ความฝันครั้งนี้ก็เริ่มจากเมื่อเราไป OSAKA Marathon 2016 กลับมา แล้วเราก็คิดว่าเราพอจะมีความมั่นใจในการไปไหนมาไหนคนเดียว ต่างบ้านต่างเมืองได้ละ พอกลับมาถึงก็เจอว่า Berlin Marathon 2017 เริ่มรับสมัคร Drawing เราก็เลยลองสมัครดู เพราะเยอรมนีเป็นที่ที่เราอยากไปเที่ยวอยู่แล้ว และที่สำคัญ งานนี้จัดช่วงปลายเดือน กันยายน ซึ่งจะเป็นช่วงใกล้ ๆ วันเกิดเรา สมัครเสร็จก็ภาวนาขอให้ตัวเองได้ไปฉลองวันเกิดที่ Berlin Marathon ซะทีเถอะ
ในส่วนของการสมัคร Drawing (Lotto) ของ Berlin Marathon จะให้ระบุบัตรเครดิตและ Lock วงเงินไว้เลยนะคะ สมัครเสร็จก็จะมีเมล์มาประมาณนี้
ในส่วนของ Chip เข้าใจว่า ถ้าใครมี Chip เป็นของตัวเองก็ไม่ต้องเช่าก็ได้นะคะ แต่ต้องเอาไป register ที่งาน (แต่คนต่างแดนอย่างเราเช่า ๆ กันก็น่าจะง่ายดี แต่คนที่นั่นเท่าที่ดูก็จะมีเป็นของตัวเองค่ะ) เสื้องานหรือเสื้อ finisher ไปซื้อได้ที่ Expo แค่ถ้าไปช้าไซส์ อาจจะหมด อย่างเราไม่ได้สั่งเสื้อ Finisher พอไป Expo เสื้อผู้หญิง ไซส์ S หมดแล้ว
พอถึงวันประกาศผลก็จะมีเมล์มาแจ้งผลค่ะ ไม่ต้องรอลุ้นนานค่ะ สมัครต้นเดือน สิ้นเดือนก็ประกาศผล
พอเสร็จสับก็หาที่พักในช่วงวันวิ่งไว้ได้เลยค่ะ จริงๆ เหมือนใน web ก็จะมีบอก โรงแรม ราคา(โดยประมาณ) ระยะทางที่ห่างจาก จุดสตาร์ท อันนี้ก็แล้วแต่สะดวกเลยนะคะ เพราะจริง ๆ พักที่ใกล้สถานีรถไฟไว้ยังไงก็มาสะดวกค่ะ งานเริ่ม สตาร์ท 09.15 น. ส่วนจุดฝากของปิดรับตอนเช้า 8.45 น. นั่งรถไฟไปยังไงก็เวลาเหลือค่ะ แต่ก็ควรรีบหาที่พักไว้ก่อนค่ะ เราก็เลยหาที่พัก จอง ที่พักในเบอร์ลินวันที่ 23-25 ก.ย. ไว้ก่อน (คิดว่าค่อยแก้ไขเพิ่มได้ ขอให้คร่อมช่วงงานวิ่งไว้ก่อน ขยับขยายน่าจะไม่ยาก) ระหว่างนั้นก็คิดไปเรื่อย ๆ ว่าจะแพลนไปไหนบ้าง
จนมาถึงวันหนึ่งมีโปรการบินไทย บินตรง ลงแฟรงเฟิร์ต ไปกลับประมาณ 27,000 บาท สุดท้ายเราก็เลยเลือกจองบินตรงลงแฟรงเฟิร์ต เพราะเราคิดไว้ว่า เราคงซื้อ German Rail Pass อยู่แล้ว เพราะคิดว่าตัวเองเที่ยวหลายเมืองแน่ๆ เมื่อได้ตั๋วเครื่องบินไปวันที่ 22 กลับ 1 ตุลา เราก็ได้ทำแผนเที่ยวและจองที่พักเพิ่ม โดย 3 วันแรกพักเบอร์ลิน 3 วันต่อมาพักไลฟ์ซิก 3 วันสุดท้ายมาพักแฟรงเฟิร์ต
โปรแกรมทั้งหมดที่เราทำไว้ก่อนจะไปขอ VISA ก็จะเป็นตามนี้นะคะ (แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนแปลงไปบ้างค่ะ)
