ไปเจอบทสัมภาษณ์ กันน์ สรวิศ เอามาฝากทุกคนนะคะ
อ่านแล้วรู้สึกดีจัง รอวันที่กันน์มาถามนะคะว่า .... อยากกินอะไร
Credit : Foodstylist channel
http://foodstylistchannel.com/talk/%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%8Cthefacementhailand/#respond
ระหว่างนายแบบและเชฟจะไปด้วยกันได้ไหม? มารู้จักตัวตนอีกด้านกับจากรายการ The Face Men Thailand ที่ทำให้คุณต้องหลงรัก
ผ่านพ้นไปแล้วกับรายการ The Face Men Thailand และตำแหน่ง The Face Men คนแรกของโลกก็ตกเป็นของหนุ่ม ฟิลลิปส์ ทินโรจน์ หนุ่มทะเล้นขี้เล่นจากทีมคุณแม่ลูกเกด ทาง Foodstylist ต้องขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ และถึงแม้ว่ารายการจะจบลงไปแล้ว แต่กระแสตอบรับจากแฟนคลับก็ไม่ได้ซ่าลงเลย เพราะทั้งเสน่ห์,ความน่ารัก และคาแรคเตอร์เฉพาะตัวของหนุ่มๆทั้ง 18 คน ถ้าใครได้มาสัมผัสและรู้จักตัวตนจริงๆของพวกเขา เชื่อว่าจะต้องหลงเสน่ห์และกลายมาเป็นแฟนคลับแบบไม่ทันตั้งตัวอย่างแน่นอน
ซึ่งวันนี้ทาง foodstylist ก็ขอพาทุกคนมารู้จักตัวตนอีกด้านของหนุ่มหล่อกระชากใจ 1 ใน 18 คน ที่มีคาแรคเตอร์โดดเด่น และเป็นหนุ่มที่ทำให้รายการเป็นกระแสหนักมากช่วงก่อนปิดซีซั่น นั่นก็คือ กันน์ สรวิศ แสงวณิช หรือ กันน์ #Teampeach นั่นเอง หลายคนอาจจะเพิ่งรู้จักกันน์จากรายการ The Face Men Thailand แต่ถ้าใครได้ติดตามกันน์จะรู้ว่าแท้จริงแล้วหนุ่มคนนี้ถือเป็นแฟชั่นไอคอนระดับแถวหน้าของเมืองไทยที่มีผลงานด้านแฟชั่นโด่งดังในต่างประเทศ ซึ่งนอกจากใจรักในด้านแฟชั่นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นความชื่นชอบตั้งแต่วัยเด็กของกันน์นั่นก็คือการทำอาหาร และด้วยความมุ่งมั่นทำให้กันน์ประสบความสำเร็จจนได้เข้าไปเป็นเชฟในร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ เส้นทางการทำอาหารของกันน์เริ่มมาจากไหนอะไรและอะไรคือแรงบันดาลใจให้อยากเป็นเชฟเราไปติดตามกันเลยค่ะ
กระแสตอบรับจากรายการ The face men thailand เป็นยังไงบ้าง
กันน์ : คิดว่ากระแสตอบรับจากรายการนี้ดีมากเลยทีเดียวครับ ก็มีทั้งแฟนคลับ และงานเข้ามาเรื่อยๆเลย แต่หลังจากนี้ผมจะต้องบินกลับไปที่เกาหลีเพื่อไปทำงานด้านแฟชั่นต่อ
ตอนนี้คนทั่วไปรู้จักกันน์ในฐานะนายแบบที่แจ้งเกิดจากรายการ The face men และเป็นแฟนชั่นไอคอนระดับแถวหน้าของประเทศ แต่บางคนอาจจะยังไม่ทราบว่านอกจากจะเป็นนายแบบแล้ว กันน์ยังเคยเป็นเชฟมาก่อนด้วย เส้นทางการเป็นเชฟของกันน์เริ่มตั้งแต่ตอนไหน
กันน์ : สำหรับอาชีพเชฟ ผมได้เริ่มทำตั้งแต่อายุ 15 ซึ่งตอนนั้นผมได้ไปเรียนไฮสคูลที่นิวยอร์ก แล้วพี่ชายก็เป็นเชฟขนมอยู่แล้วด้วย คือตัวผมชอบทำอาหารตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ผมก็เลยบอกพี่ผมว่าขอลองไปทำ ตอนแรกเหมือนเชฟจะไม่ให้เพราะคิดว่าผมเด็กไป ผมก็เลยบอกเขาว่าจะขอทำ ตอนนั้นก็เลยหาร้านทำเองเลย แล้วก็บอกว่าผมฝึกงานฟรี เพราะอยากรู้ด้วยว่ามันเป็นยังไงแล้วผมชอบการทำอาหารจริงๆไหม
