น้องเราเป็นพวกไม่ถนัดเรื่องการเรียน เรียนจบ ปวส. แต่พ่อแม่หวังดี อยากส่งเสียให้เรียนจบปริญญาตรี
น้องเราไปเรียนที่ ม.เอกชนที่กรุงเทพ ในสาขาเดียวกับที่จบ ปวส. แต่เรียนได้ 1 ปี ก็ซิ่ว เพราะทำเกรดได้ต่ำมาก
น้องบอกว่าถึงไม่ซิ่ว ก็ต้องโดนไทร์อยู่ดี พ่อแม่ก็ผิดหวัง เพราะค่าเทอมก็แพง ค่าหอพักก็แพง แต่เรียนแล้วไม่ได้อะไรกลับมา
น้องเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ ขี้เกียจ แต่ชอบไปเที่ยวกับเพื่อน และชอบใช้จ่ายเงินเกินตัว ทั้งที่ยังหาเงินเองไม่ค่อยได้
พอน้องลาออกจากมหาลัยเอกชน ก็ไปทำงานเป็นลูกจ้างรายวันที่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง ซึ่งน้องเคยฝึกงานที่นั่นมาก่อนด้วย
แต่พอปีต่อมา ที่มหาลัยใกล้บ้านเปิดสอนหลักสูตรประกาศนียบัตร 1 ปี (ไม่บอกนะว่าสาขาอะไร แต่เป็นสายสุขภาพ) เรียนวันธรรมดา
เรียนพร้อมฝึกปฏิบัติไปด้วย พ่อแม่ก็อยากให้น้องเรียน เพราะมีญาติทำงานด้านนี้อยู่ ถ้าน้องเรียนจบหลักสูตรนี้
ก็จะได้ไปทำงานเป็นผู้ช่วยญาติได้ น้องเราก็คงอยากลองเรียนดูเหมือนกัน เพราะน้องตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำอยู่
เพื่อมาสมัครเรียนหลักสูตรนี้ ซึ่งญาติเราก็ช่วยให้น้องสามารถเข้าไปเรียนที่นั่นได้(แต่เราไม่รู้นะว่าเขาช่วยยังไง รู้แค่ว่าช่วย)
ขณะเดียวกัน พ่อแม่ก็ส่งน้องเรียนมหาลัยอีกแห่งหนึ่ง หลักสูตร ป.ตรี เรียน 4 ปี เรียนเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์
น้องเลือกเรียนสาขาคนละอย่างกับที่จบ ปวส. มา แต่น้องบอกว่าชอบ ก็เลยเรียน เท่ากับว่าตอนนี้น้องเราเรียน 2 มหาลัย 2 หลักสูตร
เรียนตั้งแต่วันจันทร์-อาทิตย์ แต่วันนึงก็ไม่ได้ใช้เวลาเรียนตลอดทั้งวัน แต่พอน้องเรียนหลักสูตร 1 ปีมาได้ไม่ทันไร ผ่านไปแค่ครึ่งปี
น้องก็อยากซิ่วอีกแล้ว อยากซิ่วจากหลักสูตร 1 ปี เพราะบอกว่าเรียนแล้วไม่ชอบ เครียด พ่อแม่ก็หนักใจ เพราะอุตส่าห์ส่งเสียไปมาก
เงินหมดไปเยอะ แต่น้องไม่ได้อะไรกลับมาเป็นชิ้นเป็นอัน น้องบอกว่าจะซิ่วจากหลักสูตร 1 ปี แล้วจะเรียนแค่ที่เดียว เปลี่ยนจากเรียนวันเสาร์-อาทิตย์ มาเป็นวันธรรมดาแทน (แต่ยังไม่รู้ว่าทำได้ไหม)
พ่อแม่ และญาติเรา(ที่ช่วยฝากน้องเข้าเรียนหลักสูตร 1 ปี ก็พยายามพูดต่างๆ นาๆ เพื่อไม่ให้น้องซิ่ว แต่น้องไม่ฟังใครเลย
เราเองก็พยายามห้ามน้อง โดยการบอกว่า เรียนแล้วก็ควรได้อะไรกลับมาบ้าง ประกาศนียบัตร 1 ใบก็ยังดี นึกถึงคนส่งเสียให้เรียนบ้าง
อุตส่าห์เสียค่าเรียนไปเยอะ แถมยังลาออกจากงานที่ทำเพื่อมาเรียนหลักสูตรนี้ (งานที่น้องทำ ใช่ว่าคนจะเข้าไปทำได้ง่ายๆ เพราะต้องสอบแข่งขัน แต่ด้วยความที่น้องเราเคยฝึกงานที่นั่น พอฝึกงานเสร็จ ที่ทำงานก็เลยจ้างน้องเป็นรายวัน แต่พอลาออกมาแล้ว จะกลับเข้าไปอีกมันก็ยาก)