เมื่อช่วงกลางเดือน ก.ค. เราก็ได้จองคิวไปขอ VISA ที่สถานทูต เพราะว่าให้ขอล่วงหน้าได้ 90 วัน โดยเอกสารต่าง ๆ ที่เตรียมไป ก็ตามที่สถานทูตกำหนดไว้ โดยที่มีเพิ่มเติมคือ เราแนบเมล์แจ้งผล Berlin Marathon ไปด้วย เพื่อบอกวัตถุประสงค์การไปของเรา และวันที่เข้าไปสัมภาษณ์ ก็มีคำถามแค่ว่า ไปเมื่อไหร่ กลับเมื่อไหร่ ไปทำอะไร ไม่เกิน 5 นาทีก็เสร็จ (ตรงนี้ขอไม่เอ่ยอะไรมากมายนะคะ มีกระทู้เรื่องการทำ VISA ท่องเที่ยวเยอรมันพอสมควรแล้ว) หลังจากนั้นอีก 3 วันก็ได้รับ เล่ม Passport พร้อม VISA มาทางไปรษณีย์
แล้วเวลาก็ผ่านไปด้วยความยุ่งของเรา แผนเที่ยวไม่ได้ทำเพิ่ม ซ้อมวิ่งก็ไม่ค่อยได้ซ้อม แต่มีโชคอีกนิดนึง คือ จากตอนแรกที่เราคิดว่า จะใช้ German Rail Pass Flex 7 days + Berlin Welcome Pass เราเจอว่ามีบัตร German Rail Pass 10 days ลดราคาอยู่พอดี ก็เลยซื้อ German Pass แบบใช้วันติดต่อกัน 10 วัน ชั้น 2 มาในราคา 9,850 บาท
วาร์ปค่ะ ถึงวันเดินทาง ก็บินตรงจากสุวรรณภูมิ ไปถึงท่าอากาศยานแฟรงเฟิร์ต เวลาท้องถิ่น 6 โมงเช้า ไฟลท์เช้าที่นี่คนลงเยอะเหมือนกัน งง ๆ การเดินไปผ่าน ตม. มีจุดให้ผ่าน 2 ชั้น เดินตามคนอื่นๆ ไป ตอนไปต่อแถวก็เห็นว่าคนที่อยู่ข้างหน้คือคนดัง พี่นะ พันโล (ขออนุญาตอ้างอิงนิดนึงนะคะ) ก็เลยขออนุญาตทำความรู้จักพี่เค้าสักหน่อย แล้วพอตอนไปผ่าน ตม. เจ้าหน้าที่เห็นเป็น Passport ไทยเหมือนกันมั้งคะ เจ้าหน้าที่ก็เลยถามว่า “Run, the same?” Yes. แล้วก็ปั้มปล่อยออกมาเลยค่ะ ไม่มีคำถามอื่นใด ไปรอรับกระเป๋า เมื่อได้กระเป๋าเสร็จเราก็จะต้องไปสถานีรถไฟค่ะ เพราะเราจะต้องนั่งรถไฟไป Berlin เดินตามป้ายสนามบินไป ก็ไปถึงสถานีรถไฟในสนามบิน สำหรับเราอย่างแรกคือไปในออฟฟิศของ DB ค่ะ เผื่อให้ เจ้าหน้าที่ Stamp Valid German Rail Pass ก่อนการใช้ค่ะ โดยเอา Pass พร้อม Passport ให้ทางเจ้าหน้าที่ แล้วแจ้งวันแรกที่จะเริ่มใช้ ซึ่งเราใช้เลย
จากนั้นก็นั่งรถไฟออกจากสนามบินคือสถานี Frankfurt Flughafen ไป Frankfurt HBF(Center Station) เนื่องจากขบวนที่ไปเบอร์ลินไม่มีออกจากสนามบิน (แต่ถ้าเมืองอื่นๆ อาจจะมีนั่งตรงจากสนามบินไปได้นะคะ ต้อง Check ดู) เมื่อมาถึง Frankfurt HBF เราก็มารอรถไฟเร็ว ICE ไปเบอร์ลินค่ะ โดยเราพยายามดูขบวนที่ไปถึงเบอร์ลินเลยโดยไม่ต้องเปลี่ยนขบวนกลางทางอีก คือพอมา 10 วันกระเป๋ามันก็ใบโต เหนื่อยถ้าต้องเปลี่ยนขบวน เราก็ได้รถ รอบประมาณ 8.15 น. ตรงไปเบอร์ลิน ขบวนรถไฟเค้าดูง่ายค่ะ เราซื้อตั๋วชั้น 2 เราก็จะดูป้ายว่า ชั้น 2 จะขึ้นตรงป้ายไหน A B C D ก็ไปรอแถว ๆ นั้น ตอนแรกคิดว่าจะจองที่นั่ง