เพิ่งได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่องนี้มา ซึ่งถือว่าเป็นหนังฟอร์มยักษ์เรื่องเดียวในสัปดาห์ กับ Blade Runner 2049 หนัง Scifi ภาคต่อที่ห่างหายจากภาคแรกไป 35 ปีเต็มๆ ซึ่งเอาตรงๆ ภาคแรกผมยังไม่มีโอกาสได้ดู ตอนแรกว่าจะดูภาคแรกก่อน แต่ก็ไม่มีเวลา ภาคนี้ก็เกือบจะไม่ได้ดูแล้ว เพราะหนังยาวเฉียดๆ สามชั่วโมง เรียกว่าต้องหาเวลาว่างดูเลยทีเดียว
ภาคนี้เป็นเรื่องราวใน 30 ปีให้หลังจากภาคแรก เมื่อเจ้าหน้าที่เค (Officer K) ที่เป็น "เบลดรันเนอร์" (Blade Runner) คนล่าสุดได้เข้ามาประจำการที่เมืองลอสแอนเจลิส ซึ่งเขาได้พยายามสืบข้อมูลของ Rick Deckard ซึ่งนำแสดงโดย บุคคลหายสาบสูญไปนานถึงสามสิบปีเต็ม เพื่อสืบให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาเองและที่มาที่ไปของเหล่ามนุษย์เทียม
ช่วงต้นเรื่อง หนังเล่าผ่านมุมของความเป็น Officer K ที่จะทำให้คนดูรู้จักตัวละครตัวนี้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งดูตอนต้นๆ เรื่องก็น่าสนใจ และน่าติดตามมาก แต่หนังกลับใส่รายละเอียดตรงนี้เยอะและลากซะยาวเหยียดจนบางส่วนก็ละเอียดจนกินพอดี ทำให้ช่วงกลางๆ ของช่วงแรกออกจะง่วงเลยล่ะ เพราะเอาจริงๆ บางส่วนก็เหมือนแค่จะโชว์ราบละเอียดที่หนังทำมา แต่กลับไม่ได้มีส่วนสำคัญกับเรื่องเท่าไหร่ เลยทำให้หนังยาวเกินพอดี จนดูเหมือนหนังไปเดินวนไปวนมาอยู่กับจุดเดิมๆ มากจนน่าเบื่อในบางช่วง ซึ่งถ้าไม่มีพื้นฐานภาคแรก อาจจะงงหน่อย เพราะหนังก็ไม่ได้ปูเรื่องเกี่ยวกับที่มาที่ไปของเนื้อเรื่องเยอะ
พอเข้าสู่ช่วงกลางเรื่อง ที่พระเอกเริ่มตามหาความจริงและปูมหลังของตัวเอง หนังก็เริ่มกลับมาน่าติดตามอีกครั้ง หนังพาไปเจอปรศนามากมายเหมือนเรากำลังเล่นเกม adventure เกมนงอยู่ ปมหลายๆ อย่างที่ถูกสงสัยอยู่ตั้งแต่ต้นเรื่อง เริ่มค่อยๆ คลี่คลายออกมาทีละนิดๆ ตัวละครที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวต่างๆ เริ่มทยอยเผยตัวออกมาเรื่อยๆ แต่ก็ยังเน้นหลังๆ ที่ตัว Officer K เป็นตัวเดินเรื่องอยู่ตลอด
สำหรับตัวละครสำคัญอย่าง Deckard กว่าเราจะได้เห็นหน้าเขา ก็ต้องดูหนังไปเกินชั่วโมงครึ่งแล้ว เพราะกว่าหนังจะพาเราไปถึงจุดที่เราต้องการตัว Deckard มาคลี่คลายปม ก็ล่วงเลยมานานมาก แต่พอเขาออกมา หนังก็เริ่มไม่ได้โฟกัสที่ปมของ Officer K คนเดียวแล้ว หนังเริ่มขยายแกนหนังออกไปสู่โลกแห่ง Nexus 8 และเรื่องราวในอดีตที่ทำให้เกิดการ Black Out จนโลกกลายเป็นแบบนั้น หนังค่อยๆ เฉลยปริศนาออกมาได้อย่างมีชั้นเชิงจนถึงตอนไคลแม็กซ์ของเรื่อง เรียกว่าขั้นตอนการเดินเรื่องครึ่งเรื่องหลัง มีชั้นเชิงสูงเลยล่ะ หนังดูสนุกกว่าตอนต้นเรื่องเยอะ