น้องเราก็ไม่ฟัง ไม่เห็นความสำคัญของใบประกาศนียบัตร บอกว่าจะหางานทำ ประสบการณ์สำคัญกว่าวุฒิ น้องชอบคิดอะไรง่ายๆ
เราก็บอกไปว่า เวลาไปสมัครงาน ส่วนใหญ่เขาดูวุฒิทั้งนั้นแหละ ขนาดแค่เรียนยังไม่อดทน แล้วตอนทำงานจะไหวเหรอ เครียดกว่าเรียนนะ
เหลือเวลาอีกแค่ครึ่งปี แป๊บเดียวเอง ทำไมไม่ทนเรียนให้จบๆไป อุตส่าห์มีคนช่วยให้เข้าเรียนได้ แถมใช้เงินคนอื่นเรียน
แล้วจะตอบแทนคนอื่นแบบนี้เหรอ รู้จักนึกถึงคนอื่น ฟังคนอื่นบ้าง อย่าเอาแต่ใจตัวเอง
น้องก็ดื้อมาก ทั้งๆที่พ่อแม่บอกว่า ถ้าซิ่วก็จะไม่ให้เงินใช้อีก น้องก็บอกว่าเดี๋ยวหางานทำได้แล้วก็มีเงินเอง ไม่ต้องมายุ่ง รำคาญ
แถมมีการบอกด้วย ว่าถ้าคนในบ้านเอาแต่ยุ่งเรื่องชีวิตเขา เขาก็จะออกไปให้พ้นๆ จากบ้าน คือเราพูดยังไงก็ไม่สำเร็จเลย ไม่รู้จะทำไงแล้ว
เราไม่มั่นใจด้วยว่าถ้าน้องเรียนแค่ที่เดียว ในหลักสูตร 4 ปี น้องจะเรียนจบไหม เพราะตอนนี้เรียนแค่ปี 1 อะไรๆ ก็ยังไม่ยาก
แต่เดี๋ยวพอเรียนแล้วยากขึ้น น้องเราจะท้อและซิ่วอีกไหมก็ไม่รู้ เราก็พูดย้ำกับน้องนักหนา ว่าถ้าน้องยังเป็นแบบนี้ อนาคตจะลำบาก
แต่น้องก็ไม่สนใจ เราและพ่อแม่ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว
จะพูดกับน้องยังไง ไม่ให้น้องลาออกจากมหาวิทยาลัย
น้องเราไปเรียนที่ ม.เอกชนที่กรุงเทพ ในสาขาเดียวกับที่จบ ปวส. แต่เรียนได้ 1 ปี ก็ซิ่ว เพราะทำเกรดได้ต่ำมาก
น้องบอกว่าถึงไม่ซิ่ว ก็ต้องโดนไทร์อยู่ดี พ่อแม่ก็ผิดหวัง เพราะค่าเทอมก็แพง ค่าหอพักก็แพง แต่เรียนแล้วไม่ได้อะไรกลับมา
น้องเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ ขี้เกียจ แต่ชอบไปเที่ยวกับเพื่อน และชอบใช้จ่ายเงินเกินตัว ทั้งที่ยังหาเงินเองไม่ค่อยได้
พอน้องลาออกจากมหาลัยเอกชน ก็ไปทำงานเป็นลูกจ้างรายวันที่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง ซึ่งน้องเคยฝึกงานที่นั่นมาก่อนด้วย
แต่พอปีต่อมา ที่มหาลัยใกล้บ้านเปิดสอนหลักสูตรประกาศนียบัตร 1 ปี (ไม่บอกนะว่าสาขาอะไร แต่เป็นสายสุขภาพ) เรียนวันธรรมดา
เรียนพร้อมฝึกปฏิบัติไปด้วย พ่อแม่ก็อยากให้น้องเรียน เพราะมีญาติทำงานด้านนี้อยู่ ถ้าน้องเรียนจบหลักสูตรนี้
ก็จะได้ไปทำงานเป็นผู้ช่วยญาติได้ น้องเราก็คงอยากลองเรียนดูเหมือนกัน เพราะน้องตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำอยู่
เพื่อมาสมัครเรียนหลักสูตรนี้ ซึ่งญาติเราก็ช่วยให้น้องสามารถเข้าไปเรียนที่นั่นได้(แต่เราไม่รู้นะว่าเขาช่วยยังไง รู้แค่ว่าช่วย)