แต่เหมือนว่าจองไม่ทันแล้ว ก็แอบหวั่นใจเหมือนกันว่าถ้าไม่มีที่นั่ง อาจจะลำบากหน่อย เพราะไปเบอร์ลินมัน 4 ชั่วโมงกว่า ๆ แต่ปรากฏว่าพอมีที่นั่ง ซึ่งเราจะดูได้ว่า แต่ละที่นั่งมีจองรึเปล่า ก็ให้ดูที่ป้ายบนที่นั่ง หรือ ที่เก้าอี้ จะบอกว่าแต่ละเก้าอี้ มีการจองไว้จากสถานีไหน ถึงสถานีไหน ซึ่งบางครั้ง ถ้าเต็ม เราก็ลองดูเก้าอี้ที่จองไว้ ว่าเราสามารถนั่งได้ไกลที่สุดถึงสถานีไหน ก่อนจะถึงสถานีนั้น ก็ลุกไปดูที่อื่น หรือ ยืนสวยๆ อีกสักพักหน้าทางเชื่อมก็พอได้ค่ะ
พอขึ้นรถไฟไป จะมีเจ้าหน้าที่เดินตรวจตั๋วเหมือน ๆ บ้านเรานี่ล่ะค่ะ ก็เอาตั๋วให้เค้าดู แต่ถ้าบางคนก็อาจจะมีขอดู passport เพิ่มด้วย หลังๆ เราก็ส่งให้ 2 อย่างพร้อมกันไปเลย ดูไม่ดูไม่รู้ขี้เกียจควักหลายรอบ เราก็นั่งหลับไปจนถึงเบอร์ลินค่ะ รถไฟถึงช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย ถึง Berlin HBF เกือบ ๆ บ่ายโมง ก็เลยหาอะไรทานแถวสถานีกะว่ารอเวลา Check-in โรงแรมตอนบ่าย 2 เลยน่าจะดี แม้ว่าเราจะได้ E-mail แจ้งที่พักไปว่า เราจะฝากกระเป๋าก่อนแล้วจะกลับมา Check-in แต่ด้วยเวลาแล้ว เอ้อระเหยอีกสักนิด ก็พอดีได้ check-in จะได้ไม่ต้องมากังวลถ้าตอนออกไปรับ BIB แล้วเกิดอะไรช้า จะต้องรีบกลับมา Check-in ทานอะไรเสร็จ ตอนนี้ได้นั่งรถไฟของเมืองแล้ว เท่าที่ศึกษามาคือ German Rail Pass จะสามารถขึ้น S-bahn ได้ ก็นั่งจาก HBF ไป สถานีที่ใกล้กับที่พัก สถานีรถไฟที่ไม่ใช่สถานีใหญ่ๆ นี่ก็แอบดูน่ากลัวนิดๆ เหมือนกันค่ะ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรหรอกค่ะ แล้วเราก็ไป Check-in ที่พัก ชื่อ Hommage á Magritte เป็นลักษณะบ้านแมนชั่น เปิดประตูมาเจอต้องยกกระเป๋าขึ้นชั้น 2 นี่แอบหนักนิดนึง ตอน Check-in คือ งง มากว่า ให้อยู่ไปก่อนเลยค่อยจ่ายเงินวัน Check-out เฮ้ย!!! มีแบบนี้ด้วย พร้อมกับที่ห้องอาหารจะมีขนมปัง คุกกี้ ชากาแฟ วางไว้ให้ตลอดช่วงบ่าย สามารถมาทานได้ (ซึ่งเจอแบบนี้ในโรงแรมที่แฟรงเฟิร์ตด้วย ไม่แน่ใจว่าธรรมเนียมเค้ารึเปล่า แต่ดีงามค่ะ)
เสร็จจากการ Check – In ก็มุ่งหน้าไป Berlin Vital Expo เพื่อรับ BIB ซึ่งเมื่อเราดูแล้ว จากที่พักเรา ถ้าใช้รถไฟใต้ดิน U-Bahn จะไป Vital Expo ได้ง่ายกว่า ไม่งั้นต้องนั่งไปเปลี่ยนที่ HBF อีก ก็เลยซื้อตั๋ว Single ticket 1.7 euro ไป วิธีซื้อตั๋วตู้ก็กดไม่ยากค่ะ ได้ตั๋วมา ก็เอาเข้าเครื่อง Stamp valid ก่อนใช้