กันน์เริ่มรู้ว่าตัวเองหลงรักการทำอาหารตั้งแต่ตอนไหน
กันน์ : ความรู้สึกที่เริ่มรู้ว่าตัวเองชอบ คือเมื่อผมได้ลงมือทำอาหารเอง ผมรู้สึกถึงความตื่นเต้น และรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรบางอย่าง คือตอนเตรียมมันยังไม่สนุกเท่ากับตอนทำจริงๆอ่ะครับ อย่างตอนทำในร้านอาหาร ตอนเตรียมมันก็คือเตรียมไปเรื่อยๆไม่ได้รีบมาก แต่พอเมื่อร้านเปิดแล้วเราได้ทำจริงๆมันจะรู้สึกตื่นเต้น เหมือนเลือดสูบฉีด และรู้สึกมีแรงกดดันตลอดเวลา แล้วผมชอบความรู้สึกตรงนั้นที่รู้สึกว่ากดดัน มันตื่นเต้นดี ถ้าถามว่ารู้ตัวตั้งแต่ตอนไหนว่าชอบ ก็คือตอนเด็กๆเลย แล้วอีกอย่างคือเมื่อตอนเด็กๆผมเคยอ้วนด้วย เพราะผมชอบกินอ่ะครับ คือทั้งชอบกินแล้วก็ชอบทำอาหารกินเองด้วย ผมก็เลยหลงรักในการทำอาหารอยู่แล้ว มันก็เหมือนกับเราชอบทำเองตั้งแต่เด็ก พอมันได้ทำให้คนอื่นกินแล้วคนอื่นมีความสุขจากการกินอาหารของเรา มันก็เลยทำให้ผมรู้สึกว่าหลงรักในการทำอาหาร
คิดว่าเสน่ห์ของอาหารอยู่ที่ไหน
กันน์ : ผมคิดว่าอาหารคือสิ่งที่สร้างความสุขให้คน มันเป็นเหมือนศิลปะชนิดหนึ่งที่เอาอะไรมารวมกัน แล้วออกมาเป็นอย่างนึง ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือขนม มันเป็นเหมือนเอาส่วนผสมที่มันเป็นอย่างนี้มาก่อน ที่เอามาปรุงแต่งให้เป็นอีกอย่าง แล้วให้กินและสามารถสร้างความสุขให้กับคนได้ ผมคิดว่ามันเป็นศิลปะที่กินได้
คิดว่าเสน่ห์ของอาหารและเสน่ห์ในตัวกันน์ส่วนไหนที่คล้ายกัน
กันน์ : ส่วนตัวคิดว่าตัวเองเป็นคนขี้เล่น อาหารของผมมันก็ออกมาเป็นแนวนั้น ผมไม่ได้ยึดติดว่าขั้นตอนการทำมันต้องเป็นแบบคลาสสิค คือผมจะมีลูกเล่นกับอาหารของผมตลอดเวลา
ทำไมถึงได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์
กันน์ : คือผมเริ่มต้นจากตรงนั้นอ่ะครับ ร้านแรกที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปทำก็เป็นร้าน 1 ดาวมิชลิน ที่อยู่ในนิวยอร์ก ผมก็ได้ขอเข้าไปฝึกงานแล้วก็ทำงานฟรี 5-6 เดือน คือระหว่างเรียนอยู่ที่นั้นผมก็ไปทำงานทุกวัน ผมเรียนตั้งแต่ 7 โมงเช้า ถึง บ่ายโมง แล้วมาทำงาน 2 โมง ถึงตี 2 คือจุดเริ่มต้นก็คือได้มีโอกาสทำที่ร้านมิชลินเลย
การได้เข้าไปทำการได้เข้าไปทำงานในร้านระดับมิชลินว่ายากแล้วแต่การอยู่ให้ได้เรียกว่ายากกว่า อะไรที่ทำให้กันน์ผ่านความกดดันตรงนั้นมาได้
กันน์ : ผมคิดว่าผ่านตรงจุดนั้นมาได้เพราะว่ามันคือความสุขอ่ะครับ มันคือความสุขที่ได้ทำ มันรู้สึกว่าทำแล้วมันไม่ได้ท้ออ่ะครับ ก็คือจะสู้ต่อไปเพื่อพิสูจน์ให้เชฟเห็น และอยากพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าเราทำได้หรือเปล่า
