▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
ธฤษณุ สรนันท์ (แมน The Face Men Thailand)
The Face Men Thailand (รายการโทรทัศน์)
The Face Thailand
มาทำความรู้จัก 'แมน' The Face Men Thailand ให้มากขึ้น ผ่านสัมภาษณ์นิตยสาร The Standard (และเชิญเสพภาพจาก Lookbook)
AGE : 26
TEAM : PEACH
NATIONALITY : THAI - DANISH
ส่วนสูง 190 เซนติเมตรบวกกับใบหน้าชวนมองที่มีส่วนผสมระหว่างตะวันออกและตะวันตกก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ชายหนุ่มคนหนึ่งกลายเป็นจุดรวมความสนใจในทุกครั้งที่ปรากฏตัว อย่างไรก็ตามชีวิตของผู้ชายวัย 26 ปีคนนี้ไม่ได้น่าสนใจเพียงเพราะรูปที่เป็นทรัพย์เท่านั้น แต่บริบทอันหลากหลายของเส้นทางชีวิตที่ปะปนระหว่างเดนมาร์ก-กรุงเทพก็ทำให้แมนพร้อมเรียนรู้ชีวิตในสถานการณ์ต่าง ๆ รวมถึงการก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงเกินกว่าครึ่งตัวแล้วในวันนี้ แม้จะไม่ใช่สิ่งที่สนใจมากแต่ดั้งแต่เดิมก็ตาม
คุณเป็นลูกครึ่งเดนมาร์ก
ใช่ครับ พ่อผมเป็นคนเดนมาร์ก ช่วงเด็กผมโตที่เมืองไทย เรียนโรงเรียนรัฐบาล แต่ย้ายไปเรียนที่เดนมาร์กตอนอายุ 15 ผมอยู่เดนมาร์ก 5 ปี เป็นช่วงเวลาที่ได้ประสบการณ์หลายอย่างเพราะอยู่คนเดียว ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ผมกลับเมืองไทยตอนอายุ 20 แล้วมาเรียนด้านบริหารโรงแรมที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ตอนแรกคิดว่าชอบด้านนี้นะครับ แต่พอไปฝึกงานก็คิดว่าไม่น่าจะชอบแล้วล่ะ (หัวเราะ) ตอนนั้นผมฝึกงานในห้องอาหาร ทำงานตั้งแต่วันจันทร์ถึงเสาร์ เจ็ดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น ก็คิดว่าผมอาจจะฝันผิดอย่าง (หัวเราะ)
ภาพที่ฝันไว้เป็นอย่างไร
อยู่ในโรงแรมสวย ๆ นอนจิบค็อกเทลริมหาดสบาย ๆ มีสปาให้เข้า มีสระน้ำ อันนั้นคงต้องเป็น GM ก่อน แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าการทำงานจริงมันเป็นอีกอารมณ์หนึ่งหรือจริง ๆ ผมอาจจะยังไปไม่ถึงฝันก็ได้ อาจจะต้องอีกซัก 20-30 ปี
เล่าถึงตอนเข้าวงการครั้งแรกให้ฟังหน่อย คุณไม่ได้เป็นฝ่ายเดินเข้าใส่วงการเหมือนคนที่อยากเป็นดาราส่วนหนึ่งในยุคนี้เค้าทำกันใช่ไหม
ผมไปเดินจตุจักร กำลังเลือกรองเท้าอยู่ ก็มีโมเดลลิ่งมายืนรออยู่หน้าร้านถามผมว่าสนใจเดินแบบไหมมีค่าขนมให้นิดหน่อย 4000-5000 บาท ด้วยความที่ตอนอยู่เดนมาร์ก ผมทำงานพิเศษหาค่าขนมอยู่แล้ว พอกลับมาไทยก็ยังอยากที่จะมีงานอยู่ แต่ที่นี่ไม่ค่อยอำนวยที่เราจะไปทำงานตามซุปเปอร์มาร์เก็ตเหมือนที่ต่างประเทศ คิดว่างานนี้อาจจะเป็นโอกาสดีก็เลยลองไปทำดู แรก ๆ ก็เดินมึน ๆ ตาลอย ๆ
