เรื่องมีอยู่ว่า ฉันได้ไปเกี่ยวข้องกับครอบครัวแมวจร และ หมาขี้เรื้อนที่พักอาศัยในบ้านของคนใจคับแคบ
ก่อนที่น้องแมวจรจะมาพักอาศัยในบ้านหลังนั้น น้องแมวได้ถูกคนใจร้ายนำมาทิ้งตามลำพังในป่าแถวๆบ้านหลังนั้น และ ได้ตั้งท้องเพราะถูกแมวป่าตัวผู้ข่มขืน จึงได้มาหาที่พังพิงในยามคลอดลูกน้อย เพราะถ้าคลอดในป่ามักจะโดนแมวป่าตัวอื่นกินลูกหมด เลยเลือกมาพังพิงในห้องเก็บของของบ้านหลังนั้น
พอเจ้าของบ้านเห็น ครั้งแรกตัวลูกชายกับเมียคิดจะกำจัด แต่คนที่เป็นแม่บอกว่า หนูที่บ้านเยอะเลี้ยงมันเอาไว้จับหนูดีกว่า เพราะมันท่าจะจับหนูเก่ง ตั้งแต่มันมาพักที่บ้าน จำนวนหนูในบ้านก้อลดลงเยอะ ทุกคนในบ้านหลังนั้นเลยตกลงกันว่าจะเลี้ยงแมว 3 แม่ลูกไว้ เพราะลูกชายเขาหาปลาได้วันหนึ่งเยอะพอสมควร จึงไม่หนักหนาอะไรกับการเลี้ยงแมว 3 ตัว
จนวันเวลาผ่านไป 5-6 เดือน หนูในบ้านนั้นแทบไม่มีให้เห็นเลยแม้แต่ตัวเดียว แล้วลูกแมวก้อเริ่มโตขึ้น วิ่งเล่นซุกซน สร้างความวุ่นวายให้บ้านหลังนั้นมาก และ น้องๆแมวจรก้อชอบไปถ่ายใต้แคร่ (บ้านนั้นมีดินแค่ตรงแคร่เท่านั่น พื้นที่อื่นเป็นหญ้าหนาแน่น) มันส่งกลิ่นเหม็นเน่าให้กับเขามาก
ตัวแม่แมวก้อท้องแล้วท้องอีก พอคลอดออกมา คนในบ้านนั้นก้อมักเอาไปทิ้งตั้งแต่แบเบาะ วนเวียนอยู่แบบนี้ 1-2 คอก
ซึ่งจริงๆแล้วเขาตั้งใจจะจับตัวแม่ไปปล่อย กะ จะเลี้ยงแค่ลูกคอกแรกไว้แค่ 2 ตัว เอาไว้จับหนูในบ้าน แต่พอดีจับแม่แมวไม่ได้ เลยได้แค่จับลูกคอกใหม่ไปทิ้ง
วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ วันแห่งความโหดร้ายก้อได้เดินทางมาถึงครอบครัวแมวจร เพราะเจ้าของบ้านทนความซุกซนของลูกแมว 2 ตัวที่เกิดในคอกแรกไม่ได้ และ ไม่อยากทนกับกลิ่นขี้แมว
คนในบ้านจึงตกลงกันว่า จะเลี้ยงไว้แค่ลูกตัวผู้ ตัวเดียวเท่านั้น ส่วนลูกตัวเมีย กับ แม่จะทำการจับไปปล่อยที่บ่อขยะ แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่คิด เพราะลูกน้อยในบ้านหลังนั้นรักลูกแมว 2 ตัว จึงร้องโวยวายถ้าพ่อจะเอาไปทิ้ง
ตัวพ่อเลยระงับไว้ และ เล่าถึงเหตุผลที่ต้องนำแมว 2 (แม่กับลูกตัวเมีย) แม่ลูกไปปล่อย ว่า ยายแพ้กลิ่นขี้กลิ่นเยี่ยวแมว และ แมวตัวเมียคลอดลูกบ่อย พอคลอดออกมาก้อต้องเอาไปทิ้ง ทำแบบนี้บ่อยๆมันบาปกรรม ลูกอยากให้พ่อแม่ลงนรกไหม ถ้าไม่อยากก้อต้องเอา 2 แม่ลูกนี้ไปปล่อย เก็บไว้แต่ตัวผู้พอ
ตัวลูกน้อย พอได้ยินแบบนั้น ก้อคล้อยตามพ่อแม่ ยอมให้เอาแมว 2 แม่ลูกไปปล่อย แต่มีแอบมาบอกเราว่า ให้เราช่วยรับแมว 2 แม่ลูกมาเลี้ยงหน่อยได้ไหม ไม่อยากให้มันถูกเอาไปปล่อย
พอเราได้ฟังในสิ่งที่เด็กน้อยเล่า ก้อได้เดินไปที่บ้านของเด็กน้อย คนในบ้านหลังนั้นจึงพูดกับเราว่า จะรับลูกตัวเมียไปเลี้ยงไหม แมวตัวผู้ที่บ้านเราจะได้มีเพื่อนจะได้อยู่ติดบ้าน ถ้าเราสนใจ จะเอาแค่ตัวแม่ไปปล่อย
ตอนที่ได้รับฟังในสิ่งที่เขาเล่ามา เราก้อได้บอกพวกเขาไปว่า เราไม่สามารถรับน้องแมวไปเลี้ยงได้ เพราะไม่สะดวกในหลายๆเรื่อง และ หมาที่บ้านก้อไม่ชอบแมวที่วิ่งกระโดดไปมา ถ้าเอาไปโดนหมาที่บ้านกัดตายแน่ แต่เราจะช่วยหาบ้านใหม่ให้น้องๆแทน อย่าพึ่งเอาน้องกับแม่ไปปล่อยเลย
และ ได้แนะนำเรื่องกลิ่นขับถ่ายของน้องๆว่า เด่วเราจะหาซื้อกะละมังทรายมาให้น้องๆถ่าย ระหว่างรอบ้าน แต่ทางบ้านนั้นได้ตอบกลับมาว่า เขาไม่สะดวกจะให้เราทำแบบนั้น เอาเป็นว่าเขาจะพยามอดทนจนกว่าน้องๆจะได้บ้าน เขาให้เวลาเรา 2 อาทิตย์
พอครบ 2 อาทิตย์ ก้อยังไร้วี่แวว เพราะน้องๆเป็นแมวไทย แถมอยู่ ตจว. ยังไม่ได้ทำหมันทำวัคซีนจึงค่อนข้างหาบ้านลำบาก เราจึงทำการต่อรองกับเขาว่า ขอเวลาเราถึงสิ้นเดือนนะ เขาก้อชักเสียหน้าไม่พอใจ แต่ก้อตกลงรับทราบกับสิ่งที่เราขอ
ระหว่างหาบ้าน ภาระทุกอย่างตกที่เราคนเดียว เพราะลูกชายกับลูกสะใภ้ของบ้านหลังนั้นได้ไปทำงานที่ กทม.แล้ว การให้ข้าวแมวจร กับ หมาเรื้อน และ อื่นจึงตกอยู่ที่เราคนเดียว
รายได้เราต่อเดือนคือ 3000/ด เท่านั้น และ พึ่งเริ่มได้มา 2-3 เดือนเท่านั่น ก่อนหน้านั้นจะได้แค่ 1000/ด ที่ได้เพิ่มมาอีก 2000 เพราะเราได้ขอร้องพี่ชาย เราจะสะสมเงินพาแมวที่เลี้ยงไว้ที่บ้าน 1 ตัวไปทำหมันทำวัคซีน ก่อนพาไปทำงานที่ กทม. เพราะเรามีปัญหากับที่บ้าน โดนไล่ออกจากบ้านไม่เว้นแต่ล่ะวัน เลยคิดว่าต้องนรีบเตรียมจัดการทำหมันทำวัคซีนแมวที่บ้าน
แต่ทุกอย่างกลับไม่สามารถทำอย่างที่คิดไว้ได้ เพราะเราต้องเอาเงินที่มีทั้งหมด มาซื้ออาหารให้แมว แมวที่เลี้ยงไว้จึงยังไม่ได้รับการทำหมันทำวัคซีน เสี่ยงต่อโรคหลายโรคเพราะแมวที่บ้านตัวผู้ เที่ยวเก่ง ได้แผลกลับมาทุกวัน แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อแมวจรก้อต้องกิน เลยต้องเปลี่ยนแผนใหม่หมด
คือ ต้องช่วยเหลือครอบครัวแมวจรก่อน แล้วค่อยมาจัดการแมวที่บ้าน เราคิดว่าคงต้องทำแบบนี้ก่อน เพราะไม่มีทางไหนให้คิดเลย
เพราะการไปขอ บริจาคอาหารจากคนอื่น เงื่อนไขปลีกย่อยในรายละเอียดมันมีเยอะ สภาวะชีวิตของเราในตอนนี้ไม่ว่างพอจะมานั่งทำอะไรแบบนั้นได้ เพราะปัญหาที่บ้านก้อหนักหนาเอาการอยู่เหมือนกัน ไหนจะเรื่องอื่นๆจากบ้านหลังนั้นอีก
และ ยังมีเรื่องที่ลูกสาวอีกคนของบ้านหลังนั้น ที่พักอยู่หลังถัดไป เขาได้เอาแมวดุในบ้านมาไล่กัดน้องๆจรทั้งแม่ทั้งลูก จนน้องมีแผลเรื้องรัง และ เขาจะนำน้องไปปล่อยจริงๆแล้ว ยิ่งเห็นยิ่งรับรู้เราก้อยิ่งหดหู่ และ เครียดไปหมด
เพราะการหาบ้านก้อยังไม่มีใครติดต่อเข้ามาเลย จนเราเริ่มจะถอดใจ ก้อได้มีพี่ใจดีคนหนึ่งติดต่อมา เสนอช่วยเหลือเรื่องกรง ถ้าเราสามารถดูแลน้องๆได้
ในตอนนั้น เรารู้สถานะตัวเองดีว่า เราไม่สามารถรับน้องเข้ามาดูแลในบ้านได้ ไม่ว่าจะชั่วคราวหรือถาวร แต่ว่าด้วยความที่ทนเห็นสภาพน้องๆถูกกระทำแบบนั้นไม่ไหว และ เย็นวันนั้น เขาจะนำน้องไปปล่อยแล้ว จึงตอบพี่ใจดีกลับไปว่าดูแลได้ เพื่อยื้อชีวิตน้องๆไว้ ใจตอนนั้นคิดได้แค่นี้จริงๆ
พออะไรๆมาครบ ได้ทำการรับน้องๆเข้ามาในบ้าน เอามาก่อนแค่ 2 ตัว เพราะตัวแม่กับลูกคอกใหม่ยังจับแม่ไม่ได้ เพราะกำลังให้นมลูกน้อย ต้องทำการดักจับตัวแม่ก่อน ซึ่งใช้เวลานานมากพอสมควร และ ก้อยังจับไม่ได้ เนื่องจากเจ้าของบ้านไม่สะดวกให้ทำการจับแบบนั่งเฝ้า มันเลยยิ่งยากเข้าไปใหญ่
และ น้องๆจร 2 ตัวค่อนข้างเหมือนลิง พอมาอยู่แต่ในกรงจึงแลเหมือนดุ ก้าวร้าว มักจะชอบกัดแขนเรา ข่วนแขนเรา ทุกครั้งที่หมาเรามาใกล้กรง และ เราเคยพาน้องมาอุ้มเดินเล่นก้อได้แผลมาเยอะมาก เพราะหมาเราไม่ตอนรับน้อง ส่วนน้องก้อขู่เพราะกลัวหมาจะมาทำร้ายตัวเอง มันเลยค่อนข้างทุลักทุเลสำหรับเรา
ทุกๆอย่างไม่ได้จบลงแค่หมากับแมว เรากับคนในบ้านเกิดปากเสียงกันแบบรุนแรง พี่สาวตัดการให้เงินเราใช้ 1000/ด ส่วนพี่ชาย ยังคงให้ แต่เราต้องใช้จ่ายหลายทาง ค่ากินค่าใช้ แมว และ ตัวเรา ค่าต่างๆจิปาถะ
มันเลยทำให้เราแทบไม่ต่างจากขอทานตามข้างถนนเลย เงินที่เคยเก็บสะสมไว้ เดือนล่ะ 500-1000 ก้อทยอยเอาออกมาใช้จนหมด เงินช่วยเหลือ จากพี่ๆที่มีเมตตาน้องๆ 500+500+1000 ก้อไม่พอ เพราะน้องๆกินเก่งมาก และ ร้องทั้งคืนทั้งวัน เราซื้อของสดมาทำให้แมวกิน ที่บ้านก้อมักเอาไปทำกิน พอเราทวงถาม ที่บ้านก้อจะพูดทำนองทวงบุญคุณจากเรา ทำให้เรากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
พอซื้อของสดมาทำให้แมวไม่ได้ เราก้อได้เปลี่ยนเป็นซื้ออาหารเปียกแทน ซึ่งมันเปลืองมาก แต่ก้อประหยัดกว่าปลาทู(เข่งล่ะ 30-40บาท)
แล้วชีวิตในแต่ล่ะวันของเราคือ จะได้นอนก้อเกือบตี 1 กว่าๆ ตี 3 กว่าๆน้องๆก้อร้องแล้ว ต้องตื่นมาดูน้องๆว่าขี้ไหม ถ้าขี้ก้อต้องรีบเคลียร์ เพราะ ถ้าไม่จัดการเก็บ เศษทรายจะเลอะเต็มกรง ปลิวว่อนมาข้างนอก เต็มที่นอนเรา(พื้นที่วางกรงมีแค่ตรงติดกับที่นอนเราเท่านั้น) เคยวางแผนจะวางข้างนอก แต่คนในบ้านไม่อนุญาติ และ ดูท่าแล้วหมาเราจะไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงทำให้ต้องรีบเคลียร์ทุกครั้งที่น้องขับถ่าย
และ ทรายที่ใช้เป็นแบบกรีนบ๊อก ทรายจะร่อนลงกะบะ 2 ชั้น แต่เราใช้แค่กะละมังธรรมดา ทรายจึงไม่มีที่ร่อนลง เราต้องยกกะบะออกมาร่อนทรายออกบ่อยๆ ทุกๆวัน วันล่ะ 5-10 ครั้ง จะดึกจะเช้าแค่ไหนเราก้อต้องทำ ถ้าไม่ทำ ฝุ่นที่ร่อนลงจะปลิวว่อนทั่วบ้าน
ส่วนน้องๆที่เคยใช้ชีวิตแบบอิสระ พอมาอยู่ในกรง ก้อร้องไม่หยุด ยิ่งช่วงนี้ติดสัตว์ ร้องทั้งคืน เราโดนคนในบ้านด่าถึงขั้นไล่ออกจากบ้านทั้งคนทั้งแมว แต่เราพยามหน้าด้านทน
