เมื่อสองปีก่อน มีแผนว่าจะมีอยู่อเมริกาสักระยะ เลยได้ไปปรึกษาคุณหมอเรื่องมีบุตร เพราะเราค่อนข้างมีบุตรยาก เผื่อว่าถ้าโอกาสน้อย จะได้วางแผนเรียน หรือหางานทำต่อไป สุดท้าย สำเร็จ ได้เด็กน้อยมาหนึ่งคน
ที่นี้ ก็เลยวางแผนหาข้อมูล ในเรื่องการฝากครรภ์ เพราะหารายละเอียดค่าใช้จ่ายยากมาก อีกทั้งข้อมูลในเรื่องทำประกันสำหรับคนที่ท้องแล้ว ก็ไม่ค่อยมี เลยอยากจะมาเล่าเรื่องราว เผื่อเป็นประโยชน์ สำหรับคนที่จะมา แล้วยังไม่รู้จะปรึกษาใครนะคะ
ก่อนที่เราจะมา ท้องได้ 2 - 3 เกือนแล้ว พอรู้กำหนดการณ์จริงๆ เราก็ให้คุณหมอที่ฝากครรภ์เขียนรายละเอียดต่างๆ เผื่อส่งต่อมาใช้ในการฝากครรภ์ที่อเมริกา นอกจากนี้ เรายังมีโรคประจำตัวที่ตรวจพบก่อนท้องด้วย คุณหมอประจำตัวก็เขียนประวัติการรักษา พร้อมกับซีดีผลตรวจต่างๆมาให้ค่ะ
เมื่อมาถึงอเมริกา ยอมรับเลยว่าเรากับสามีงงว่าควรจะเริ่มตรงไหนดี ก็หาข้อมูลโรงพยาบาลระแวกที่พักไว้ สุดท้ายพนักงานที่ดูแลที่พักก็แนะนำโรงพยาบาลที่พึ่งคลอดไป เรากับสามีก็เลยเดินเข้าไปติดต่อ พร้อมกับเอกสารที่มาจากไทย
เนื่องจากเราไม่มีประกันที่ครอบคลุมการตั้งครรภ์ พนักงานก็ได้ให้คุยกับเจ้าหน้าที่ ให้จ้อเสนอในการสมัครใช้สวัสดิการของรัฐ โดยให้เบอร์ติดต่อและชื่อองค์กรมา (Humane society) ประมาณนี้นะคะ พร้อมกับบอกว่า ถ้าสมัครแล้วไม่ได้ ก็จะมีแพ็คเก็ต การตรวจครรภ์ให้ ราคาประมาณไม่เกิน 5,000$ ไม่รวมคลอด เพราะเราต้องย้ายไปอีกเมืองก่อนคลอด แล้วก็ได้ตรวจวันนี้นเลย แต่จ่ายค่าตรวจเอง 300$ คุณหมอก็อ่านประวัติ แล้วก็ฟังเสียงหัวใจ พร้อมกับสั่งวิตามินให้ ราคาวิตามินที่คุณหมอสั่งให้ ราคาก็แรงอยู่นะคะ เกือบ 200$
หลังจากนั้น ก็ไปยื่นเอกสารสมัครสวัสดิการของรัฐ ผลออกมาไม่ผ่าน แต่สามารถใช้อีกสิทธิ์ได้ (แต่ละรัฐเงื่อนไขไม่เหมือนกัน) ซึ่งโรงพยาบาลที่ติดต่อไว้ ไม่รับสวัสดิการที่เราได้จากรัฐมา จึงต้องย้ายไปโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ค่อนข้างไกลพอสมควร แต่ยังได้ตรวจกับคุณหมอท่านเดิม คุณหมอก็น่ารักมาก ขอโทษใหญ่เลยที่ไม่สามารถตรวจให้เราในโรงพยาบาลเดิมได้ แต่ที่จริงก็ไม่ใช่ความผิดคุณหมอเลย
