คุณเชื่อใน กฎแห่งแรงดึงดูด ??

เคยได้ยินมาว่า โลกเรามีอำนาจพลังมหาศาลด้วย กฎของแรงดึงดูด แค่คุณมี
1.มีความคิดปรารถนา คุณอยากได้สิ่งใดให้คิดปรารถนาไว้
2.เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น สร้างภาพนั้นในหัวจิตรนาการของคุณไว้ มีความเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น คิดวนซ้ำๆทุกวัน
3.ต้องเป็นความคิดบวก พลังงานบวก ห้ามคิดลบ
แล้วเมื่อถึงเวลา สิ่งที่คุณปรารถนาจะเป็นความจริง

ขอถามเพื่อนๆว่า ใครเคยได้ยินกฎแห่งแรงดึงดูดบ้าง และเคยใช้มันและประสบความสำเร็จบ้างรึเปล่า ??
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
มีบทความนี้แชร์ในกลุ่มไลน์ น่าสนใจดี
ขออนุญาตแชร์ต่อ
>
>
>
อธิบายกฎแรงดึงดูด

เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว มีหนังสือฝรั่งเล่มหนึ่งที่ดังมาก

หนังสือเล่มนั้นชื่อ The Secret ที่เขียนโดยรอนดา เบิร์น (Rhonda Byrne)

เนื้อหาหลักของหนังสือเล่มนี้ว่าด้วยกฎแรงดึงดูด - Law of Attraction

กฎนี้บอกง่ายๆ ว่าให้คิดถึงสิ่งดีๆ แล้วจะมีแต่เรื่องดีๆ เข้ามาหาเอง

เช่นขับรถเข้าไปในห้างใหญ่ แล้วจินตนาการว่าจะมีที่จอดรถว่าง เดี๋ยวก็จะเจอที่จอดรถว่างจริงๆ

หรือให้คิดถึงความมั่งคั่งร่ำรวยเข้าไว้ แล้วจักรวาลจะนำพาความมั่งคั่งนั้นมาให้

มีคนไม่น้อยที่มองว่ากฎแรงดึงดูดนี้เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะถ้าเอาแต่คิดว่าจะมีเงินล้านแต่ไม่ลงมือทำ มันจะไปมีเงินล้านได้อย่างไร

วันนี้เลยอยากจะมานำเสนอกฎแรงดึงดูดในอีกมุมหนึ่งครับ

-----

ในหนังสือ Thinking, Fast and Slow ของเจ้าของรางวัลโนเบล Daniel Kahneman บอกว่าคนเรานั้นมีระบบการคิดอยูสองแบบ

ระบบที่ 1 (System 1) คือความคิดที่รวดเร็ว ใช้อารมณ์และสัญชาติญาณ

ระบบที่ 2 (System 2) คือความคิดที่ช้ากว่า ใช้ตรรกะและความรอบคอบ

ผมขอเรียกระบบแรกว่าระบบอัตโนมัติ (automatic) และระบบที่สองว่าระบบตั้งใจ (deliberate)

"ระบบตั้งใจ" นั้นจะถูกใช้งานเมื่อจำเป็น เช่นการคิดคำนวณและการวิเคราะห์ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำงาน แต่ระบบนี้เชื่องช้าและมีขีดจำกัด สังเกตง่ายๆ ว่าตอนค่ำๆ หลังจากทำงานมาทั้งวัน สมองของเราเหนื่อยล้าเกินกว่าจะทำอะไรที่เป็นเหตุเป็นผล เราจึงนอนไถเฟซบุ๊คอยู่ได้เป็นชั่วโมงทั้งๆ ที่เราก็รู้ว่ามันไม่ดี

ส่วน "ระบบอัตโนมัติ" นั้นรวดเร็วกว่าและทำงานได้ทั้งวันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มันจึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการใช้ชีวิต เช่นการอาบน้ำแต่งตัว ขับรถไปทำงานและอะไรก็ตามที่เป็นกิจวัตร รวมถึงการตัดสินใจอะไรไวๆ เช่นเจอหน้าคนนี้แล้วเราไม่ถูกชะตา หรือทำให้นิ้วโป้งเราหยุดชะงักเมื่อไถฟีดไปเจอเรื่องที่เราสนใจ พูดรวมๆ ก็คือมันเอื้อให้เราทำสิ่งต่างๆ โดยไม่ต้องคิดนั่นเอง

ในแต่ละวันข้อมูลปริมาณมหาศาลจะประเดประดังเข้ามาผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 โดยระบบอัตโนมัติจะรับเอาไว้เองเกือบหมด โดยระบบนี้จะทำหน้าที่เป็น "ตัวกรอง" เพื่อให้เหลือข้อมูลเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะหลุดเข้าไปถึง "ระบบตั้งใจ" ซึ่งก็เป็นเรื่องจำเป็น เพราะระบบตั้งใจนั้นทำงานได้ช้าและเหนื่อยง่ายกว่าระบบอัตโนมัติมาก