ความดีงามที่สุดของหนังเรื่องนี้ ต้องบอกเลยว่า งานภาพ ฉากและ CG เป็นตัวชูโรงของหนังเลยก็ว่าได้ ฉากแต่ละฉากที่ออกมา ดูยิ่งใหญ่อลังการจนขนลุก บางฉากนี่เหมือนเราเข้าไปอยู่ในหนังกับตัวละครด้วยซ้ำ เรียกว่ามีความปราณีตและใส่อารมณ์มุมมองของคนดูจริงๆ เข้าไปได้อย่างดี บวกกับ Sound ประกอบที่ได้ Hans Zimmer จาก Dunkirk และ The Dark Knight และ Benjamin Wallfisch จาก Light Out และ IT ซึ่งสร้างความน่าตื่นเต้นแบบขนลุกให้คนดูได้เป็นอย่างดี จนหนังเรื่องนี้เกือบจะให้อารมณ์แบบหนัง Thriller ไปแทนเลยด้วยซ้ำ
ด้านนักแสดง พอได้ดูหนังไปสักพัก ผมนี่ถึงบางอ้อเลยว่าทำไมผู้กำกับถึงเลือก Ryan Gosling มารับบทนี้ เพราะหนังบอกในตอนต้นว่า ตัว Officer K เชื่อว่าตัวเองเป็นมนุษย์เทียมมาตั้งแต่ต้นเรื่อง ความเฉยๆ นิ่งๆ หน้าเนิบๆ ง่วงๆ ของ Ryan เรียกว่าเข้ากับทนี้ที่สุด แล้วพอถึงช่วงที่ต้องแสดงออกทางอารมณ์ที่ถูกระเบิดออกมา นักแสดงอย่างเขาก็ทำมันได้อย่างสุดยอด ส่วน Harrison Ford ที่ควรจะมีบทเด่น สำหรับภาคนี้ บทตัวละครที่ต้องเป็นกุญแจของเรื่องราวทั้งหมดกลับไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก น่าเสียดายพอสมควร เหมือนกับ Jared Leto เช่นกันที่น่าจะเป็นตัวละครที่เป็นฟันเฟืองให้เรื่องราวดำเนินไปได้แบบมน้ำหนักมากกว่านี้ แต่หนังก็กลับให้ความสำคัญของตัวละครสองตัวนี้น้อยเกินไป บทของ Deckard เหมือนเป็นตาลุงแก่ๆ ที่ไร้น้ำยาแม้แต่ะปกป้องตัวเอง ส่วนบทของ Wallace ก็น้อยเกินไปจนความสำคัญของเจ้าของบริษัทที่สร้างมนุษย์เทียมอย่างเขาถูกกลืนหายไป
ผิดกับดาราสาวตัวหลักสองคนในเรื่องอย่าง Ana De Amas ในบท Joi AI สาวที่อยู่เคียงข้างพระเอกตลอดเวลา กับ Sylvia Hoeks ในบทบอดี้การ์ดสุดโหดของ Wallace ที่เรียกว่าเด่นกว่าเจ้านายเยอะเลย สองคนนี้เด่นมากๆ โดยเฉพาะ Ana ที่ดูความน่ารักจนเพลินไปเลย
สำหรับคนที่คาดหวังกับฉาก action ต้องขอบอกว่าผิดหวังแน่นอน เพราะมีน้อยมาก เรียกว่านับได้เลย มีไม่ถึง 5 Scene เพราะหนังไปเน้นเรื่องการสืบสาวราวเรื่องที่เข้มข้นมากกว่าจะเน้นการต่อสู้แบบหนัง action scifi ทั่วไป แต่ก็ถือว่าเข้มข้นไปอีกแบบ จนได้รับคำชมเยอะพอสมควร แต่กับบางคนก็อาจจะผิดหวัง
สรุปเลยละกัน โดยรวมถึงหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังฟอร์มยักษ์ แต่หนังกลับไม่ได้ mass และดูง่ายเหมือนเรื่องอื่น แถมหนังยังยืดดดดดดยาวววววจนบางช่วงมีแอบหลับ แต่ถ้าอยากดูหนังที่มีชั้นเชิงการเล่าเรื่องและการคลี่คลายปริศนา เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับเยี่ยมนะ และอาจจะต้องหาข้อมูลภาคแรกไปหน่อยนะ ไม่งั้นจะงง