การตรวจที่นี่ก็จะไม่ถี่นัก สองเดือนตรวจที ซึ่งตอนแรกเราก็งง เพราะที่ไทย เราตรวจที่โรงพยาบาลเอกชน คุณหมอตรวจทุก 2 สัปดาห์ แถมได้ภาพเด็กน้อยกลับมาทุกครั้ง แต่ตรวจที่นี่คุณหมอแค่ฟังเสียงหัวใจ มี Ultrasoud 1 ครั้ง และตรวจเลือดอีก 1 ครั้ง
หลังจากนั้นก็ย้ายเมืองสิทธิ์ก็จะใช้ไม่ได้ที่รัฐนี้ ตอนนี้เราก็เริ่มหาโรงพยาบาลที่จะไปคลอด ที่นี่จะต่างจาก Texas ตรงที่ หาหมอจะให้หาที่คลินิค ส่วนโรงพยาบาลจะเป็นแผนกสำหรับคลอดเท่านั้น เราเริ่มจากไปติดต่อโรงพยาบาลหาแพ็คเก็ตคลอด ราคาก็ไม่ได้สูงมาก ประมาณ 3,000$ - 6,000$ โดยต้องซื้อแพ็คเก็ตกับโรงพยาบาลไว้ก่อน พร้อมกันนี้ก็ถามถึงคุณหมอสำหรับฝากครรภ์ต่อ คุณพยาบาลก็ได้แนะนำคลินิคใกล้ๆให้
เราได้ไปติดต่อคลินิคเพื่อฝากครรภ์ และแจ้งเรื่องที่ไม่มีประกัน พนักงานก็นัดคุณหมอให้ แล้วก็ให้ติดต่อกับ Humane society เช่นเดิม สรุปว่า เราได้สิทธิ์ในการจ่ายค่าหมอ 50$-80$/ ครั้ง และค่าคลอดประมาณ 3,000-4,000$
การไปพบคุณหมอแต่ละครั้ง จะมีการตรวจปัสสาวะ มีเจาะเลือดบ้าง หรือส่งไป Ultrasoud บ้าง ในช่วงใกล้ๆครบกำหนดคลอดก็จะนัดบ่อยขึ้น ระหว่างนี้ เราก็สมัครคอร์สของโรงพยาบาลไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นคอร์สคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ คอร์สลดการเจ็บปวดระหว่างคลอด ก็ทำให้เราเตรียมตัวก่อนคลอดได้ดีขึ้น ค่าคอร์สนั่นก็มาตั้งแต่ 30$ - 150$ ระยะเวลาตั้งแต่ 3 ชั่วโมง จนถึง 1 เดือน
นอกจากนี้ เรายังได้ไปคลาสของ Babies r us ซึ่งมีทั้งแนะนำการ CPR/ การนวด แนะนำการซื้อของต่างๆ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
ขอข้ามไปเล่าช่วงคลอดเลยละกันนะคะ เรามีอาการเจ็บเตือน แต่ยังไม่ 5-1-1 (เจ็บทุก 5 นาทีใน 1 ชั่วโมง) แต่ว่ามีน้ำใสๆออกมา ซึ่งไม่เยอะ ก็เลยลองไปโรงพยาบาล ก็ได้ไปห้องแรกรับก่อน พยาบาลเลยเอาน้ำใสๆไปตรวจ รอผลประมาณครึ่งชั่วโมง สรุปว่าน้ำคล่ำรั่ว พยาบาลจึงประสานกับคุณหมอประจำตัว คุณหมอก็ให้ยาเร่งคลอดได้เลย
เราถูกย้ายไปห้องคลอด ที่นี่ห้องคลอดจะแยกห้องละ 1 คน สามารถเลือกห้องที่มีอ่างเพื่อคลอดในน้ำได้ ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะคลอดในน้ำ แต่เนื่องจากปวดมาสองวันแล้ว และพยาบาลแนะนำว่าถ้าบล็อคหลังจะได้มีเวลาพักผ่อน ก็เลยบล็อคหลัง เมื่อถึงห้องคลอด จะมีพยาบาลมาแนะนำตัว เป็นคนดูแลเราจนกว่าจะคลอดเสร็จ แนะนำวิธีการใช้อุปกรณ์ในห้อง ซึ่งมีห้องน้ำ ทีวี เตียงไฟฟ้า พร้อมกับเอกสารต่างๆ