เมื่อถึง Berlin Vital Expo จะเดินผ่าน expo พอถึงทางเข้า เจ้าหน้าที่จะตรวจ Start Card ที่ส่งมาให้ทางเมล์ ช่วงกลางเดือน ก.ย. กับ Passport อนุญาตให้เข้าไปในส่วนของการลงทะเบียนรับ BIB เฉพาะนักวิ่งค่ะ พอเข้าไป จะเอาริบบิ้นมารัดข้อมือ ริบบิ้นจะเป็นลักษณะเอาข้อมือเราลงไปที่เครื่องแล้วเครื่องก็ wrap ริบบิ้นให้พอดีกับข้อมือเรา โดยริบบิ้นนี้ให้ใส่จนจบงานนะคะ เดี๋ยววันวิ่งจริงจะตรวจก่อนจะปล่อยให้เข้าจุดสำหรับนักวิ่งค่ะ พอเสร็จก็จะเป็นลงทะเบียนรับ BIB ค่ะ เข้าช่องไหนก็ได้นะคะ ที่ไม่ใช่ Jubilee Club ช่องเยอะค่ะ เดิน ๆ เข้าไปด้านในอีกนิดก็ได้ค่ะ เพราะว่าพอลงทะเบียน เค้าก็จะตรวจ Start Card กับ Passport แล้ว Print BIB ให้ ณ ตรงนั้น
(ที่รัดข้อมือปีนี้เป็นสีเทานะคะ Credit รูป FB :
https://www.facebook.com/berlinmarathon/)
(จุดลงทะเบียนรับ BIB ค่ะ)
อ้อ ส่วนสำหรับใครที่ตอนสมัคร กับก่อนจะวิ่ง มีสถิติวิ่งที่ดีขึ้น สามารถไปแจ้งขอเปลี่ยน Start Block ได้นะคะ แต่ต้องมีหลักฐานนะคะ ส่วนเราไม่ต้องไปมองค่ะ ยังไงก็ Block สุดท้าย Block H ที่เราสถิติตั้งแต่ 4 ชม. เป็นต้นไป (หลัง ๆ มานี่ Sub 5 ยังทำไม่ได้ ไม่ต้องหวังเรื่องเปลี่ยน Block ค่ะ อยู่กับคนส่วนใหญ่ไป)
ออกจากจุดนี้แล้ว ก็จะออกมาเป็น Expo ซึ่งเราจะต้องไปรับเสื้อ event ที่เราสั่งไว้ตั้งแต่ตอนสมัคร ก็เดินตามป้ายที่เค้าแปะไว้ด้านบนไปค่ะ แต่ถ้าใครไม่ได้สั่งไว้ ก็สามารถซื้อได้ในงานค่ะ แต่อาจจะมีสิทธิไม่มีไซส์ค่ะ เพราะว่าเราไม่ได้สั่งเสื้อ Finisher แต่ที่ขายหน้างานกไซส์ S และ M หมดแล้ว แต่เราแอบเฉย ๆ เพราะเรารู้สึกว่าเสื้อ finisher สีไม่สวยค่ะ แต่บางคนอาจคิดว่า มันควรจะได้เสื้อ Finisher ไว้ใส่ อันนี้แล้วแต่บุคคลนะคะ
ส่วนของใน Expo ก็มีลดราคาหลายอย่าง แต่สำหรับเรา (คิดต่างอีกละ) ราคาลดแล้วของเค้ามันเป็นราคาพอ ๆ กับเมืองไทยค่ะ เว้นแต่ใครจะเจออะไรที่หายากในเมืองไทยซื้อติดมือมาก็โอเคค่ะ เราก็เลยได้แค่เสื้อวิ่ง screen คำว่า Berlin Marathon มาฝากเพื่อนตัวนึงค่ะ
เสร็จจาก Expo เราก็นั่งกลับมาแถวๆ Berlin Dome เริ่มเดินชมเมืองบ้าง พร้อมกับเดินไปทางประตูชัย Brandenburger Tor ไปดูสถานที่จัดงาน ไปดู Hall of Fame เดินเล่นสักพัก ก็กลับโรงแรม เพราะเราคิดว่าเราจะพยายามนอนและตื่นเวลาเมืองไทย เพื่อให้มีปัญหาน้อยสุดตอนวันที่ตื่นไปทำงาน ก็เลยจะนอนสัก 2 ทุ่ม (ตี 1 ไทย) ตื่นตี 3 (8 โมงไทย) แต่ที่นี่ยังมืดช้าอยู่นะคะ ราว ๆ ทุ่มเกือบครึ่งค่ะ ถึงจะเริ่มพระอาทิตย์ตก และพระอาทิตย์ก็สว่างช้า 7 โมงกว่า ๆ ถึงจะพอกล้าเดินไปไหนบ้าง