ถ้าเกิดเจอเหตุการณ์ถูกเชฟดุใส่หรือเหวี่ยงใส่กันน์มีวิธีการรับมือกับอารมณ์ตรงนั้นยังไง
กันน์ : ผมรู้สึกว่าโดนเขาดุดีกว่าเขาไม่พูดอะไรเลย เพราะรู้สึกว่าถ้าเขาดุมาเราสามารถเอาคำดุด่าตรงนั้นไปปรับปรุงตัวเองได้ แต่ถ้าเขาไม่พูดอะไรเลยผมว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีอ่ะครับ คือเอาจุดนั้นมาพัฒนาแล้วทำให้เขาเห็นว่าเราทำได้
คิดว่าเส้นทางการเป็นเชฟของกันน์ถึงจุดสูงสุดหรือยัง หรือมีอย่างอื่นที่อยากทำอีก
กันน์ : สำหรับตรงนี้ผมคิดว่าผมก็ทำมาเยอะแล้วอ่ะครับ แล้วผมก็ได้เปิดร้านตัวเองไปแล้ว ถ้าถามว่าประสบความสำเร็จในด้านที่ได้ไปทำในร้านมิชลินสตาร์ผมก็คิดว่าตัวเองทำถึงจุดที่คิดว่าคือที่สุดของผมแล้ว คือได้ทำทั้งที่นิวยอร์ก สเปน แคลิฟอร์เนีย ฝรั่งเศสอะไรพวกนี้อ่ะครับ คือตรงเนี้ยผมก็ได้ทำมาหมดแล้วในสิ่งที่ผมอยากทำ แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากทำร้านอาหารของตัวเองอีก โดยที่ผมไม่ได้สนใจว่า จะต้องได้มิชลินอะไรเลย ผมแค่อยากทำอาหารที่อร่อยแล้วคนกินมีความสุขแค่นั้น เพราะนั่นผมคิดว่ามันประสบความสำเร็จแล้วสำหรับคนทำอาหารอ่ะครับ ขอแค่คนกินมีความสุขและก็ชอบอาหารของเรา
สำหรับเส้นทางการเป็นเชฟของกันน์กำลังไปได้สวย ทำไมถึงเลือกเปลี่ยนแนวมาเดินทางสายแฟชั่น
กันน์ : คือผมชอบควบคู่กันอยู่แล้วอ่ะครับ ทั้งแฟชั่นแล้วก็อาหาร ตอนที่ผมทำงานในครัวผมก็แต่งตัว แล้วพอได้มีประสบการณ์ทำอะไรทางด้านนี้ ผมก็อยากจะต่อยอดทั้ง 2 อย่างให้ควบคู่ไปด้วยกัน เพื่อแบบผมจะได้ทำอะไรที่มันเหมือนไม่มีใครทำอ่ะครับ เอาแฟชั่นมารวมกับอาหาร ผมก็อยากจะต่อยอดจุดนี้
คิดว่าอาชีพเชฟและนายแบบสามารถไปด้วยกันได้ไหม
กันน์ : สำหรับมุมมองผม ผมคิดว่ามันก็ไม่ได้ไปด้วยกันได้ขนาดนั้นหรอก ผมก็หาทางที่จะให้มันลงตัวก็คือ หลังจากนี้ถ้าผมจะเปิดร้านอาหารหรือว่าอะไร ผมอาจจะไม่ได้เป็นเชฟเอง แต่อาจจะเป็นคนคิดเมนู สร้างเมนูมากกว่า
กันน์ถือเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับคนรุ่นใหม่ที่กล้าจะมีฝันและทำความฝันให้ประสบความสำเร็จ ช่วยเป็นกำลังใจให้กับคนมีฝันแบบกันน์แต่ไม่กล้าที่จะทำความฝัน หรือบางครั้งทำแต่ก็ท้อไปก่อน
กันน์ : คือผมคิดว่าถ้าเราค้นหาตัวเองเจอว่าเราชอบหรืออยากทำอะไร ผมคิดว่าถ้าได้ลองแล้วเราชอบมันจริงๆ เราก็จะสู้เพื่อมันไม่ใช่ท้อ แต่ว่าผมก็คิดว่าไม่ควรจะทำอะไรแบบผมเพราะว่าผมไม่เรียน ผมไปตั้งใจทำงานแทน แต่ว่ามันก็เป็นช่องทางหนึ่งถ้าเรารักในสิ่งนั้นจริงๆแล้วเราอดทนแล้วสู้กับมันได้ แล้วเราคว้าโอกาสที่มีในตอนนั้น ไม่ใช่ทำไปแค่ว่าไม่เรียนไม่อยากทำอันนี้ แล้วมาทำอันนี้แทน อย่างนั้นมันไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเรารักแล้วลงมือทำจริงๆผมคิดว่ามันจะดีกว่า
.