และยังคงให้อาหาร ทั้งหมาและแมวที่พักในบ้านหลังนั้น ภาระทุกอย่างจึงหนักหนาสาหัสทั้งกายทั้งใจทั้งเงิน แน่นอนว่าเงินที่พี่ๆท่านอื่นช่วยจำนวนนั้นไม่พอ เราต้องควักเงิาตัวเองออกจนเราไม่มีอะไรจะกิน ต้องขโมยของกินในบ้านเวลาคนที่บ้านไม่เห็น เราในตอนนี้ไม่ต่างจากแมวขโมยเลย
แต่ในความคิดของคนอื่นๆ เขาจะมองว่าเราหากินกับสัตว์ ซึ่งจริงๆแล้ว เราอยากจะบอกคนที่คิดแบบนี้เหลือเกินว่า เงินที่มีคนช่วยมานะแทบไม่พอด้วยซ้ำ แต่ที่ไม่พูด เพราะขนาดมีคนช่วยเรากับแมวยังแย่ แทบไม่พอกิน ถ้าไม่มีคนช่วย เราคงจะแย่ยิ่งกว่านี้หลายร้อยเท่า ลำพังเงิน 3000/ด ของเราไม่สามารถเลี้ยงแมวและหมาได้แน่นอน
เพราะแมวร้องทั้งวันทั้งคืนจนคนในบ้านเกิดความรำคาน จะสงบก้อต่อเมื่อเรานั่งเล่นด้วย และ เอาอาหารเปียกให้กิน มีขนมแมวเลีย (มีคนติเราเยอะมากว่าไม่เจียม กระแดะซื้อขนมให้ทั้งที่ไม่มีเงิน) บ้างนานๆครั้ง เพื่อคล้ายความเครียดของน้องๆ เพราะมันทำให้น้องๆสงบได้ไวมากและนาน ต่างจากอาหารเปียก ที่สงบจริง แต่ก้อแค่ช่วงที่ได้กินเท่านั้น
ในส่วนของอาหารเม็ด เราก้อวางไว้ตลอด แต่น้องไม่ค่อยกิน ร้องตลอด บางที เล่นในกรงกัดลังกัดกระดาษจนปลิวว่อน เราก้อต้องรีบเก็บก่อนจะโดนด่า
เราถึงได้บอกว่า ปัญหาจุกจิกทั้งในบ้านเรา ทั้งที่บ้านหลังนั้น ทั้งแมวมีเยอะมาก แต่เราก้อยังไม่คิดจะทิ้งน้องๆ เพราะสงสารเขามาก แต่ก้อไม่รู้จะช่วยได้ขนาดไหน เพราะน้องๆค่อนข้างไปทางสัตว์ป่ามากกว่าสัตว์เลี้ยงเชื่องๆในบ้าน
น้องดุ กัดถ้าหิว ถ้าไม่พอใจ แม้กระทั่งกัดเล่นๆก้อยังทำให้เราได้แผลมาง่ายๆ และ มักชอบกระโดดสูง พลังแห่งการทำลายข้าวของสูงมาก เพราะแบบนี้ เราเลยค่อนข้างกลัวว่า ถ้าเราบอกคนที่มารับเลี้ยงไม่หมด ถ้าเขาเอาไป แล้วเกิดทนน้องไม่ได้ แล้วทำร้าย หรือ เอาน้ององไปปล่อยน้องทิ้ง น้องๆจะอยู่ยังไง ถ้าบอกไปว่าน้องมีนิสัยแบบนี้ แน่นอนหายากคนที่จะจิตใจดีรับในสิ่งที่น้องๆเป็น และ มีเวลาจะอบรบสอนน้องๆ
เพราะเราคิดว่าชีวิตในแต่ล่ะวันของแต่ละคน มีอะไรมากมายที่ต้องทำนอกเหนือจากการเลี้ยงแมว คงไม่มีใครว่างมานั่งเฝ้าสนใจแมวตลอดเวลา ต่อให้รักแค่ไหนก้อตาม นอกเสียจากมีเงิน มีงานที่มีเวลาว่าง แต่ถึงมีก้อน้อยคนที่จะเอาเวลาทั้งหมดที่มี 24 ชม. มาไว้กับแมว อาจมีแต่น้อย
มันเลยทำให้เราคิดเยอะ คิดหนัก คิดไปหมดทุกเรื่อง ทั้งเรื่องตัวเอง ครอบครัว แมวที่เลี้ยง แมวจร รวมถึงสิ่งที่บ้านหลังนั้นทำกับเรา
ณ ตอนนี้ ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะจัดการอะไรได้ดีขนาดไหน เพราะทุกอย่างต้องใช้เงิน และ ปัจจัยอื่นๆอีก ซึ่งเราไม่มีตรงนี้เลย
ปล.เรื่องจริงๆรายละเอียดของเรื่องมีเยอะกว่านี้ แต่ขอเขียนย่อๆแค่นี้ก่อน ในส่วนที่เขียนขึ้นมา อาจมีตกหล่นบ้างก้อต้องขออภัยด้วย เพราะระหว่างที่พิมพิ์เราต้องทำอย่างอื่นไปพร้อมๆกันคะ