เป็นของที่ได้มาในวันลงทะเบียนนะคะ โดยทางขวา จะมี Wristband ของ Adidas ค่ะ ซึ่งสามารถเอาไป Laser สถิติวิ่งของเราได้ที่ร้าน Adidas ที่กำหนดไว้โดยมีรายละเอียดในกระดาษในวันที่ 25-26 ก.ย. ค่ะ
ให้ของขวัญวันเกิดตัวเอง ด้วยการพาตัวเองไป Berlin Marathon 2017
ในส่วนของการสมัคร Drawing (Lotto) ของ Berlin Marathon จะให้ระบุบัตรเครดิตและ Lock วงเงินไว้เลยนะคะ สมัครเสร็จก็จะมีเมล์มาประมาณนี้
ในส่วนของ Chip เข้าใจว่า ถ้าใครมี Chip เป็นของตัวเองก็ไม่ต้องเช่าก็ได้นะคะ แต่ต้องเอาไป register ที่งาน (แต่คนต่างแดนอย่างเราเช่า ๆ กันก็น่าจะง่ายดี แต่คนที่นั่นเท่าที่ดูก็จะมีเป็นของตัวเองค่ะ) เสื้องานหรือเสื้อ finisher ไปซื้อได้ที่ Expo แค่ถ้าไปช้าไซส์ อาจจะหมด อย่างเราไม่ได้สั่งเสื้อ Finisher พอไป Expo เสื้อผู้หญิง ไซส์ S หมดแล้ว
พอถึงวันประกาศผลก็จะมีเมล์มาแจ้งผลค่ะ ไม่ต้องรอลุ้นนานค่ะ สมัครต้นเดือน สิ้นเดือนก็ประกาศผล
พอเสร็จสับก็หาที่พักในช่วงวันวิ่งไว้ได้เลยค่ะ จริงๆ เหมือนใน web ก็จะมีบอก โรงแรม ราคา(โดยประมาณ) ระยะทางที่ห่างจาก จุดสตาร์ท อันนี้ก็แล้วแต่สะดวกเลยนะคะ เพราะจริง ๆ พักที่ใกล้สถานีรถไฟไว้ยังไงก็มาสะดวกค่ะ งานเริ่ม สตาร์ท 09.15 น. ส่วนจุดฝากของปิดรับตอนเช้า 8.45 น. นั่งรถไฟไปยังไงก็เวลาเหลือค่ะ แต่ก็ควรรีบหาที่พักไว้ก่อนค่ะ เราก็เลยหาที่พัก จอง ที่พักในเบอร์ลินวันที่ 23-25 ก.ย. ไว้ก่อน (คิดว่าค่อยแก้ไขเพิ่มได้ ขอให้คร่อมช่วงงานวิ่งไว้ก่อน ขยับขยายน่าจะไม่ยาก) ระหว่างนั้นก็คิดไปเรื่อย ๆ ว่าจะแพลนไปไหนบ้าง
จนมาถึงวันหนึ่งมีโปรการบินไทย บินตรง ลงแฟรงเฟิร์ต ไปกลับประมาณ 27,000 บาท สุดท้ายเราก็เลยเลือกจองบินตรงลงแฟรงเฟิร์ต เพราะเราคิดไว้ว่า เราคงซื้อ German Rail Pass อยู่แล้ว เพราะคิดว่าตัวเองเที่ยวหลายเมืองแน่ๆ เมื่อได้ตั๋วเครื่องบินไปวันที่ 22 กลับ 1 ตุลา เราก็ได้ทำแผนเที่ยวและจองที่พักเพิ่ม โดย 3 วันแรกพักเบอร์ลิน 3 วันต่อมาพักไลฟ์ซิก 3 วันสุดท้ายมาพักแฟรงเฟิร์ต
โปรแกรมทั้งหมดที่เราทำไว้ก่อนจะไปขอ VISA ก็จะเป็นตามนี้นะคะ (แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนแปลงไปบ้างค่ะ)
เมื่อช่วงกลางเดือน ก.ค. เราก็ได้จองคิวไปขอ VISA ที่สถานทูต เพราะว่าให้ขอล่วงหน้าได้ 90 วัน โดยเอกสารต่าง ๆ ที่เตรียมไป ก็ตามที่สถานทูตกำหนดไว้ โดยที่มีเพิ่มเติมคือ เราแนบเมล์แจ้งผล Berlin Marathon ไปด้วย เพื่อบอกวัตถุประสงค์การไปของเรา และวันที่เข้าไปสัมภาษณ์ ก็มีคำถามแค่ว่า ไปเมื่อไหร่ กลับเมื่อไหร่ ไปทำอะไร ไม่เกิน 5 นาทีก็เสร็จ (ตรงนี้ขอไม่เอ่ยอะไรมากมายนะคะ มีกระทู้เรื่องการทำ VISA ท่องเที่ยวเยอรมันพอสมควรแล้ว) หลังจากนั้นอีก 3 วันก็ได้รับ เล่ม Passport พร้อม VISA มาทางไปรษณีย์
