราบอกเค้านั้น มันไม่ตายหรอกนะ
นั่นคือสิ่งที่เค้าพูดกับเรา จุกนะคะ ไม่ใช่ไม่จุก ตอนนั้นรู้สึกเหมือนตาจะปิดอยู่ตลอดเวลา หนักหนังตาจากฤทธิ์ยาแก้แพ้
แต่เราไม่ยอมหลับค่ะ แล้วเราก็ถามพยาบาลไปว่า ถ้าไม่ล้างท้องล่ะคะ เค้าก็ตอบกลับมาว่า ร่างกายก็จะดูดซึมยาต่อไป
แต่ไม่เป็นไรหรอกก็แค่ง่วงและเพลียจากฤทธิ์ยาแก้แพ้เท่านั้น
ขั้นตอนต่อไปคือการล้างท้องค่ะ พยาบาลอธิบายวิธีการล้างท้องให้เราฟังก่อนจะเริ่มทำการล้างท้อง เค้าจะสวนสายยาง
เข้าไปทางจมูกผ่านไปที่คอที่เรากลืนอาหารนั่นแหละค่ะ แล้วบอกให้เรากลืนสายลงไปจนกว่าสายจะลงไปถึงกระเพาะ
เราก็ทำตามที่พยาบาลบอก ถ้าใครเห็นสายที่ถูกเสียบไปที่รูจมูก ทุกคนจะมอง และถามเราว่าเจ็บไหม ซึ่งจริงๆ มันก็น่าจะเจ็บแหละ
แต่เราบอกได้เลยว่าตอนนั้นมันไม่มีอะไรเจ็บไปกว่าใจแล้วจริงๆ หลังจากนั้นพยาบาลก็จะเอาไซริ้งขนาด 150 CC
(ไปอ่านเจอเห็นเค้าว่างั้นนะ) ฉีดน้ำสวนลงไปในกระเพาะแล้วก็ดูดออกมา ทำซ้ำไปเรื่อยๆจนกว่ายาที่เรากอนเข้าไปจะออกมาหมด
(ในกรณีที่มาเร็วและยายังละลายไม่หมดจะสามารถเห็นเม็ดยาและนับได้) หรือจนกว่าน้ำที่ดูดออกมาจากระเพาะจะใส
หลังจากนั้นพยาบาลก็ให้ยาสำหรับดูดซึมสารพิษออกจากกระเพาะ เป็นน้ำสีดำ เราได้ยินพยาบาลพูดว่าเราต้องให้ยาตัวนี้เข้าไป
ในกระเพาะ120 CC ซึ่งดูแล้ว ก็น่าจะเป็น Activated Carbon เหมือนที่กินเข้าไปเวลาท้องเสียจากอาหารเป็นพิษ
เรามาทราบทีหลังว่ามันคือ activated charcoal โดยจะให้ขนาด 10 เท่าของยาที่กิน
หลังจากนั้นไอ้สายยางที่ถูกเสียบเข้าไปในจมูกก็อยู่กับเราไปอีก 24 ชั่วโมงเต็มๆหลังจากนั้นเราก็ถูกให้น้ำเกลือ
และย้ายไปนอนที่ห้องสังเกตอาการ 1 คืนเพื่อดูอาการ ถ้าวันรุ่งขึ้นไม่มีอาการอะไรผิดปกติก็กลับบ้านได้พยาบาลจะเดิน
มาถามเราทุกๆ 4 ชั่วโมงว่ามีอาการปวดท้องหรือไม่ ซึ่งเรามีอาการปวดท้องบ้างเป็นบางช่วง ซึ่งน่าจะเกิดจากการหิวข้าวมากกว่า
เพราะเรากินมื้อสุดท้ายคือเย็นวันศุกร์จนกระทั่ง 9 โมงของวันอาทิตย์เราจึงได้กินมื้อต่อไป หลังเที่ยงคืนของว่าเสาร์
เรามีอาการอาเจียน 3 รอบ โดยอาเจียนออกมาเป็นสีดำของ activated charcoal และตัวต้นเรื่องที่เฝ้าเราอยู่นั้น
เห็นเราอาเจียนเป็นเลือด ลืมบอกไปค่ะ หลังจากที่เรากินยาเกินขนาดเข้าไปนั้น การรักษาคือจะให้งดน้ำงดอาหารทุกชนิด
จนกว่าจะแน่ใจว่าพิษยาที่เรากินเข้าไปจะถูก activated charcoal ดูดออกหมดแล้ว หรือหมดฤทธิ์ยาไปแล้วเท่านั้นนะคะ
เพราะการที่แม้แต่จิบน้ำเข้าไปให้ถึงกระเพาะนั้นเป็นการช่วยให้ร่างกายดูดซึมพิษยาได้ดีเลยทีเดียว แล้วยาแก้แพ้มีฤทธิ์
ทำให้ปากแห้งและหิวน้ำมาก ทรมานสิคะงานนี้ น้ำก็กินไม่ได้ อาหารก็กินไม่ได้ซักอย่างถ้าเรากินยาเข้าไปมากกว่านี้
ลองคิดดูค่ะว่า เราต้องอดน้ำอดอาหารไปอีกกี่วัน สิ่งที่ให้ให้ร่างการยังสู้กับฤทธิ์ยาได้ มีเพียงน้ำเกลือเท่านั้นค่ะ