.
.
ถ้ามีโอกาสได้ทำอาหารให้คนสำคัญสักคนกันน์อยากทำเมนูอะไรให้เขา เพราะอะไรถึงเลือกเมนูนี้
กันน์ : คืออย่างเมนูที่ผมทำเนี่นมันเปลี่ยนเมนูไปเรื่อยๆ มันไม่มีเมนูหลักที่ผมทำเป็นประจำ ถ้าจะทำอาหารให้ใครสักคนกินผมจะมาคิดก่อนว่าคนกลุ่มเนี่ยเขาชอบกินอะไร แล้วผมก็อยากจะถามคนกินมากกว่าว่าอยากกินอะไร มากกว่าที่จะทำไปเลยแล้วเขาไม่ชอบ เพราะผมรู้สึกว่าการทำอาหารมันทำให้ทุกคนอร่อยไม่ได้ ทุกคนมีลิ้นที่ต่างกัน ก็เลยถ้าผมอยากทำอาหารให้ใครสักคนนึง ถ้าเป็นคนพิเศษหรือคนสำคัญของผมเนี่ย ผมอยากจะถามเขามากกว่าว่าอยากกินอะไร
แฟนคลับจะได้มีโอกาสชิมฝีมือกันน์บ้างไหม
กันน์ : ผมก็หวังว่าเร็วนี้อ่ะครับ ถ้าผมมีโอกาสได้เปิดร้านแล้วเกิดทุกอย่างลงตัว ก็จะเปิดร้านอาหารอีกครั้งนึง ถามว่าแพลนเร็วๆนี้ไหมก็ยังบอกไม่ได้เพราะร้านที่ผมจะทำขึ้นเนี่ยผมอยากสร้างมันด้วยตัวของผมเอง ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ในช่วงทำงานเก็บเงินครับ
อีกไม่กี่วันกันน์ก็จะต้องเดินทางกลับเกาหลีแล้วใช่ไหม
กันน์ : ครับ ไปทำงานนายแบบต่อเพราะมีสัญญากับที่นั่นด้วย ก็คิดว่าจะทำตรงนั้นให้เต็มที่ที่สุดก่อน แล้วก็จะดูว่าหลังจากนี้จะทำอะไรได้ต่อบ้าง
อีกนานไหมกว่ากันน์จะกลับมาไทย
กันน์ : ผมก็ยังไม่รู้ว่าผมจะอยู่เกาหลีนานไหม แต่ถ้าเร็วๆนี้ผมคิดว่าน่าจะกลับมาสิ้นเดือนตุลาหรืออาจจะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกา ก็สามารถติดตามผลงานกันได้นะครับ
ฝากผลงานให้แฟนๆได้ติดตาม
กันน์ : รายการ The Face men Thailandก็ จบไปแล้ว ก็อย่าลืมผมแล้วกันนะครับ หลังจากนี้ก็คิดว่าน่าจะมีผลงานออกมา แต่ตอนนี้ผมก็มุ่งหน้ากลับไปทำงานนายแบบที่เกาหลี ซึ่งที่กลับไปก็จะไป seoul fashion week 2017 ถ้าใครมีโอกาสได้ไปก็ไปเจอกันได้นะครับ
ซึ่งตอนนี้หนุ่มกันน์ก็ได้เดินทางกับเกาหลีเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพื่อไปทำงานสายแฟชั่นต่อ ยังไงก็อย่าลืมเป็นกำลังใจให้กับหนุ่มกันน์เดินตามความฝันให้สำเร็จ เพื่อที่กันน์จะได้สร้างผลงานดีๆแต่เป็นตัวแทนของคนไทยไปสร้างชื่อเสียงในต่างแดน หรือถ้าใครคิดถึงหนุ่มขี้เล่นคนนี้และอยากติดตามผลงาน ก็สามารถเข้าไปติดตามได้ที่ อินสตาแกรม gunnswis และที่สำคัญหนุ่มกันน์กระซิบบอกมาด้วยว่าร้านอาหารก็จะมีแพลนเปิดแน่ๆยังไงต้องติดตามกันให้ดีนะจ๊ะ
ระหว่างนายแบบและเชฟจะไปด้วยกันได้ไหม?