แล้วเวลาก็ผ่านไปด้วยความยุ่งของเรา แผนเที่ยวไม่ได้ทำเพิ่ม ซ้อมวิ่งก็ไม่ค่อยได้ซ้อม แต่มีโชคอีกนิดนึง คือ จากตอนแรกที่เราคิดว่า จะใช้ German Rail Pass Flex 7 days + Berlin Welcome Pass เราเจอว่ามีบัตร German Rail Pass 10 days ลดราคาอยู่พอดี ก็เลยซื้อ German Pass แบบใช้วันติดต่อกัน 10 วัน ชั้น 2 มาในราคา 9,850 บาท
วาร์ปค่ะ ถึงวันเดินทาง ก็บินตรงจากสุวรรณภูมิ ไปถึงท่าอากาศยานแฟรงเฟิร์ต เวลาท้องถิ่น 6 โมงเช้า ไฟลท์เช้าที่นี่คนลงเยอะเหมือนกัน งง ๆ การเดินไปผ่าน ตม. มีจุดให้ผ่าน 2 ชั้น เดินตามคนอื่นๆ ไป ตอนไปต่อแถวก็เห็นว่าคนที่อยู่ข้างหน้คือคนดัง พี่นะ พันโล (ขออนุญาตอ้างอิงนิดนึงนะคะ) ก็เลยขออนุญาตทำความรู้จักพี่เค้าสักหน่อย แล้วพอตอนไปผ่าน ตม. เจ้าหน้าที่เห็นเป็น Passport ไทยเหมือนกันมั้งคะ เจ้าหน้าที่ก็เลยถามว่า “Run, the same?” Yes. แล้วก็ปั้มปล่อยออกมาเลยค่ะ ไม่มีคำถามอื่นใด ไปรอรับกระเป๋า เมื่อได้กระเป๋าเสร็จเราก็จะต้องไปสถานีรถไฟค่ะ เพราะเราจะต้องนั่งรถไฟไป Berlin เดินตามป้ายสนามบินไป ก็ไปถึงสถานีรถไฟในสนามบิน สำหรับเราอย่างแรกคือไปในออฟฟิศของ DB ค่ะ เผื่อให้ เจ้าหน้าที่ Stamp Valid German Rail Pass ก่อนการใช้ค่ะ โดยเอา Pass พร้อม Passport ให้ทางเจ้าหน้าที่ แล้วแจ้งวันแรกที่จะเริ่มใช้ ซึ่งเราใช้เลย
จากนั้นก็นั่งรถไฟออกจากสนามบินคือสถานี Frankfurt Flughafen ไป Frankfurt HBF(Center Station) เนื่องจากขบวนที่ไปเบอร์ลินไม่มีออกจากสนามบิน (แต่ถ้าเมืองอื่นๆ อาจจะมีนั่งตรงจากสนามบินไปได้นะคะ ต้อง Check ดู) เมื่อมาถึง Frankfurt HBF เราก็มารอรถไฟเร็ว ICE ไปเบอร์ลินค่ะ โดยเราพยายามดูขบวนที่ไปถึงเบอร์ลินเลยโดยไม่ต้องเปลี่ยนขบวนกลางทางอีก คือพอมา 10 วันกระเป๋ามันก็ใบโต เหนื่อยถ้าต้องเปลี่ยนขบวน เราก็ได้รถ รอบประมาณ 8.15 น. ตรงไปเบอร์ลิน ขบวนรถไฟเค้าดูง่ายค่ะ เราซื้อตั๋วชั้น 2 เราก็จะดูป้ายว่า ชั้น 2 จะขึ้นตรงป้ายไหน A B C D ก็ไปรอแถว ๆ นั้น ตอนแรกคิดว่าจะจองที่นั่ง แต่เหมือนว่าจองไม่ทันแล้ว ก็แอบหวั่นใจเหมือนกันว่าถ้าไม่มีที่นั่ง อาจจะลำบากหน่อย เพราะไปเบอร์ลินมัน 4 ชั่วโมงกว่า ๆ แต่ปรากฏว่าพอมีที่นั่ง ซึ่งเราจะดูได้ว่า แต่ละที่นั่งมีจองรึเปล่า ก็ให้ดูที่ป้ายบนที่นั่ง หรือ ที่เก้าอี้ จะบอกว่าแต่ละเก้าอี้ มีการจองไว้จากสถานีไหน ถึงสถานีไหน ซึ่งบางครั้ง ถ้าเต็ม เราก็ลองดูเก้าอี้ที่จองไว้ ว่าเราสามารถนั่งได้ไกลที่สุดถึงสถานีไหน ก่อนจะถึงสถานีนั้น ก็ลุกไปดูที่อื่น หรือ ยืนสวยๆ อีกสักพักหน้าทางเชื่อมก็พอได้ค่ะ