ขณะเดียวกัน พ่อแม่ก็ส่งน้องเรียนมหาลัยอีกแห่งหนึ่ง หลักสูตร ป.ตรี เรียน 4 ปี เรียนเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์
น้องเลือกเรียนสาขาคนละอย่างกับที่จบ ปวส. มา แต่น้องบอกว่าชอบ ก็เลยเรียน เท่ากับว่าตอนนี้น้องเราเรียน 2 มหาลัย 2 หลักสูตร
เรียนตั้งแต่วันจันทร์-อาทิตย์ แต่วันนึงก็ไม่ได้ใช้เวลาเรียนตลอดทั้งวัน แต่พอน้องเรียนหลักสูตร 1 ปีมาได้ไม่ทันไร ผ่านไปแค่ครึ่งปี
น้องก็อยากซิ่วอีกแล้ว อยากซิ่วจากหลักสูตร 1 ปี เพราะบอกว่าเรียนแล้วไม่ชอบ เครียด พ่อแม่ก็หนักใจ เพราะอุตส่าห์ส่งเสียไปมาก
เงินหมดไปเยอะ แต่น้องไม่ได้อะไรกลับมาเป็นชิ้นเป็นอัน น้องบอกว่าจะซิ่วจากหลักสูตร 1 ปี แล้วจะเรียนแค่ที่เดียว เปลี่ยนจากเรียนวันเสาร์-อาทิตย์ มาเป็นวันธรรมดาแทน (แต่ยังไม่รู้ว่าทำได้ไหม)
พ่อแม่ และญาติเรา(ที่ช่วยฝากน้องเข้าเรียนหลักสูตร 1 ปี ก็พยายามพูดต่างๆ นาๆ เพื่อไม่ให้น้องซิ่ว แต่น้องไม่ฟังใครเลย
เราเองก็พยายามห้ามน้อง โดยการบอกว่า เรียนแล้วก็ควรได้อะไรกลับมาบ้าง ประกาศนียบัตร 1 ใบก็ยังดี นึกถึงคนส่งเสียให้เรียนบ้าง
อุตส่าห์เสียค่าเรียนไปเยอะ แถมยังลาออกจากงานที่ทำเพื่อมาเรียนหลักสูตรนี้ (งานที่น้องทำ ใช่ว่าคนจะเข้าไปทำได้ง่ายๆ เพราะต้องสอบแข่งขัน แต่ด้วยความที่น้องเราเคยฝึกงานที่นั่น พอฝึกงานเสร็จ ที่ทำงานก็เลยจ้างน้องเป็นรายวัน แต่พอลาออกมาแล้ว จะกลับเข้าไปอีกมันก็ยาก)
น้องเราก็ไม่ฟัง ไม่เห็นความสำคัญของใบประกาศนียบัตร บอกว่าจะหางานทำ ประสบการณ์สำคัญกว่าวุฒิ น้องชอบคิดอะไรง่ายๆ
เราก็บอกไปว่า เวลาไปสมัครงาน ส่วนใหญ่เขาดูวุฒิทั้งนั้นแหละ ขนาดแค่เรียนยังไม่อดทน แล้วตอนทำงานจะไหวเหรอ เครียดกว่าเรียนนะ
เหลือเวลาอีกแค่ครึ่งปี แป๊บเดียวเอง ทำไมไม่ทนเรียนให้จบๆไป อุตส่าห์มีคนช่วยให้เข้าเรียนได้ แถมใช้เงินคนอื่นเรียน
แล้วจะตอบแทนคนอื่นแบบนี้เหรอ รู้จักนึกถึงคนอื่น ฟังคนอื่นบ้าง อย่าเอาแต่ใจตัวเอง
น้องก็ดื้อมาก ทั้งๆที่พ่อแม่บอกว่า ถ้าซิ่วก็จะไม่ให้เงินใช้อีก น้องก็บอกว่าเดี๋ยวหางานทำได้แล้วก็มีเงินเอง ไม่ต้องมายุ่ง รำคาญ
แถมมีการบอกด้วย ว่าถ้าคนในบ้านเอาแต่ยุ่งเรื่องชีวิตเขา เขาก็จะออกไปให้พ้นๆ จากบ้าน คือเราพูดยังไงก็ไม่สำเร็จเลย ไม่รู้จะทำไงแล้ว
เราไม่มั่นใจด้วยว่าถ้าน้องเรียนแค่ที่เดียว ในหลักสูตร 4 ปี น้องจะเรียนจบไหม เพราะตอนนี้เรียนแค่ปี 1 อะไรๆ ก็ยังไม่ยาก
แต่เดี๋ยวพอเรียนแล้วยากขึ้น น้องเราจะท้อและซิ่วอีกไหมก็ไม่รู้ เราก็พูดย้ำกับน้องนักหนา ว่าถ้าน้องยังเป็นแบบนี้ อนาคตจะลำบาก
แต่น้องก็ไม่สนใจ เราและพ่อแม่ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว