ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร ตอน ปฐมบท

อารัมภบท
                     ต้องออกตัวก่อนว่า..ผมติดตาม pantip มาร่วม 10 ปีแล้ว แต่เพิ่งเป็นสมาชิกไม่นานมานี้ โดยส่วนใหญ่จะอ่านอย่างเดียว ไม่เคยคอมเมนท์หรือแสดงความคิดเห็นใดๆ เนื่องจากพิมพ์ไม่เก่งเลยขี้เกียจพิมพ์ ส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบอ่านไม่ชอบเขียน แต่ชอบดูและฟังมากกว่า คิดไว้มานานพอควรว่าถ้ามีโอกาสจะลองเล่าเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตโดยใช้พื้นที่ตรงนี้ แชร์ประสบการณ์ผ่าน pantip โดยไม่ได้คิดหรือคาดหวังสิ่งใดๆ
                     
                    จริงๆแล้ว..ผมพิมพ์ไว้เกือบหมื่นคำแล้วแต่ยังไม่ได้โพส เกิดอุบัติเหตุประการใดไม่ทราบสาเหตุ ข้อความที่พิมพ์ไว้หายหมด รู้สึกเซ็งพอสมควร ที่พิมพ์ไว้เป็นแค่บางส่วนของชีวิต กะว่าจะมีตอนต่อไป พอมันหายก็เลยท้อเพราะไม่อยากเริ่มพิมพ์ใหม่ อย่างที่บอกเป็นคนพิมพ์ไม่เก่ง
                    
                    แต่พอให้เวลาเยียวยา..ผมก็กลับมาเริ่มพิมพ์ใหม่อีกครั้ง เพราะทุกอย่างมันอยู่ในความทรงจำ จะให้เล่ากี่ครั้งมันก็ยังเหมือนเดิม สิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ มันคือชีวิตจริงของผมเอง ในเรื่องผมจะพยายามไม่เปิดเผยความเป็นบุคคล และสถานที่ กลัวจะไปกระทบสิทธิ์ผู้อื่น เพราะถ้าหากบุคคลที่เกี่ยวข้องในเรื่องต่อไปนี้..บังเอิญเข้ามาอ่าน ผมอาจโดนฟ้องก็เป็นได้ ในโลกอนเตอร์เน็ตมันน่ากลัว ภาษาที่ใช้ก็อาจเป็นภาษาบ้านๆไม่สละสลวยเพราะมันออกมาจากใจแล้วมาลงที่ปลายนิ้วแล้วจึงพิมพ์ออกไปแบบ..ด้นสด

                    เริ่มเลยแล้วกันเพื่อไม่ให้เสีนเวลา..................
                                                                ปฐมบท
                    ผมเกิดมา..ในครอบครัวเชื้อสานจีน มีพี่น้องทั้งหมด 4 คน ดังนี้..พี่สาว พี่ชาย ผมเป็นคนที่ 3 และน้องชาย พ่อเป็นคนไม่กินเหล้าไม่สูบุหรี่แต่เจ้าชู้..มี..นารี เยอะ ส่วนแม่เป็นคนแรกของพ่อ คือ เมียหลวงนั่นเอง เท่าที่ผมจำความได้ ตอนที่พ่ออยู่กับแม่ สถานะครอบครัวก็ยังดีอยู่ แต่เวลาต่อมาพ่อทิ้งแม่ไปมีผู้หญิงอื่น แม่ต้องเลี้ยงลูกทั้งหมดเองด้วยตัวคนเดียว สถานะครอบครัวเรียกว่ายากจนเพราะแม่ต้องไปหยิบยืมเงินเพื่อนบ้าน มาประกอบกิจการเพื่อให้เกิดรายได้ แม่ผมต้องปากกัดตีนถีบของแท้เพราะอาชีพของแม่คือ ช่างเย็บจักร ตอนนั้นครอบครัวเรามีกัน 5 คน คือ แม่และลูกๆ 4 คน
                     
                      แม่สอนให้ลูกๆประหยัดและอดทน และบอกลูกๆว่าถ้าใครมาถามหาพ่อให้บอกว่า..พ่อตายไปแล้ว ด้วยความที่แม่เกลียดพ่อมากที่ทิ้งให้แม่ต้องลำบากตรากตรำ ทุกๆปี พ่อจะแวะมาหาหลังจากที่พ่อไปไหว้บรรพบุรุษในวันเชงเม้ง เพราะบ้านแม่อยู่ใกล้ๆสุสาน พอพ่อมาที่บ้าน ลูกๆทุกๆคนต่างวิ่งหนีพ่อราวกับเห็นผี ลูกๆคงคิดว่าพ่อเป็นผี..ออกมาจาก..สุสาน..วันเชงเม้ง เพราะแม่เล่นป้อนข้อมูลใส่ลูกๆว่า..พ่อตายไปแล้ว

                      มีอยู่ปีหนึ่ง..พ่อมารับผมไปอยู่ด้วยที่บางพลี ผมเกือบจมน้ำตายเพราะ เผลอ ตกน้ำ ยังดีที่พ่อช่วยชีวิตผมไว้ได้ทัน นั่นคือความทรงจำที่ผมมีต่อพ่อ หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไป..ผมก็ไม่ไปอยู่กับพ่ออีกเลย แต่ก็เคยเกือบตายเพราะจมน้ำอีกครั้งเพราะดันไปเล่นน้ำคลองแถวบ้านแม่ ตามประสาเด็กๆชอบเล่นน้ำ ยังดีที่มีเพื่อนที่ว่ายน้ำแข็งช่วยชีวิตไว้ได้ทัน ไปกัน 4-5 คน มีผมว่ายน้ำไม่เป็นอยู่คนเดียว

                      แม่เริ่มขยายกิจการจากจักรเย็บผ้าตัวเดียว มาขายของชำ เรียกได้ว่า ขายตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบจริงๆ สากกะเบือ เครื่องครัว เตรื่องเขียน ชุดนักเรียน และของเล่นเด็ก(มีเรือรบด้วย) โดยแม่หวังจะให้พี่สาวที่จบ ป.6 แล้วไม่ได้เรียนต่อมาช่วยงานที่บ้านและเลี้ยงน้องๆ แต่...แม่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อพี่สาวผมอยากไปเรียนเสริมสวยที่กรุงเทพฯ ขณะนั้น..ครอบครัวผมก็เหลือกัน 4 คน มีแม่และลูกชาย 3 คน(ไปกันทีละคน)

                      หลังจากพี่สาวไปเรียนเสริมสวยที่กรุงเทพฯ แม่ก็ต้องลำบากยิ่งกว่าเดิมเพราะต้องส่งเงินไปให้พี่สาว ไม่มีใครช่วยงานที่บ้าน ก็เหลือแต่ 3 หนุ่ม 3 มุม(เหมือนละครตอนนั้นพอดี) ต้องช่วยกันทำงานบ้าน ผมก็จึงหุงข้าว ล้างจาน เป็นตั้งแต่เด็ก ต่อมาพี่ชายได้ไปเรียนโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ ตอนนั้นพี่ชายอยู่ ม.6 ส่วนผมอยู่ ป.6 เมื่อผมจบ ป.6 พี่ชายก็ได้โควต้าเข้ามหาลัย พอดี พี่ชายเป็นคนขยันเรียน ส่วนผมไม่ขยันเรียนแต่หัวดี..อาศัยรถข้างบ้านไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ ปรากฎว่าผมคนที่อาศัยรถเพื่อนบ้านไปสอบดันสอบติด แต่เพื่อนบ้านที่ขยันอ่านหนังสือสอบไม่ติดซะงั้น

                      ชีวิตผมตอนเรียนมัธยมก็น่าจะดีเพราะอาจารย์เลือกผมเป็นหัวหน้าห้องต้องตั้งแต่ ม.1 ถึง ม.3 ประกอบกับพี่ชายผมทำผลงานไว้ดี เคยเป็นประธานนักเรียน แต่..ผมดันไม่รักดีเอง เน้นกิจกรรม เล่นกีฬา โดดเรียนบ้างเป็นบางที เมื่ออาจารย์จับได้ก็โดนตีมากกว่าเพื่อนในฐานะเป็นหัวหน้าห้อง ทั้งๆที่ตอนโดดเรียนเพื่อนผมเป็นคนชวนแท้ๆ ในตอนเรียนมัธยมนี้..มีคนนามสกุลเดียวกับผมอยู่ชั้นเดียวกันแต่คนละห้อง ต้องมาเจอกันในนัดชิงชนะเลิศกีฬาสีโรงเรียน มันเป็นศูนย์หน้าดันมายิงประตูตีเสมอทีมผมได้ในนาทีสุดท้าย ผมจะไม่คิดแค้นอะไรเลยถ้าผมไม่ไช่ผู้รักษาประตู แต่สุดท้ายทีมผมก็ได้แชมป์ หลังการแข่งขันผมจึงไปถามมันว่า..พ่อเองชื่ออะไร มันตอบกลับมาว่า..พ่อตายไปแล้ว ผมนึกในใจมาสูตรเดียวกับแม่กูเลยว่ะ พอมันตอบไม่ตรงคำถามอย่างนี้ ผมก็ไม่กล้าไปถามอะไรมันต่อ กลัวมันถามกลับมาว่า..ลูกยิงตีเสมอของมันเป็นไง(แม่ม..ลูกยิงมันแสกหน้าผมเข้าประตู ผมยังจำได้จวบจนทุกวันนี้) ผมจึงไปสืบเอาเองว่ามันเป็นใคร ที่แท้มันคือลูกของพ่อต่างแม่ แสดงว่า..พ่อผมแอบไปมีเมียน้อยและเชื้ออสุจิของพ่อก็ปฎิสนธิกับไข่ของเมียน้อย และแม่ผมในเวลาไร่เรี่ยกัน มันจึงเป็นที่มาของคำว่า..ไข่ไว้ไร่เรี่ย(มันเกี่ยวกันไหม)

                      เรื่องราวจะเป็นอย่างไร..โปรดติดตามตอนต่อไป..........................................นามปากกา ละครชีวิต
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่