พูดคุยเพิ่มเติมได้ที่เพจนะครับ >>>
https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
[CR] [#Review] Blade Runner 2049 - หนัง action scifi ภาคต่อที่ เนื้อหาดีมาก แต่ไม่เหมาะกับ mass ฉาก action น้อยและยืดยาวไป
ภาคนี้เป็นเรื่องราวใน 30 ปีให้หลังจากภาคแรก เมื่อเจ้าหน้าที่เค (Officer K) ที่เป็น "เบลดรันเนอร์" (Blade Runner) คนล่าสุดได้เข้ามาประจำการที่เมืองลอสแอนเจลิส ซึ่งเขาได้พยายามสืบข้อมูลของ Rick Deckard ซึ่งนำแสดงโดย บุคคลหายสาบสูญไปนานถึงสามสิบปีเต็ม เพื่อสืบให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาเองและที่มาที่ไปของเหล่ามนุษย์เทียม
ช่วงต้นเรื่อง หนังเล่าผ่านมุมของความเป็น Officer K ที่จะทำให้คนดูรู้จักตัวละครตัวนี้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งดูตอนต้นๆ เรื่องก็น่าสนใจ และน่าติดตามมาก แต่หนังกลับใส่รายละเอียดตรงนี้เยอะและลากซะยาวเหยียดจนบางส่วนก็ละเอียดจนกินพอดี ทำให้ช่วงกลางๆ ของช่วงแรกออกจะง่วงเลยล่ะ เพราะเอาจริงๆ บางส่วนก็เหมือนแค่จะโชว์ราบละเอียดที่หนังทำมา แต่กลับไม่ได้มีส่วนสำคัญกับเรื่องเท่าไหร่ เลยทำให้หนังยาวเกินพอดี จนดูเหมือนหนังไปเดินวนไปวนมาอยู่กับจุดเดิมๆ มากจนน่าเบื่อในบางช่วง ซึ่งถ้าไม่มีพื้นฐานภาคแรก อาจจะงงหน่อย เพราะหนังก็ไม่ได้ปูเรื่องเกี่ยวกับที่มาที่ไปของเนื้อเรื่องเยอะ
พอเข้าสู่ช่วงกลางเรื่อง ที่พระเอกเริ่มตามหาความจริงและปูมหลังของตัวเอง หนังก็เริ่มกลับมาน่าติดตามอีกครั้ง หนังพาไปเจอปรศนามากมายเหมือนเรากำลังเล่นเกม adventure เกมนงอยู่ ปมหลายๆ อย่างที่ถูกสงสัยอยู่ตั้งแต่ต้นเรื่อง เริ่มค่อยๆ คลี่คลายออกมาทีละนิดๆ ตัวละครที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวต่างๆ เริ่มทยอยเผยตัวออกมาเรื่อยๆ แต่ก็ยังเน้นหลังๆ ที่ตัว Officer K เป็นตัวเดินเรื่องอยู่ตลอด
สำหรับตัวละครสำคัญอย่าง Deckard กว่าเราจะได้เห็นหน้าเขา ก็ต้องดูหนังไปเกินชั่วโมงครึ่งแล้ว เพราะกว่าหนังจะพาเราไปถึงจุดที่เราต้องการตัว Deckard มาคลี่คลายปม ก็ล่วงเลยมานานมาก แต่พอเขาออกมา หนังก็เริ่มไม่ได้โฟกัสที่ปมของ Officer K คนเดียวแล้ว หนังเริ่มขยายแกนหนังออกไปสู่โลกแห่ง Nexus 8 และเรื่องราวในอดีตที่ทำให้เกิดการ Black Out จนโลกกลายเป็นแบบนั้น หนังค่อยๆ เฉลยปริศนาออกมาได้อย่างมีชั้นเชิงจนถึงตอนไคลแม็กซ์ของเรื่อง เรียกว่าขั้นตอนการเดินเรื่องครึ่งเรื่องหลัง มีชั้นเชิงสูงเลยล่ะ หนังดูสนุกกว่าตอนต้นเรื่องเยอะ