หลังจากเราแจ้งว่าจะบล็อคหลัง คุณหมอก็จะมาบล็อคให้ ซึ่งไม่เจ็บเลย หลังจากนั้นก็นอนสบาย พยาบาลก็จะเข้ามาดูเรื่อยๆ ทั้งความกว้างของปากมดลูก และอัตราการเต้นของเด็กน้อย พอปากมดลูกเปิดหมด พยายาลก็มาช่วยสอนวิธีเบ่ง โดยคุณพ่อช่วยจับขา 1 ข้าง พยาบาลช่วยเบ่ง เราก็จับอีกข้าง แต่สุดท้ายเบ่งไม่ออก ตอนนี้จึงตามคุณหมอ และผู้ช่วยมา จนคลอดสำเร็จ
เมื่อเบบี้อีกมา คุณหมอก็เอามาวางไว้บนตัวเรา คุณพ่อตัดสายสะดือ แล้วสักพักจึงค่อนพาเด็กน้อยทำความสะอาด ปั้มรอยเท้าเป็นที่ระลึก แล้วก็ปล่อย เราสามคนพ่อแม่ลูกให้พักผ่อน
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ก็ย้ายไปห้องพักฟื้น ที่นี่ทุกห้องเป็นห้องเดี่ยวหมด จะมีพยาบาลมาแนะนำตัวที่ดูแลประจำห้อง มีบอร์ดสำหรับให้เขียนว่าแต่ละวันต้องการให้ดูแลเรื่องอะไรเป็นพิเศษ มีพนักงานมาถามว่าอยากทานอะไรในแต่ละวัน มีเจ้าหน้าที่มาขอเอกสารแจ้งเกิด ติดต่อประกันให้ เรายังไม่มีหมอเด็ก เค้าก็หาให้ แล้วก็มีช่างมาถ่ายภาพให้ด้วย คุณหมอประจำตัวก็มสดูเรา เข้ามากอดยินดีกับเรา เราก็แอบปลื้ม เพราะมีกันสองคนกับสามี ใครเข้าห้องมาหาเราเราก็ดีใจแล้ว
เราชอบที่นี่อย่าง คือเค้าดูแลทุกคนเท่ากันหมด และดูแลอย่างดีด้วย แล้วไม่ใช่ดูแลเฉพาะคนไข้ เจ้าหน้าที่เค้าก็ดูแลไม่ให้ทำงานมากเกินไป เลยทำให้บรรยากาศในการมาโรงพยาบาลไม่กดดันเลย ก่อนออกจากโรงพยาบาลเราต้องเอา Car seat มา โดยพยาบาบจะสอนวิธีการใช้ และให้เราอุ้มเด็กน้อยใส่ Car seat กลับบ้าน
แล้วก็มีค่าใช้จ่ายส่วนเกินมา ที่สวัสดิการไม่ครอบคลุมคือตอนเราไปตรวจที่โรงพยาบาลก่อนคลอด 2 ครั้งๆละ 1,000$ ใช้เวลาตรวจ 20 นาที อันนี้ไม่ได้เตรียมใจไว้ เราเลยไปปรึกษาแผนกการเงินที่โรงพยาบาล เพื่อขอส่วนลด หรือถ้าไม่ได้ก็จะขอผ่อน สรุปว่าถ้าจ่ายเลยจ่ายประมาณไม่เกิน 800$ ก็เลยจ่ายไปเลย
เรามาเล่าครั้งแรกนะคะ อาจจะพิมพ์ตกหล่นบ้างต้องขอโทษด้วย เราไม่มีเวลาแก้ อาศัยพิมพ์ตอนเด็กน้อยหลับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่จะต้องมาอเมริกา แล้วไม่มีที่ปรึกษาแบบเรานะคะ จะได้เตรียมตัวล่วงหน้าได้