อ่านแล้วรู้สึกดีจัง รอวันที่กันน์มาถามนะคะว่า .... อยากกินอะไร
Credit : Foodstylist channel
http://foodstylistchannel.com/talk/%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%8Cthefacementhailand/#respond
ระหว่างนายแบบและเชฟจะไปด้วยกันได้ไหม? มารู้จักตัวตนอีกด้านกับจากรายการ The Face Men Thailand ที่ทำให้คุณต้องหลงรัก
ผ่านพ้นไปแล้วกับรายการ The Face Men Thailand และตำแหน่ง The Face Men คนแรกของโลกก็ตกเป็นของหนุ่ม ฟิลลิปส์ ทินโรจน์ หนุ่มทะเล้นขี้เล่นจากทีมคุณแม่ลูกเกด ทาง Foodstylist ต้องขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ และถึงแม้ว่ารายการจะจบลงไปแล้ว แต่กระแสตอบรับจากแฟนคลับก็ไม่ได้ซ่าลงเลย เพราะทั้งเสน่ห์,ความน่ารัก และคาแรคเตอร์เฉพาะตัวของหนุ่มๆทั้ง 18 คน ถ้าใครได้มาสัมผัสและรู้จักตัวตนจริงๆของพวกเขา เชื่อว่าจะต้องหลงเสน่ห์และกลายมาเป็นแฟนคลับแบบไม่ทันตั้งตัวอย่างแน่นอน
ซึ่งวันนี้ทาง foodstylist ก็ขอพาทุกคนมารู้จักตัวตนอีกด้านของหนุ่มหล่อกระชากใจ 1 ใน 18 คน ที่มีคาแรคเตอร์โดดเด่น และเป็นหนุ่มที่ทำให้รายการเป็นกระแสหนักมากช่วงก่อนปิดซีซั่น นั่นก็คือ กันน์ สรวิศ แสงวณิช หรือ กันน์ #Teampeach นั่นเอง หลายคนอาจจะเพิ่งรู้จักกันน์จากรายการ The Face Men Thailand แต่ถ้าใครได้ติดตามกันน์จะรู้ว่าแท้จริงแล้วหนุ่มคนนี้ถือเป็นแฟชั่นไอคอนระดับแถวหน้าของเมืองไทยที่มีผลงานด้านแฟชั่นโด่งดังในต่างประเทศ ซึ่งนอกจากใจรักในด้านแฟชั่นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นความชื่นชอบตั้งแต่วัยเด็กของกันน์นั่นก็คือการทำอาหาร และด้วยความมุ่งมั่นทำให้กันน์ประสบความสำเร็จจนได้เข้าไปเป็นเชฟในร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ เส้นทางการทำอาหารของกันน์เริ่มมาจากไหนอะไรและอะไรคือแรงบันดาลใจให้อยากเป็นเชฟเราไปติดตามกันเลยค่ะ
กระแสตอบรับจากรายการ The face men thailand เป็นยังไงบ้าง
กันน์ : คิดว่ากระแสตอบรับจากรายการนี้ดีมากเลยทีเดียวครับ ก็มีทั้งแฟนคลับ และงานเข้ามาเรื่อยๆเลย แต่หลังจากนี้ผมจะต้องบินกลับไปที่เกาหลีเพื่อไปทำงานด้านแฟชั่นต่อ
ตอนนี้คนทั่วไปรู้จักกันน์ในฐานะนายแบบที่แจ้งเกิดจากรายการ The face men และเป็นแฟนชั่นไอคอนระดับแถวหน้าของประเทศ แต่บางคนอาจจะยังไม่ทราบว่านอกจากจะเป็นนายแบบแล้ว กันน์ยังเคยเป็นเชฟมาก่อนด้วย เส้นทางการเป็นเชฟของกันน์เริ่มตั้งแต่ตอนไหน
กันน์ : สำหรับอาชีพเชฟ ผมได้เริ่มทำตั้งแต่อายุ 15 ซึ่งตอนนั้นผมได้ไปเรียนไฮสคูลที่นิวยอร์ก แล้วพี่ชายก็เป็นเชฟขนมอยู่แล้วด้วย คือตัวผมชอบทำอาหารตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ผมก็เลยบอกพี่ผมว่าขอลองไปทำ ตอนแรกเหมือนเชฟจะไม่ให้เพราะคิดว่าผมเด็กไป ผมก็เลยบอกเขาว่าจะขอทำ ตอนนั้นก็เลยหาร้านทำเองเลย แล้วก็บอกว่าผมฝึกงานฟรี เพราะอยากรู้ด้วยว่ามันเป็นยังไงแล้วผมชอบการทำอาหารจริงๆไหม