ความดีงามที่สุดของหนังเรื่องนี้ ต้องบอกเลยว่า งานภาพ ฉากและ CG เป็นตัวชูโรงของหนังเลยก็ว่าได้ ฉากแต่ละฉากที่ออกมา ดูยิ่งใหญ่อลังการจนขนลุก บางฉากนี่เหมือนเราเข้าไปอยู่ในหนังกับตัวละครด้วยซ้ำ เรียกว่ามีความปราณีตและใส่อารมณ์มุมมองของคนดูจริงๆ เข้าไปได้อย่างดี บวกกับ Sound ประกอบที่ได้ Hans Zimmer จาก Dunkirk และ The Dark Knight และ Benjamin Wallfisch จาก Light Out และ IT ซึ่งสร้างความน่าตื่นเต้นแบบขนลุกให้คนดูได้เป็นอย่างดี จนหนังเรื่องนี้เกือบจะให้อารมณ์แบบหนัง Thriller ไปแทนเลยด้วยซ้ำ
ด้านนักแสดง พอได้ดูหนังไปสักพัก ผมนี่ถึงบางอ้อเลยว่าทำไมผู้กำกับถึงเลือก Ryan Gosling มารับบทนี้ เพราะหนังบอกในตอนต้นว่า ตัว Officer K เชื่อว่าตัวเองเป็นมนุษย์เทียมมาตั้งแต่ต้นเรื่อง ความเฉยๆ นิ่งๆ หน้าเนิบๆ ง่วงๆ ของ Ryan เรียกว่าเข้ากับทนี้ที่สุด แล้วพอถึงช่วงที่ต้องแสดงออกทางอารมณ์ที่ถูกระเบิดออกมา นักแสดงอย่างเขาก็ทำมันได้อย่างสุดยอด ส่วน Harrison Ford ที่ควรจะมีบทเด่น สำหรับภาคนี้ บทตัวละครที่ต้องเป็นกุญแจของเรื่องราวทั้งหมดกลับไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก น่าเสียดายพอสมควร เหมือนกับ Jared Leto เช่นกันที่น่าจะเป็นตัวละครที่เป็นฟันเฟืองให้เรื่องราวดำเนินไปได้แบบมน้ำหนักมากกว่านี้ แต่หนังก็กลับให้ความสำคัญของตัวละครสองตัวนี้น้อยเกินไป บทของ Deckard เหมือนเป็นตาลุงแก่ๆ ที่ไร้น้ำยาแม้แต่ะปกป้องตัวเอง ส่วนบทของ Wallace ก็น้อยเกินไปจนความสำคัญของเจ้าของบริษัทที่สร้างมนุษย์เทียมอย่างเขาถูกกลืนหายไป
ผิดกับดาราสาวตัวหลักสองคนในเรื่องอย่าง Ana De Amas ในบท Joi AI สาวที่อยู่เคียงข้างพระเอกตลอดเวลา กับ Sylvia Hoeks ในบทบอดี้การ์ดสุดโหดของ Wallace ที่เรียกว่าเด่นกว่าเจ้านายเยอะเลย สองคนนี้เด่นมากๆ โดยเฉพาะ Ana ที่ดูความน่ารักจนเพลินไปเลย
สำหรับคนที่คาดหวังกับฉาก action ต้องขอบอกว่าผิดหวังแน่นอน เพราะมีน้อยมาก เรียกว่านับได้เลย มีไม่ถึง 5 Scene เพราะหนังไปเน้นเรื่องการสืบสาวราวเรื่องที่เข้มข้นมากกว่าจะเน้นการต่อสู้แบบหนัง action scifi ทั่วไป แต่ก็ถือว่าเข้มข้นไปอีกแบบ จนได้รับคำชมเยอะพอสมควร แต่กับบางคนก็อาจจะผิดหวัง
สรุปเลยละกัน โดยรวมถึงหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังฟอร์มยักษ์ แต่หนังกลับไม่ได้ mass และดูง่ายเหมือนเรื่องอื่น แถมหนังยังยืดดดดดดยาวววววจนบางช่วงมีแอบหลับ แต่ถ้าอยากดูหนังที่มีชั้นเชิงการเล่าเรื่องและการคลี่คลายปริศนา เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับเยี่ยมนะ และอาจจะต้องหาข้อมูลภาคแรกไปหน่อยนะ ไม่งั้นจะงง
พูดคุยเพิ่มเติมได้ที่เพจนะครับ >>> https://www.facebook.com/DooNangGunMai/