นั่นคือเหตุผลที่เราสามารถมองเห็นหน้าคนนับร้อยในฝูงชนโดยไม่ต้องหยุดคิดอะไรจนกว่าจะเจอหน้าคนที่เรารู้จัก

-----

ตั้งแต่เริ่มทำงานมา ผมขับรถอยู่สองยี่ห้อเท่านั้นคือโตโยต้าและนิสสัน และผมก็คิดมาตลอดว่ารถสองยี่ห้อนี้คือรถที่มีจำนวนมากที่สุดในท้องถนนกรุงเทพ

แต่พอวันนึงแฟนอยากจะซื้อรถฮอนด้า จู่ๆ ผมก็เริ่มสังเกตเห็นว่าท้องถนนมีรถฮอนด้ามากกว่าที่คิดไว้เยอะเลย

ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมก็คงเห็นรถฮอนด้าอยูุ่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ฮอนด้าที่ผมเห็นมันถูกกรองด้วยระบบอัตโนมัติออกไปเกือบหมด ผมเลยไม่มีภาพจำอยู่เลยว่าจริงๆ แล้วรถฮอนด้านั้นอาจมีมากกว่านิสสันหรือโตโยต้าซะอีก

สมัยเรียนประถม เวลาผมฟังเพลงผมก็จะได้ยินแต่ "เสียงนักร้อง" และ "เสียงดนตรี"

แต่พอเริ่มเล่นดนตรีเป็นตอนเรียนมัธยม ก็เริ่มฟังเพลงละเอียดขึ้น เริ่มได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยินอย่าง "เสียงเบส" "เสียงประสาน" หรือเสียงแบ็คกราวด์ที่ทำให้ดนตรีแน่นขึ้น

เมื่อเราใส่ใจกับสิ่งใด เราจะเห็นสิ่งนั้นและได้ยินสิ่งนั้นมากขึ้น เพราะข้อมูลเหล่านั้นจะไม่ถูกคัดออกโดย "ระบบอัตโนมัติ" อีกต่อไป

และนี่น่าจะเป็นคำอธิบายที่ดีสำหรับกฎแรงดึงดูดครับ

หากเราคาดหวังที่จะเจอสิ่งดีๆ ในวันนี้ เราก็จะมองหาแต่สิ่งดีๆ และเมื่อเรามองหามัน มันก็จะถูกส่งมายัง "ระบบตั้งใจ" โดยที่ไม่ถูกคัดทิ้งโดย "ระบบอัตโนมัติ" ไปเสียก่อน

หากเราอารมณ์ดี เราก็จะคาดหวังให้คนอื่นอารมณ์ดีด้วย เราจึงยิ้มง่าย คนอื่นจึงยิ้มตอบ ซึ่งมันก็ทำให้เราเชื่อมั่นเข้าไปอีกว่าวันนี้จะมีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้น

แต่ในวันที่เราอารมณ์ไม่ดี คิดว่าวันนี้เจอแต่เรื่องแย่ๆ พอสิ่งดีๆ เกิดขึ้น ระบบอัตโนมัติก็จะกรองสิ่งนั้นออกไปจนเราไม่เห็น แต่พอมีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นเพียงหน่อยเดียวเราก็จะมองเห็นมันทันทีและคิดในใจว่า "นั่นไง เอาอีกแล้ว วันนี้วันซวยจริงๆ"   

นั่นคือเหตุผลที่เวลาเรามีอคติกับใคร เราจะจับผิดเค้าได้ตลอดเวลา ในขณะที่เวลาเรารักเราหลงใคร ต่อให้เค้ามีสัญญาณไม่ดีอย่างไรเรากลับไม่รู้ตัว (ทั้งๆ ที่เพื่อนทุกคนก็เห็นและเตือนแล้วเตือนอีก)

ดังนั้นเราอาจมองกฎแรงดึงดูด ว่าเป็นการ "สับสวิทช์ตัวกรองข้อมูล"

จริงๆ ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นตามครรลองของมันนั่นแหละ

แต่เมื่อเราคาดหวังสิ่งดีๆ เราก็จะ "มอง" และ "เห็น" สิ่งดีๆ มากขึ้นเท่านั้นเอง

คนที่จอจ่อเรื่องช่องทางธุรกิจ จึงมองเห็นโอกาสทางธุรกิจตลอดเวลา ในขณะที่คนที่สนใจเรื่องใต้เตียงดารา ก็จะได้รับข่าวเมาธ์ดาราตลอดวันเช่นกัน ยิ่งเดี๋ยวนี้ Facebook มันมีกลไกดึงแต่เรื่องที่เราสนใจขึ้นมาให้ดูเสียด้วย

ก็แล้วแต่เราแล้วล่ะครับว่าจะใช้กฎแรงดึงดูดนี้ให้เป็นคุณหรือเป็นโทษ

----
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่