เรื่องราวของฉันกับแมว
ก่อนที่น้องแมวจรจะมาพักอาศัยในบ้านหลังนั้น น้องแมวได้ถูกคนใจร้ายนำมาทิ้งตามลำพังในป่าแถวๆบ้านหลังนั้น และ ได้ตั้งท้องเพราะถูกแมวป่าตัวผู้ข่มขืน จึงได้มาหาที่พังพิงในยามคลอดลูกน้อย เพราะถ้าคลอดในป่ามักจะโดนแมวป่าตัวอื่นกินลูกหมด เลยเลือกมาพังพิงในห้องเก็บของของบ้านหลังนั้น
พอเจ้าของบ้านเห็น ครั้งแรกตัวลูกชายกับเมียคิดจะกำจัด แต่คนที่เป็นแม่บอกว่า หนูที่บ้านเยอะเลี้ยงมันเอาไว้จับหนูดีกว่า เพราะมันท่าจะจับหนูเก่ง ตั้งแต่มันมาพักที่บ้าน จำนวนหนูในบ้านก้อลดลงเยอะ ทุกคนในบ้านหลังนั้นเลยตกลงกันว่าจะเลี้ยงแมว 3 แม่ลูกไว้ เพราะลูกชายเขาหาปลาได้วันหนึ่งเยอะพอสมควร จึงไม่หนักหนาอะไรกับการเลี้ยงแมว 3 ตัว
จนวันเวลาผ่านไป 5-6 เดือน หนูในบ้านนั้นแทบไม่มีให้เห็นเลยแม้แต่ตัวเดียว แล้วลูกแมวก้อเริ่มโตขึ้น วิ่งเล่นซุกซน สร้างความวุ่นวายให้บ้านหลังนั้นมาก และ น้องๆแมวจรก้อชอบไปถ่ายใต้แคร่ (บ้านนั้นมีดินแค่ตรงแคร่เท่านั่น พื้นที่อื่นเป็นหญ้าหนาแน่น) มันส่งกลิ่นเหม็นเน่าให้กับเขามาก
ตัวแม่แมวก้อท้องแล้วท้องอีก พอคลอดออกมา คนในบ้านนั้นก้อมักเอาไปทิ้งตั้งแต่แบเบาะ วนเวียนอยู่แบบนี้ 1-2 คอก
ซึ่งจริงๆแล้วเขาตั้งใจจะจับตัวแม่ไปปล่อย กะ จะเลี้ยงแค่ลูกคอกแรกไว้แค่ 2 ตัว เอาไว้จับหนูในบ้าน แต่พอดีจับแม่แมวไม่ได้ เลยได้แค่จับลูกคอกใหม่ไปทิ้ง
วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ วันแห่งความโหดร้ายก้อได้เดินทางมาถึงครอบครัวแมวจร เพราะเจ้าของบ้านทนความซุกซนของลูกแมว 2 ตัวที่เกิดในคอกแรกไม่ได้ และ ไม่อยากทนกับกลิ่นขี้แมว
คนในบ้านจึงตกลงกันว่า จะเลี้ยงไว้แค่ลูกตัวผู้ ตัวเดียวเท่านั้น ส่วนลูกตัวเมีย กับ แม่จะทำการจับไปปล่อยที่บ่อขยะ แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่คิด เพราะลูกน้อยในบ้านหลังนั้นรักลูกแมว 2 ตัว จึงร้องโวยวายถ้าพ่อจะเอาไปทิ้ง
ตัวพ่อเลยระงับไว้ และ เล่าถึงเหตุผลที่ต้องนำแมว 2 (แม่กับลูกตัวเมีย) แม่ลูกไปปล่อย ว่า ยายแพ้กลิ่นขี้กลิ่นเยี่ยวแมว และ แมวตัวเมียคลอดลูกบ่อย พอคลอดออกมาก้อต้องเอาไปทิ้ง ทำแบบนี้บ่อยๆมันบาปกรรม ลูกอยากให้พ่อแม่ลงนรกไหม ถ้าไม่อยากก้อต้องเอา 2 แม่ลูกนี้ไปปล่อย เก็บไว้แต่ตัวผู้พอ
ตัวลูกน้อย พอได้ยินแบบนั้น ก้อคล้อยตามพ่อแม่ ยอมให้เอาแมว 2 แม่ลูกไปปล่อย แต่มีแอบมาบอกเราว่า ให้เราช่วยรับแมว 2 แม่ลูกมาเลี้ยงหน่อยได้ไหม ไม่อยากให้มันถูกเอาไปปล่อย
พอเราได้ฟังในสิ่งที่เด็กน้อยเล่า ก้อได้เดินไปที่บ้านของเด็กน้อย คนในบ้านหลังนั้นจึงพูดกับเราว่า จะรับลูกตัวเมียไปเลี้ยงไหม แมวตัวผู้ที่บ้านเราจะได้มีเพื่อนจะได้อยู่ติดบ้าน ถ้าเราสนใจ จะเอาแค่ตัวแม่ไปปล่อย