กันน์เริ่มรู้ว่าตัวเองหลงรักการทำอาหารตั้งแต่ตอนไหน
กันน์ : ความรู้สึกที่เริ่มรู้ว่าตัวเองชอบ คือเมื่อผมได้ลงมือทำอาหารเอง ผมรู้สึกถึงความตื่นเต้น และรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรบางอย่าง คือตอนเตรียมมันยังไม่สนุกเท่ากับตอนทำจริงๆอ่ะครับ อย่างตอนทำในร้านอาหาร ตอนเตรียมมันก็คือเตรียมไปเรื่อยๆไม่ได้รีบมาก แต่พอเมื่อร้านเปิดแล้วเราได้ทำจริงๆมันจะรู้สึกตื่นเต้น เหมือนเลือดสูบฉีด และรู้สึกมีแรงกดดันตลอดเวลา แล้วผมชอบความรู้สึกตรงนั้นที่รู้สึกว่ากดดัน มันตื่นเต้นดี ถ้าถามว่ารู้ตัวตั้งแต่ตอนไหนว่าชอบ ก็คือตอนเด็กๆเลย แล้วอีกอย่างคือเมื่อตอนเด็กๆผมเคยอ้วนด้วย เพราะผมชอบกินอ่ะครับ คือทั้งชอบกินแล้วก็ชอบทำอาหารกินเองด้วย ผมก็เลยหลงรักในการทำอาหารอยู่แล้ว มันก็เหมือนกับเราชอบทำเองตั้งแต่เด็ก พอมันได้ทำให้คนอื่นกินแล้วคนอื่นมีความสุขจากการกินอาหารของเรา มันก็เลยทำให้ผมรู้สึกว่าหลงรักในการทำอาหาร
คิดว่าเสน่ห์ของอาหารอยู่ที่ไหน
กันน์ : ผมคิดว่าอาหารคือสิ่งที่สร้างความสุขให้คน มันเป็นเหมือนศิลปะชนิดหนึ่งที่เอาอะไรมารวมกัน แล้วออกมาเป็นอย่างนึง ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือขนม มันเป็นเหมือนเอาส่วนผสมที่มันเป็นอย่างนี้มาก่อน ที่เอามาปรุงแต่งให้เป็นอีกอย่าง แล้วให้กินและสามารถสร้างความสุขให้กับคนได้ ผมคิดว่ามันเป็นศิลปะที่กินได้
คิดว่าเสน่ห์ของอาหารและเสน่ห์ในตัวกันน์ส่วนไหนที่คล้ายกัน
กันน์ : ส่วนตัวคิดว่าตัวเองเป็นคนขี้เล่น อาหารของผมมันก็ออกมาเป็นแนวนั้น ผมไม่ได้ยึดติดว่าขั้นตอนการทำมันต้องเป็นแบบคลาสสิค คือผมจะมีลูกเล่นกับอาหารของผมตลอดเวลา
ทำไมถึงได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์
กันน์ : คือผมเริ่มต้นจากตรงนั้นอ่ะครับ ร้านแรกที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปทำก็เป็นร้าน 1 ดาวมิชลิน ที่อยู่ในนิวยอร์ก ผมก็ได้ขอเข้าไปฝึกงานแล้วก็ทำงานฟรี 5-6 เดือน คือระหว่างเรียนอยู่ที่นั้นผมก็ไปทำงานทุกวัน ผมเรียนตั้งแต่ 7 โมงเช้า ถึง บ่ายโมง แล้วมาทำงาน 2 โมง ถึงตี 2 คือจุดเริ่มต้นก็คือได้มีโอกาสทำที่ร้านมิชลินเลย
การได้เข้าไปทำการได้เข้าไปทำงานในร้านระดับมิชลินว่ายากแล้วแต่การอยู่ให้ได้เรียกว่ายากกว่า อะไรที่ทำให้กันน์ผ่านความกดดันตรงนั้นมาได้
กันน์ : ผมคิดว่าผ่านตรงจุดนั้นมาได้เพราะว่ามันคือความสุขอ่ะครับ มันคือความสุขที่ได้ทำ มันรู้สึกว่าทำแล้วมันไม่ได้ท้ออ่ะครับ ก็คือจะสู้ต่อไปเพื่อพิสูจน์ให้เชฟเห็น และอยากพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าเราทำได้หรือเปล่า