สรุปแล้วยาแก้แพ้ 9 เม็ดและยาอื่นๆอีกนั้น ไม่ได้ช่วยให้เราหลับยาวเลย เราตื่นทุก 3 ชั่วโมงหลังจากกินยา
มีอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามร่างกายและเราตื่นทุกๆ 1 ชั่วโมงหลังจาก 12 ชั่วโมงที่ได้รับยาเข้าไป สรุปคือทั้งคืนนั้น
เราไม่ได้นอนแถมยังลุกขึ้นมาอาเจียนอีก และปวดฉี่บ่อยกว่าปกติทั้งๆ ที่ทั้งวันนั้นไม่ได้กินน้ำเลย กินไปแค่ตอนกินยา
9 โมงเช้าหมอมาดูอาการ กดๆ ที่ท้อง ฟังอัตราการเต้นของหัวใจ และถามว่ามีอาการปวดท้องไหม ซึ่งเราไม่มี
แต่ความดันต่ำลง แต่ไม่ต่ำกว่าปกติมากนัก หมอก็ไปคำนวณยาซักพัก ก็อนุญาตให้เรากลับบ้านได้
วินาทีนั้นคือ เอาอีสายยางนี้ออกไปจากคอฉันซักที มันทำให้เราเจ็บคอ และผืดผะอมตลอดเวลา ทรมานไปอีกกก
แล้วก็ขอกินน้ำก่อนได้ไหมมมมม ไม่ไหวแล้ว บวกกับหิวข้าวสุดๆ
เรายังโชคดีนะคะที่ยาที่กินเข้าไปไม่มากและไม่ทำให้เราทรมาณไปมากกว่านี้ ที่เรามาร่ายให้อ่านกันยาวเหยียดนี้
ส่วนนึงก็เพื่อเตือนตัวเองว่าการทำอะไรแบบนี้นั้น ไม่มีประโยชน์ ไม่ได้ทำให้ตัวต้นเรื่องกลับมารัก มาสนใจดูแลเรา
เหมือนเดิมแต่อย่างใด คนมันจะไม่รู้สึกผิด ให้ตายต่อหน้ามันมันก็ไม่รู้สึกอะไรค่ะ อย่าไปเจ็บตัวฟรีๆ เลย
ถึงตาย เราว่ามันก็ไม่ได้ทำให้เค้ารู้สึกผิดไปได้ทั้งชีวิตหรอกค่ะ มันก็คงจะแค่แรกๆ เท่านั้น ที่เหลือมันก็ไปใช้ชีวิตตามแบบ
ที่มันอยากเป็นแบบที่ไม่มีเราจริงๆ อย่างสบายใจกว่าเดิมอีก ต้องอยู่ค่ะ อยู่เป็นหนามแทงใจมันต่อไปค่ะ 5555+
ส่วนใครที่บอกว่าอกหัก ให้อ่านหนังสือธรรมะ เข้าวัด ทำบุญ เปลี่ยนแปลงตัวเอง ดูแลตัวเอง ทำตัวให้สวย
ให้มีคนใหม่เข้ามา เราบอกได้เลยว่าเราทำมันมาหมดแล้ว ไม่อยู่คนเดียว ไปวัด ทำบุญ ถวายสังฆทาน ใส่บาตรทุกเช้า แต่งตัวสวย
แต่งหน้าไปทำงาน น้ำหนักเราลดเพราะอกหัก หุ่นดี และก็มีผู้ชายคนใหม่มาจีบแต่เราก็ไม่ได้สนใจเค้าเลยค่ะ ไม่ใช่ว่าเค้าไม่ดี
หรือเราไม่ให้โอกาสเค้า หรือเราไม่ให้โอกาสตัวเอง แต่เราลองแล้ว ลองที่จะทำทุกอย่าง ลองคุย ให้โอกาสตัวเอง เปิดใจ
หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ครั้งนี้มันฝังใจมากค่ะ ตอนนี้เราอยู่ในช่วงพยายามเดินไปต่อคนเดียวให้ได้ ยังไม่พ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนะคะ
ยังต้องพยายามต่อไป ได้แต่บอกตัวเองให้พยายามต่อไปค่ะ
จบแล้วค่ะประสบการณ์โง่ๆ ของเรา อ่านแล้วก็ต้องบอกว่า ห้าม! ทำตามเด็ดขาดนะคะ คุณอาจไม่โชคดีเหมือนเรา
รักตัวเองเยอะๆ ค่ะ เราจะไม่บอกหรอกว่าให้คิดถึงหน้าพ่อแม่เยอะๆ เพราะถึงจุดๆ นั้นแล้ว อะไรก็รั้งไว้ไม่อยู่ อยู่ที่สติของคุณนั่นแหละ
แต่อยากให้ลองคิดซักนิด ว่าทำแบบนั้นแล้ว ตัวต้นเรื่องจะกลับมารักเราหรอบอกเลยค่ะว่าไม่! เพราะฉะนั้นบอกได้เลย
มันไม่มีประโยชน์เลยค่ะ ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ ด่าเราได้ แต่อย่าแรงนะ เราสำนึกไม่ทันแล้ว หุหุ