ตอนที่ได้รับฟังในสิ่งที่เขาเล่ามา เราก้อได้บอกพวกเขาไปว่า เราไม่สามารถรับน้องแมวไปเลี้ยงได้ เพราะไม่สะดวกในหลายๆเรื่อง และ หมาที่บ้านก้อไม่ชอบแมวที่วิ่งกระโดดไปมา ถ้าเอาไปโดนหมาที่บ้านกัดตายแน่ แต่เราจะช่วยหาบ้านใหม่ให้น้องๆแทน อย่าพึ่งเอาน้องกับแม่ไปปล่อยเลย
และ ได้แนะนำเรื่องกลิ่นขับถ่ายของน้องๆว่า เด่วเราจะหาซื้อกะละมังทรายมาให้น้องๆถ่าย ระหว่างรอบ้าน แต่ทางบ้านนั้นได้ตอบกลับมาว่า เขาไม่สะดวกจะให้เราทำแบบนั้น เอาเป็นว่าเขาจะพยามอดทนจนกว่าน้องๆจะได้บ้าน เขาให้เวลาเรา 2 อาทิตย์
พอครบ 2 อาทิตย์ ก้อยังไร้วี่แวว เพราะน้องๆเป็นแมวไทย แถมอยู่ ตจว. ยังไม่ได้ทำหมันทำวัคซีนจึงค่อนข้างหาบ้านลำบาก เราจึงทำการต่อรองกับเขาว่า ขอเวลาเราถึงสิ้นเดือนนะ เขาก้อชักเสียหน้าไม่พอใจ แต่ก้อตกลงรับทราบกับสิ่งที่เราขอ
ระหว่างหาบ้าน ภาระทุกอย่างตกที่เราคนเดียว เพราะลูกชายกับลูกสะใภ้ของบ้านหลังนั้นได้ไปทำงานที่ กทม.แล้ว การให้ข้าวแมวจร กับ หมาเรื้อน และ อื่นจึงตกอยู่ที่เราคนเดียว
รายได้เราต่อเดือนคือ 3000/ด เท่านั้น และ พึ่งเริ่มได้มา 2-3 เดือนเท่านั่น ก่อนหน้านั้นจะได้แค่ 1000/ด ที่ได้เพิ่มมาอีก 2000 เพราะเราได้ขอร้องพี่ชาย เราจะสะสมเงินพาแมวที่เลี้ยงไว้ที่บ้าน 1 ตัวไปทำหมันทำวัคซีน ก่อนพาไปทำงานที่ กทม. เพราะเรามีปัญหากับที่บ้าน โดนไล่ออกจากบ้านไม่เว้นแต่ล่ะวัน เลยคิดว่าต้องนรีบเตรียมจัดการทำหมันทำวัคซีนแมวที่บ้าน
แต่ทุกอย่างกลับไม่สามารถทำอย่างที่คิดไว้ได้ เพราะเราต้องเอาเงินที่มีทั้งหมด มาซื้ออาหารให้แมว แมวที่เลี้ยงไว้จึงยังไม่ได้รับการทำหมันทำวัคซีน เสี่ยงต่อโรคหลายโรคเพราะแมวที่บ้านตัวผู้ เที่ยวเก่ง ได้แผลกลับมาทุกวัน แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อแมวจรก้อต้องกิน เลยต้องเปลี่ยนแผนใหม่หมด
คือ ต้องช่วยเหลือครอบครัวแมวจรก่อน แล้วค่อยมาจัดการแมวที่บ้าน เราคิดว่าคงต้องทำแบบนี้ก่อน เพราะไม่มีทางไหนให้คิดเลย
เพราะการไปขอ บริจาคอาหารจากคนอื่น เงื่อนไขปลีกย่อยในรายละเอียดมันมีเยอะ สภาวะชีวิตของเราในตอนนี้ไม่ว่างพอจะมานั่งทำอะไรแบบนั้นได้ เพราะปัญหาที่บ้านก้อหนักหนาเอาการอยู่เหมือนกัน ไหนจะเรื่องอื่นๆจากบ้านหลังนั้นอีก
และ ยังมีเรื่องที่ลูกสาวอีกคนของบ้านหลังนั้น ที่พักอยู่หลังถัดไป เขาได้เอาแมวดุในบ้านมาไล่กัดน้องๆจรทั้งแม่ทั้งลูก จนน้องมีแผลเรื้องรัง และ เขาจะนำน้องไปปล่อยจริงๆแล้ว ยิ่งเห็นยิ่งรับรู้เราก้อยิ่งหดหู่ และ เครียดไปหมด
เพราะการหาบ้านก้อยังไม่มีใครติดต่อเข้ามาเลย จนเราเริ่มจะถอดใจ ก้อได้มีพี่ใจดีคนหนึ่งติดต่อมา เสนอช่วยเหลือเรื่องกรง ถ้าเราสามารถดูแลน้องๆได้
ในตอนนั้น เรารู้สถานะตัวเองดีว่า เราไม่สามารถรับน้องเข้ามาดูแลในบ้านได้ ไม่ว่าจะชั่วคราวหรือถาวร แต่ว่าด้วยความที่ทนเห็นสภาพน้องๆถูกกระทำแบบนั้นไม่ไหว และ เย็นวันนั้น เขาจะนำน้องไปปล่อยแล้ว จึงตอบพี่ใจดีกลับไปว่าดูแลได้ เพื่อยื้อชีวิตน้องๆไว้ ใจตอนนั้นคิดได้แค่นี้จริงๆ
พออะไรๆมาครบ ได้ทำการรับน้องๆเข้ามาในบ้าน เอามาก่อนแค่ 2 ตัว เพราะตัวแม่กับลูกคอกใหม่ยังจับแม่ไม่ได้ เพราะกำลังให้นมลูกน้อย ต้องทำการดักจับตัวแม่ก่อน ซึ่งใช้เวลานานมากพอสมควร และ ก้อยังจับไม่ได้ เนื่องจากเจ้าของบ้านไม่สะดวกให้ทำการจับแบบนั่งเฝ้า มันเลยยิ่งยากเข้าไปใหญ่
และ น้องๆจร 2 ตัวค่อนข้างเหมือนลิง พอมาอยู่แต่ในกรงจึงแลเหมือนดุ ก้าวร้าว มักจะชอบกัดแขนเรา ข่วนแขนเรา ทุกครั้งที่หมาเรามาใกล้กรง และ เราเคยพาน้องมาอุ้มเดินเล่นก้อได้แผลมาเยอะมาก เพราะหมาเราไม่ตอนรับน้อง ส่วนน้องก้อขู่เพราะกลัวหมาจะมาทำร้ายตัวเอง มันเลยค่อนข้างทุลักทุเลสำหรับเรา
ทุกๆอย่างไม่ได้จบลงแค่หมากับแมว เรากับคนในบ้านเกิดปากเสียงกันแบบรุนแรง พี่สาวตัดการให้เงินเราใช้ 1000/ด ส่วนพี่ชาย ยังคงให้ แต่เราต้องใช้จ่ายหลายทาง ค่ากินค่าใช้ แมว และ ตัวเรา ค่าต่างๆจิปาถะ
มันเลยทำให้เราแทบไม่ต่างจากขอทานตามข้างถนนเลย เงินที่เคยเก็บสะสมไว้ เดือนล่ะ 500-1000 ก้อทยอยเอาออกมาใช้จนหมด เงินช่วยเหลือ จากพี่ๆที่มีเมตตาน้องๆ 500+500+1000 ก้อไม่พอ เพราะน้องๆกินเก่งมาก และ ร้องทั้งคืนทั้งวัน เราซื้อของสดมาทำให้แมวกิน ที่บ้านก้อมักเอาไปทำกิน พอเราทวงถาม ที่บ้านก้อจะพูดทำนองทวงบุญคุณจากเรา ทำให้เรากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
พอซื้อของสดมาทำให้แมวไม่ได้ เราก้อได้เปลี่ยนเป็นซื้ออาหารเปียกแทน ซึ่งมันเปลืองมาก แต่ก้อประหยัดกว่าปลาทู(เข่งล่ะ 30-40บาท)
แล้วชีวิตในแต่ล่ะวันของเราคือ จะได้นอนก้อเกือบตี 1 กว่าๆ ตี 3 กว่าๆน้องๆก้อร้องแล้ว ต้องตื่นมาดูน้องๆว่าขี้ไหม ถ้าขี้ก้อต้องรีบเคลียร์ เพราะ ถ้าไม่จัดการเก็บ เศษทรายจะเลอะเต็มกรง ปลิวว่อนมาข้างนอก เต็มที่นอนเรา(พื้นที่วางกรงมีแค่ตรงติดกับที่นอนเราเท่านั้น) เคยวางแผนจะวางข้างนอก แต่คนในบ้านไม่อนุญาติ และ ดูท่าแล้วหมาเราจะไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงทำให้ต้องรีบเคลียร์ทุกครั้งที่น้องขับถ่าย
และ ทรายที่ใช้เป็นแบบกรีนบ๊อก ทรายจะร่อนลงกะบะ 2 ชั้น แต่เราใช้แค่กะละมังธรรมดา ทรายจึงไม่มีที่ร่อนลง เราต้องยกกะบะออกมาร่อนทรายออกบ่อยๆ ทุกๆวัน วันล่ะ 5-10 ครั้ง จะดึกจะเช้าแค่ไหนเราก้อต้องทำ ถ้าไม่ทำ ฝุ่นที่ร่อนลงจะปลิวว่อนทั่วบ้าน
ส่วนน้องๆที่เคยใช้ชีวิตแบบอิสระ พอมาอยู่ในกรง ก้อร้องไม่หยุด ยิ่งช่วงนี้ติดสัตว์ ร้องทั้งคืน เราโดนคนในบ้านด่าถึงขั้นไล่ออกจากบ้านทั้งคนทั้งแมว แต่เราพยามหน้าด้านทน
และยังคงให้อาหาร ทั้งหมาและแมวที่พักในบ้านหลังนั้น ภาระทุกอย่างจึงหนักหนาสาหัสทั้งกายทั้งใจทั้งเงิน แน่นอนว่าเงินที่พี่ๆท่านอื่นช่วยจำนวนนั้นไม่พอ เราต้องควักเงิาตัวเองออกจนเราไม่มีอะไรจะกิน ต้องขโมยของกินในบ้านเวลาคนที่บ้านไม่เห็น เราในตอนนี้ไม่ต่างจากแมวขโมยเลย
แต่ในความคิดของคนอื่นๆ เขาจะมองว่าเราหากินกับสัตว์ ซึ่งจริงๆแล้ว เราอยากจะบอกคนที่คิดแบบนี้เหลือเกินว่า เงินที่มีคนช่วยมานะแทบไม่พอด้วยซ้ำ แต่ที่ไม่พูด เพราะขนาดมีคนช่วยเรากับแมวยังแย่ แทบไม่พอกิน ถ้าไม่มีคนช่วย เราคงจะแย่ยิ่งกว่านี้หลายร้อยเท่า ลำพังเงิน 3000/ด ของเราไม่สามารถเลี้ยงแมวและหมาได้แน่นอน
เพราะแมวร้องทั้งวันทั้งคืนจนคนในบ้านเกิดความรำคาน จะสงบก้อต่อเมื่อเรานั่งเล่นด้วย และ เอาอาหารเปียกให้กิน มีขนมแมวเลีย (มีคนติเราเยอะมากว่าไม่เจียม กระแดะซื้อขนมให้ทั้งที่ไม่มีเงิน) บ้างนานๆครั้ง เพื่อคล้ายความเครียดของน้องๆ เพราะมันทำให้น้องๆสงบได้ไวมากและนาน ต่างจากอาหารเปียก ที่สงบจริง แต่ก้อแค่ช่วงที่ได้กินเท่านั้น
ในส่วนของอาหารเม็ด เราก้อวางไว้ตลอด แต่น้องไม่ค่อยกิน ร้องตลอด บางที เล่นในกรงกัดลังกัดกระดาษจนปลิวว่อน เราก้อต้องรีบเก็บก่อนจะโดนด่า
เราถึงได้บอกว่า ปัญหาจุกจิกทั้งในบ้านเรา ทั้งที่บ้านหลังนั้น ทั้งแมวมีเยอะมาก แต่เราก้อยังไม่คิดจะทิ้งน้องๆ เพราะสงสารเขามาก แต่ก้อไม่รู้จะช่วยได้ขนาดไหน เพราะน้องๆค่อนข้างไปทางสัตว์ป่ามากกว่าสัตว์เลี้ยงเชื่องๆในบ้าน
น้องดุ กัดถ้าหิว ถ้าไม่พอใจ แม้กระทั่งกัดเล่นๆก้อยังทำให้เราได้แผลมาง่ายๆ และ มักชอบกระโดดสูง พลังแห่งการทำลายข้าวของสูงมาก เพราะแบบนี้ เราเลยค่อนข้างกลัวว่า ถ้าเราบอกคนที่มารับเลี้ยงไม่หมด ถ้าเขาเอาไป แล้วเกิดทนน้องไม่ได้ แล้วทำร้าย หรือ เอาน้ององไปปล่อยน้องทิ้ง น้องๆจะอยู่ยังไง ถ้าบอกไปว่าน้องมีนิสัยแบบนี้ แน่นอนหายากคนที่จะจิตใจดีรับในสิ่งที่น้องๆเป็น และ มีเวลาจะอบรบสอนน้องๆ
เพราะเราคิดว่าชีวิตในแต่ล่ะวันของแต่ละคน มีอะไรมากมายที่ต้องทำนอกเหนือจากการเลี้ยงแมว คงไม่มีใครว่างมานั่งเฝ้าสนใจแมวตลอดเวลา ต่อให้รักแค่ไหนก้อตาม นอกเสียจากมีเงิน มีงานที่มีเวลาว่าง แต่ถึงมีก้อน้อยคนที่จะเอาเวลาทั้งหมดที่มี 24 ชม. มาไว้กับแมว อาจมีแต่น้อย
มันเลยทำให้เราคิดเยอะ คิดหนัก คิดไปหมดทุกเรื่อง ทั้งเรื่องตัวเอง ครอบครัว แมวที่เลี้ยง แมวจร รวมถึงสิ่งที่บ้านหลังนั้นทำกับเรา
ณ ตอนนี้ ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะจัดการอะไรได้ดีขนาดไหน เพราะทุกอย่างต้องใช้เงิน และ ปัจจัยอื่นๆอีก ซึ่งเราไม่มีตรงนี้เลย
ปล.เรื่องจริงๆรายละเอียดของเรื่องมีเยอะกว่านี้ แต่ขอเขียนย่อๆแค่นี้ก่อน ในส่วนที่เขียนขึ้นมา อาจมีตกหล่นบ้างก้อต้องขออภัยด้วย เพราะระหว่างที่พิมพิ์เราต้องทำอย่างอื่นไปพร้อมๆกันคะ