มีงานแสดงด้วยใช่ไหม แต่ดูเหมือนแรก ๆ คุณจะไม่ค่อยชอบงานแสดงหรือเปล่า
ก่อนหน้านี้ผมไม่ชอบ เพราะมันเหมือนเราต้องพยายามพรีเซนต์ตัวเอง เราต้องพยายามหล่อ พยายามเป็นอะไรที่คนอื่นพยายามให้เราเป็น แต่พอผมเรียนการแสดงกับครูร่ม ผมเข้าใจมากขึ้น ที่ผ่านมาผมทำพวกโฆษณาซึ่งจะต้องเร็ว กระชับ บางทีต้องทำท่าแฮปปี้ ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ แต่พอได้มาเรียนก็ทำให้เรารู้สึกมากขึ้น เริ่มเล่นบทบาทยาว ๆ ได้
คุณบอกว่างานในวงการไม่ใช่เรื่องที่สนใจมาแต่แรก พอมาเรียนการโรงแรมก็อาจจะไม่ค่อยตรงฝันแล้วในตอนนี้ ถ้าอย่างนั้นฝันของคุณตอนเด็ก ๆ คืออะไร
อยากเป็นนักฟุตบอลครับ เล่นฟุตบอลมาตั้งแต่ 8 ขวบ พออายุ 13-14 ก็เริ่มอยากทำอย่างอื่นแล้ว ฟุตบอลในเมืองไทยตอนนั้นมันยังไม่บูมมากเหมือนตอนนี้ด้วยก็เลยไม่รู้ว่าจะไปต่อทางนี้ยังไง เสียดายเหมือนกัน ไว้ชีวิตหน้า มันต้องมีสักชีวิตหนึ่ง (หัวเราะ)
ไป ๆ มา ๆ เหมือนชีวิตคุณจะจัดสรรให้คุณต้องเข้าสู่วงการบันเทิงจนได้
ผมเริ่มเป็นนายแบบตั้งแต่อายุ 20 แต่งานก็ไม่ได้เยอะมากมายนะครับ จริง ๆ ผมไม่ชอบที่จะต้องมาประกวด ต้องมาแข่งขันออกทีวี ทีแรกเกือบจะไม่มาแล้ว ผมโทรหาอติล่าคืนก่อนที่จะไปออดิชั่น อดิล่าบอกผมว่าจะมา แล้วบอกว่าผมควรมา เลยคิดว่าคงต้องทำอะไรซักอย่างกับชีวิตแล้วล่ะไม่งั้นต้องกลับไปทำงานโรงแรม (หัวเราะ)
สิ่งที่ได้เรียนรู้อย่างไม่คาดฝันที่ได้จากการแข่งขัน
ผมมาด้วยความคิดค่อนข้างติดลบกับรายการ ผมคิดว่าผมต้องกลายเป็นตัวตลกแน่ ๆ เราเคยเห็นการแข่งขันของซีซั่นที่แล้วในอินสตาแกรมที่เค้าด่า ๆ กัน ผมว่ามันโคตรไร้สาระเลย จะมาทำอะไรอย่างนี้กันทำไมวะ ตอนที่ผมตัดสินใจมาเหมือนเราพยายามเอาชนะสิ่งที่เราไม่ชอบ แต่เราต้องทำเพื่อนาคต แต่พอได้มาเจอเพื่อน ๆ มาเจอเมนเทอร์ทั้งสามคน ทุกอย่างมันลงตัวจริง ๆ ผมได้เรียนรู้ได้ก้าวข้ามสิ่งที่เรากลัว ก็เหมือนเราโตขึ้นอีกขั้น
คุณเป็นลูกครึ่งที่มีความเอเชีย แถมช่วงวัยรุ่นยังไปโตที่เดนมาร์กอีกด้วย คุณเคยเจอสถานการณ์ที่เข้าข่ายโดนกลั่นแกล้งบ้างไหม
ไม่มีนะครับ อาจจะเป็นเพราะผมเริ่มตัวใหญ่แล้วด้วย (หัวเราะ) ผมว่าด้วยความที่เราเป็นคนไทยด้วยมั้ง มีความอ่อนน้อมทำตน มันเลยอยู่ง่าย ผมอาจจะอยู่เป็นก็ได้ ผมโตเมืองไทยตั้งแต่เด็ก เคยเรียนโรงเรียนรัฐบาล มีเพื่อนเป็นเด็กแว๊น เคยเป็นทหารด้วย เราก็อยู่ตรงนั้นมา เราก็อยู่ได้ รู้ว่าจะอยู่อย่างไร
ในฐานะที่คุณคลุกคลีมาแล้วทั้งเดนมาร์กและไทย คุณมองเรื่องความเท่าเทียมทางเพศระหว่างสองสังคมนี้อย่างไร
มีความแตกต่างนะครับ ที่โน่นเค้าเปิดโอกาสให้ผู้หญิงแสดงความสามารถได้มากกว่า แต่ผมว่าในโลกของผู้ชาย ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องกดผู้หญิงอยู่ในหน่อย ๆ บางทีอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ผมว่ามันอยู่ในสัญชาตญาณของผู้ชายที่อยากจะเป็นผู้นำ แต่ผมว่าผู้หญิงเดี๋ยวนี้เก่งมาก ไม่มีอะไรแพ้ผู้ชายเลย ผู้หญิงมีความเข้าใจอ่อนโยน ละเอียด
แล้วเรื่องความหลากหลายทางเพศ ระหว่างเดนมาร์กกับไทยที่คุณเห็นเป็นอย่างไร
ผมว่าเมืองไทยน่าจะยอมรับเรื่องความหลากหลายทางเพศมากกว่าที่เดนมาร์กนะ หรือว่าที่โน่นอาจจะมีไม่เยอะเท่าที่นี่ คนเค้าอาจจะน้อย แต่ว่าที่โน่นเค้าก็ค่อนข้างเปิดเผยกันพอสมควรนะครับ เขาจูบกันในที่สาธารณะ เมืองไทยก็มีเยอะ แต่ไม่รู้ทำไมเรามัวแต่ต่อต้านมัน ทำไมเราถึงไม่ยอมรับมัน และทำให้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ทั้งที่มันคือเรื่องธรรมชาติ
เดนมาร์กเป็นหนึ่งในประเทศที่มีดัชนีความสุขสูงที่สุดในโลก มีวิธีสร้างสุขแบบ 'ฮุกกะ' (Hygge) ที่ดังไปทั่วโลก คุณรู้จักปรัชญานี้ใช่มั้ย
รู้จักครับ จริง ๆ มีหนังสืออยู่เหมือนกัน เพื่อนซื้อมาให้อ่าน แต่ใช่ คนที่นั่นเค้าใช้คำว่าฮุกกะกันบ่อย
แล้วฮุกกะของคุณเป็นอย่างไร
ฮุกกะอยู่ในทุกอย่างครับ ฮุกกะของผมจะนึกถึงรถแคมปิ้งของพ่อ ตอนผมเรียนที่เดนมาร์กก็อยู่โรงเรียนประจำ ส่วนพ่อจะอยู่ในรถแคมปิ้งที่มีเต็นท์ ตั้งอยู่ในสวนกลางธรรมชาติ บางทีไปเยี่ยมพ่อวันเสาร์-อาทิตย์ เค้าก็จะทำบาร์บีคิวให้กิน เราก็จะนั่งดูหนังกันในรถแคมปิ้งเล็ก ๆ ข้างนอกมันหนาว แต่ข้างในมันอุ่น จุดเทียนนั่งดูหนัง กินกาแฟ คุกกี้ นี่คือฮุกกะเหมือนเราสร้างความอบอุ่นจากอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ต้องหรูแต่ดูอบอุ่น
>>อ่านถึงตรงนี้ เรารู้สึกอบอุ่น ละมุนแปลกๆ เรารู้เลย เค้าได้ความชิว ความคูล ความอบอุ่น มาจากใคร555 คุณพ่อนี่เอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แล้วเมืองไทยล่ะคุณมีช่วงเวลาฮุกกะบ้างหรือเปล่า
ที่นี่ฮุกกะก็อยู่ในหลายอย่างนะ ผมชอบความเรียบง่ายของเมืองไทย ความพอเพียงของคนบางคน อย่างแม่ค้าในตลาด ซึ่งอาจทำงานได้เงินไม่เยอะมากเท่าไหร่ แต่เขาก็อารมณ์ดี ยิ้มให้เรา หัวเราะ มันมีเสน่ห์ เป็นความอบอุ่นที่สัมผัสได้
เป็นยังไงกันบ้างคะ
เราอ่านแล้วเรารู้สึกหลงรักผู้ชายคนนี้มากกว่าเดิม^^ เราชอบความคิดเค้า เค้าดูเป็นผู้ใหญ่ พึ่งพาได้ สมแล้วที่ทุกคนเคารพและรักผู้ชายคนนี้ ผู้ชายแบบนี้แหละ ที่จะเป็น role model ให้กับใครหลาย ๆ คน
สุดท้าย ขอบคุณทุกคนที่รักและคอยซับพอร์ตแมนมาตลอด ๆ และพวกเราก็จะรักและซับพอร์ตแมนกันต่อไปเนอะ^^
อ่านฉบับเต็มของทั้ง 5 คน ได้ที่ : https://thestandard.co/read/magazine_issue12
ขอบคุณรูปภาพจาก : http://www.lookbook.in.th/5style-mantheface-siamparagon/