ถ้าเกิดเจอเหตุการณ์ถูกเชฟดุใส่หรือเหวี่ยงใส่กันน์มีวิธีการรับมือกับอารมณ์ตรงนั้นยังไง
กันน์ : ผมรู้สึกว่าโดนเขาดุดีกว่าเขาไม่พูดอะไรเลย เพราะรู้สึกว่าถ้าเขาดุมาเราสามารถเอาคำดุด่าตรงนั้นไปปรับปรุงตัวเองได้ แต่ถ้าเขาไม่พูดอะไรเลยผมว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีอ่ะครับ คือเอาจุดนั้นมาพัฒนาแล้วทำให้เขาเห็นว่าเราทำได้
คิดว่าเส้นทางการเป็นเชฟของกันน์ถึงจุดสูงสุดหรือยัง หรือมีอย่างอื่นที่อยากทำอีก
กันน์ : สำหรับตรงนี้ผมคิดว่าผมก็ทำมาเยอะแล้วอ่ะครับ แล้วผมก็ได้เปิดร้านตัวเองไปแล้ว ถ้าถามว่าประสบความสำเร็จในด้านที่ได้ไปทำในร้านมิชลินสตาร์ผมก็คิดว่าตัวเองทำถึงจุดที่คิดว่าคือที่สุดของผมแล้ว คือได้ทำทั้งที่นิวยอร์ก สเปน แคลิฟอร์เนีย ฝรั่งเศสอะไรพวกนี้อ่ะครับ คือตรงเนี้ยผมก็ได้ทำมาหมดแล้วในสิ่งที่ผมอยากทำ แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากทำร้านอาหารของตัวเองอีก โดยที่ผมไม่ได้สนใจว่า จะต้องได้มิชลินอะไรเลย ผมแค่อยากทำอาหารที่อร่อยแล้วคนกินมีความสุขแค่นั้น เพราะนั่นผมคิดว่ามันประสบความสำเร็จแล้วสำหรับคนทำอาหารอ่ะครับ ขอแค่คนกินมีความสุขและก็ชอบอาหารของเรา
สำหรับเส้นทางการเป็นเชฟของกันน์กำลังไปได้สวย ทำไมถึงเลือกเปลี่ยนแนวมาเดินทางสายแฟชั่น
กันน์ : คือผมชอบควบคู่กันอยู่แล้วอ่ะครับ ทั้งแฟชั่นแล้วก็อาหาร ตอนที่ผมทำงานในครัวผมก็แต่งตัว แล้วพอได้มีประสบการณ์ทำอะไรทางด้านนี้ ผมก็อยากจะต่อยอดทั้ง 2 อย่างให้ควบคู่ไปด้วยกัน เพื่อแบบผมจะได้ทำอะไรที่มันเหมือนไม่มีใครทำอ่ะครับ เอาแฟชั่นมารวมกับอาหาร ผมก็อยากจะต่อยอดจุดนี้
คิดว่าอาชีพเชฟและนายแบบสามารถไปด้วยกันได้ไหม
กันน์ : สำหรับมุมมองผม ผมคิดว่ามันก็ไม่ได้ไปด้วยกันได้ขนาดนั้นหรอก ผมก็หาทางที่จะให้มันลงตัวก็คือ หลังจากนี้ถ้าผมจะเปิดร้านอาหารหรือว่าอะไร ผมอาจจะไม่ได้เป็นเชฟเอง แต่อาจจะเป็นคนคิดเมนู สร้างเมนูมากกว่า
กันน์ถือเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับคนรุ่นใหม่ที่กล้าจะมีฝันและทำความฝันให้ประสบความสำเร็จ ช่วยเป็นกำลังใจให้กับคนมีฝันแบบกันน์แต่ไม่กล้าที่จะทำความฝัน หรือบางครั้งทำแต่ก็ท้อไปก่อน
กันน์ : คือผมคิดว่าถ้าเราค้นหาตัวเองเจอว่าเราชอบหรืออยากทำอะไร ผมคิดว่าถ้าได้ลองแล้วเราชอบมันจริงๆ เราก็จะสู้เพื่อมันไม่ใช่ท้อ แต่ว่าผมก็คิดว่าไม่ควรจะทำอะไรแบบผมเพราะว่าผมไม่เรียน ผมไปตั้งใจทำงานแทน แต่ว่ามันก็เป็นช่องทางหนึ่งถ้าเรารักในสิ่งนั้นจริงๆแล้วเราอดทนแล้วสู้กับมันได้ แล้วเราคว้าโอกาสที่มีในตอนนั้น ไม่ใช่ทำไปแค่ว่าไม่เรียนไม่อยากทำอันนี้ แล้วมาทำอันนี้แทน อย่างนั้นมันไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเรารักแล้วลงมือทำจริงๆผมคิดว่ามันจะดีกว่า
.