พอขึ้นรถไฟไป จะมีเจ้าหน้าที่เดินตรวจตั๋วเหมือน ๆ บ้านเรานี่ล่ะค่ะ ก็เอาตั๋วให้เค้าดู แต่ถ้าบางคนก็อาจจะมีขอดู passport เพิ่มด้วย หลังๆ เราก็ส่งให้ 2 อย่างพร้อมกันไปเลย ดูไม่ดูไม่รู้ขี้เกียจควักหลายรอบ เราก็นั่งหลับไปจนถึงเบอร์ลินค่ะ รถไฟถึงช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย ถึง Berlin HBF เกือบ ๆ บ่ายโมง ก็เลยหาอะไรทานแถวสถานีกะว่ารอเวลา Check-in โรงแรมตอนบ่าย 2 เลยน่าจะดี แม้ว่าเราจะได้ E-mail แจ้งที่พักไปว่า เราจะฝากกระเป๋าก่อนแล้วจะกลับมา Check-in แต่ด้วยเวลาแล้ว เอ้อระเหยอีกสักนิด ก็พอดีได้ check-in จะได้ไม่ต้องมากังวลถ้าตอนออกไปรับ BIB แล้วเกิดอะไรช้า จะต้องรีบกลับมา Check-in ทานอะไรเสร็จ ตอนนี้ได้นั่งรถไฟของเมืองแล้ว เท่าที่ศึกษามาคือ German Rail Pass จะสามารถขึ้น S-bahn ได้ ก็นั่งจาก HBF ไป สถานีที่ใกล้กับที่พัก สถานีรถไฟที่ไม่ใช่สถานีใหญ่ๆ นี่ก็แอบดูน่ากลัวนิดๆ เหมือนกันค่ะ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรหรอกค่ะ แล้วเราก็ไป Check-in ที่พัก ชื่อ Hommage á Magritte เป็นลักษณะบ้านแมนชั่น เปิดประตูมาเจอต้องยกกระเป๋าขึ้นชั้น 2 นี่แอบหนักนิดนึง ตอน Check-in คือ งง มากว่า ให้อยู่ไปก่อนเลยค่อยจ่ายเงินวัน Check-out เฮ้ย!!! มีแบบนี้ด้วย พร้อมกับที่ห้องอาหารจะมีขนมปัง คุกกี้ ชากาแฟ วางไว้ให้ตลอดช่วงบ่าย สามารถมาทานได้ (ซึ่งเจอแบบนี้ในโรงแรมที่แฟรงเฟิร์ตด้วย ไม่แน่ใจว่าธรรมเนียมเค้ารึเปล่า แต่ดีงามค่ะ)
เสร็จจากการ Check – In ก็มุ่งหน้าไป Berlin Vital Expo เพื่อรับ BIB ซึ่งเมื่อเราดูแล้ว จากที่พักเรา ถ้าใช้รถไฟใต้ดิน U-Bahn จะไป Vital Expo ได้ง่ายกว่า ไม่งั้นต้องนั่งไปเปลี่ยนที่ HBF อีก ก็เลยซื้อตั๋ว Single ticket 1.7 euro ไป วิธีซื้อตั๋วตู้ก็กดไม่ยากค่ะ ได้ตั๋วมา ก็เอาเข้าเครื่อง Stamp valid ก่อนใช้