.
.
ถ้ามีโอกาสได้ทำอาหารให้คนสำคัญสักคนกันน์อยากทำเมนูอะไรให้เขา เพราะอะไรถึงเลือกเมนูนี้
กันน์ : คืออย่างเมนูที่ผมทำเนี่นมันเปลี่ยนเมนูไปเรื่อยๆ มันไม่มีเมนูหลักที่ผมทำเป็นประจำ ถ้าจะทำอาหารให้ใครสักคนกินผมจะมาคิดก่อนว่าคนกลุ่มเนี่ยเขาชอบกินอะไร แล้วผมก็อยากจะถามคนกินมากกว่าว่าอยากกินอะไร มากกว่าที่จะทำไปเลยแล้วเขาไม่ชอบ เพราะผมรู้สึกว่าการทำอาหารมันทำให้ทุกคนอร่อยไม่ได้ ทุกคนมีลิ้นที่ต่างกัน ก็เลยถ้าผมอยากทำอาหารให้ใครสักคนนึง ถ้าเป็นคนพิเศษหรือคนสำคัญของผมเนี่ย ผมอยากจะถามเขามากกว่าว่าอยากกินอะไร
แฟนคลับจะได้มีโอกาสชิมฝีมือกันน์บ้างไหม
กันน์ : ผมก็หวังว่าเร็วนี้อ่ะครับ ถ้าผมมีโอกาสได้เปิดร้านแล้วเกิดทุกอย่างลงตัว ก็จะเปิดร้านอาหารอีกครั้งนึง ถามว่าแพลนเร็วๆนี้ไหมก็ยังบอกไม่ได้เพราะร้านที่ผมจะทำขึ้นเนี่ยผมอยากสร้างมันด้วยตัวของผมเอง ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ในช่วงทำงานเก็บเงินครับ
อีกไม่กี่วันกันน์ก็จะต้องเดินทางกลับเกาหลีแล้วใช่ไหม
กันน์ : ครับ ไปทำงานนายแบบต่อเพราะมีสัญญากับที่นั่นด้วย ก็คิดว่าจะทำตรงนั้นให้เต็มที่ที่สุดก่อน แล้วก็จะดูว่าหลังจากนี้จะทำอะไรได้ต่อบ้าง
อีกนานไหมกว่ากันน์จะกลับมาไทย
กันน์ : ผมก็ยังไม่รู้ว่าผมจะอยู่เกาหลีนานไหม แต่ถ้าเร็วๆนี้ผมคิดว่าน่าจะกลับมาสิ้นเดือนตุลาหรืออาจจะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกา ก็สามารถติดตามผลงานกันได้นะครับ
ฝากผลงานให้แฟนๆได้ติดตาม
กันน์ : รายการ The Face men Thailandก็ จบไปแล้ว ก็อย่าลืมผมแล้วกันนะครับ หลังจากนี้ก็คิดว่าน่าจะมีผลงานออกมา แต่ตอนนี้ผมก็มุ่งหน้ากลับไปทำงานนายแบบที่เกาหลี ซึ่งที่กลับไปก็จะไป seoul fashion week 2017 ถ้าใครมีโอกาสได้ไปก็ไปเจอกันได้นะครับ
ซึ่งตอนนี้หนุ่มกันน์ก็ได้เดินทางกับเกาหลีเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพื่อไปทำงานสายแฟชั่นต่อ ยังไงก็อย่าลืมเป็นกำลังใจให้กับหนุ่มกันน์เดินตามความฝันให้สำเร็จ เพื่อที่กันน์จะได้สร้างผลงานดีๆแต่เป็นตัวแทนของคนไทยไปสร้างชื่อเสียงในต่างแดน หรือถ้าใครคิดถึงหนุ่มขี้เล่นคนนี้และอยากติดตามผลงาน ก็สามารถเข้าไปติดตามได้ที่ อินสตาแกรม gunnswis และที่สำคัญหนุ่มกันน์กระซิบบอกมาด้วยว่าร้านอาหารก็จะมีแพลนเปิดแน่ๆยังไงต้องติดตามกันให้ดีนะจ๊ะ