เมื่อถึง Berlin Vital Expo จะเดินผ่าน expo พอถึงทางเข้า เจ้าหน้าที่จะตรวจ Start Card ที่ส่งมาให้ทางเมล์ ช่วงกลางเดือน ก.ย. กับ Passport อนุญาตให้เข้าไปในส่วนของการลงทะเบียนรับ BIB เฉพาะนักวิ่งค่ะ พอเข้าไป จะเอาริบบิ้นมารัดข้อมือ ริบบิ้นจะเป็นลักษณะเอาข้อมือเราลงไปที่เครื่องแล้วเครื่องก็ wrap ริบบิ้นให้พอดีกับข้อมือเรา โดยริบบิ้นนี้ให้ใส่จนจบงานนะคะ เดี๋ยววันวิ่งจริงจะตรวจก่อนจะปล่อยให้เข้าจุดสำหรับนักวิ่งค่ะ พอเสร็จก็จะเป็นลงทะเบียนรับ BIB ค่ะ เข้าช่องไหนก็ได้นะคะ ที่ไม่ใช่ Jubilee Club ช่องเยอะค่ะ เดิน ๆ เข้าไปด้านในอีกนิดก็ได้ค่ะ เพราะว่าพอลงทะเบียน เค้าก็จะตรวจ Start Card กับ Passport แล้ว Print BIB ให้ ณ ตรงนั้น
(ที่รัดข้อมือปีนี้เป็นสีเทานะคะ Credit รูป FB : https://www.facebook.com/berlinmarathon/)
(จุดลงทะเบียนรับ BIB ค่ะ)
อ้อ ส่วนสำหรับใครที่ตอนสมัคร กับก่อนจะวิ่ง มีสถิติวิ่งที่ดีขึ้น สามารถไปแจ้งขอเปลี่ยน Start Block ได้นะคะ แต่ต้องมีหลักฐานนะคะ ส่วนเราไม่ต้องไปมองค่ะ ยังไงก็ Block สุดท้าย Block H ที่เราสถิติตั้งแต่ 4 ชม. เป็นต้นไป (หลัง ๆ มานี่ Sub 5 ยังทำไม่ได้ ไม่ต้องหวังเรื่องเปลี่ยน Block ค่ะ อยู่กับคนส่วนใหญ่ไป)
ออกจากจุดนี้แล้ว ก็จะออกมาเป็น Expo ซึ่งเราจะต้องไปรับเสื้อ event ที่เราสั่งไว้ตั้งแต่ตอนสมัคร ก็เดินตามป้ายที่เค้าแปะไว้ด้านบนไปค่ะ แต่ถ้าใครไม่ได้สั่งไว้ ก็สามารถซื้อได้ในงานค่ะ แต่อาจจะมีสิทธิไม่มีไซส์ค่ะ เพราะว่าเราไม่ได้สั่งเสื้อ Finisher แต่ที่ขายหน้างานกไซส์ S และ M หมดแล้ว แต่เราแอบเฉย ๆ เพราะเรารู้สึกว่าเสื้อ finisher สีไม่สวยค่ะ แต่บางคนอาจคิดว่า มันควรจะได้เสื้อ Finisher ไว้ใส่ อันนี้แล้วแต่บุคคลนะคะ
ส่วนของใน Expo ก็มีลดราคาหลายอย่าง แต่สำหรับเรา (คิดต่างอีกละ) ราคาลดแล้วของเค้ามันเป็นราคาพอ ๆ กับเมืองไทยค่ะ เว้นแต่ใครจะเจออะไรที่หายากในเมืองไทยซื้อติดมือมาก็โอเคค่ะ เราก็เลยได้แค่เสื้อวิ่ง screen คำว่า Berlin Marathon มาฝากเพื่อนตัวนึงค่ะ
เสร็จจาก Expo เราก็นั่งกลับมาแถวๆ Berlin Dome เริ่มเดินชมเมืองบ้าง พร้อมกับเดินไปทางประตูชัย Brandenburger Tor ไปดูสถานที่จัดงาน ไปดู Hall of Fame เดินเล่นสักพัก ก็กลับโรงแรม เพราะเราคิดว่าเราจะพยายามนอนและตื่นเวลาเมืองไทย เพื่อให้มีปัญหาน้อยสุดตอนวันที่ตื่นไปทำงาน ก็เลยจะนอนสัก 2 ทุ่ม (ตี 1 ไทย) ตื่นตี 3 (8 โมงไทย) แต่ที่นี่ยังมืดช้าอยู่นะคะ ราว ๆ ทุ่มเกือบครึ่งค่ะ ถึงจะเริ่มพระอาทิตย์ตก และพระอาทิตย์ก็สว่างช้า 7 โมงกว่า ๆ ถึงจะพอกล้าเดินไปไหนบ้าง
เป็นของที่ได้มาในวันลงทะเบียนนะคะ โดยทางขวา จะมี Wristband ของ Adidas ค่ะ ซึ่งสามารถเอาไป Laser สถิติวิ่งของเราได้ที่ร้าน Adidas ที่กำหนดไว้โดยมีรายละเอียดในกระดาษในวันที่ 25-26 ก.ย. ค่ะ