เล่าประสบการณ์คลอดเด็กน้อยที่อเมริกาค่ะ
ที่นี้ ก็เลยวางแผนหาข้อมูล ในเรื่องการฝากครรภ์ เพราะหารายละเอียดค่าใช้จ่ายยากมาก อีกทั้งข้อมูลในเรื่องทำประกันสำหรับคนที่ท้องแล้ว ก็ไม่ค่อยมี เลยอยากจะมาเล่าเรื่องราว เผื่อเป็นประโยชน์ สำหรับคนที่จะมา แล้วยังไม่รู้จะปรึกษาใครนะคะ
ก่อนที่เราจะมา ท้องได้ 2 - 3 เกือนแล้ว พอรู้กำหนดการณ์จริงๆ เราก็ให้คุณหมอที่ฝากครรภ์เขียนรายละเอียดต่างๆ เผื่อส่งต่อมาใช้ในการฝากครรภ์ที่อเมริกา นอกจากนี้ เรายังมีโรคประจำตัวที่ตรวจพบก่อนท้องด้วย คุณหมอประจำตัวก็เขียนประวัติการรักษา พร้อมกับซีดีผลตรวจต่างๆมาให้ค่ะ
เมื่อมาถึงอเมริกา ยอมรับเลยว่าเรากับสามีงงว่าควรจะเริ่มตรงไหนดี ก็หาข้อมูลโรงพยาบาลระแวกที่พักไว้ สุดท้ายพนักงานที่ดูแลที่พักก็แนะนำโรงพยาบาลที่พึ่งคลอดไป เรากับสามีก็เลยเดินเข้าไปติดต่อ พร้อมกับเอกสารที่มาจากไทย
เนื่องจากเราไม่มีประกันที่ครอบคลุมการตั้งครรภ์ พนักงานก็ได้ให้คุยกับเจ้าหน้าที่ ให้จ้อเสนอในการสมัครใช้สวัสดิการของรัฐ โดยให้เบอร์ติดต่อและชื่อองค์กรมา (Humane society) ประมาณนี้นะคะ พร้อมกับบอกว่า ถ้าสมัครแล้วไม่ได้ ก็จะมีแพ็คเก็ต การตรวจครรภ์ให้ ราคาประมาณไม่เกิน 5,000$ ไม่รวมคลอด เพราะเราต้องย้ายไปอีกเมืองก่อนคลอด แล้วก็ได้ตรวจวันนี้นเลย แต่จ่ายค่าตรวจเอง 300$ คุณหมอก็อ่านประวัติ แล้วก็ฟังเสียงหัวใจ พร้อมกับสั่งวิตามินให้ ราคาวิตามินที่คุณหมอสั่งให้ ราคาก็แรงอยู่นะคะ เกือบ 200$
หลังจากนั้น ก็ไปยื่นเอกสารสมัครสวัสดิการของรัฐ ผลออกมาไม่ผ่าน แต่สามารถใช้อีกสิทธิ์ได้ (แต่ละรัฐเงื่อนไขไม่เหมือนกัน) ซึ่งโรงพยาบาลที่ติดต่อไว้ ไม่รับสวัสดิการที่เราได้จากรัฐมา จึงต้องย้ายไปโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ค่อนข้างไกลพอสมควร แต่ยังได้ตรวจกับคุณหมอท่านเดิม คุณหมอก็น่ารักมาก ขอโทษใหญ่เลยที่ไม่สามารถตรวจให้เราในโรงพยาบาลเดิมได้ แต่ที่จริงก็ไม่ใช่ความผิดคุณหมอเลย
การตรวจที่นี่ก็จะไม่ถี่นัก สองเดือนตรวจที ซึ่งตอนแรกเราก็งง เพราะที่ไทย เราตรวจที่โรงพยาบาลเอกชน คุณหมอตรวจทุก 2 สัปดาห์ แถมได้ภาพเด็กน้อยกลับมาทุกครั้ง แต่ตรวจที่นี่คุณหมอแค่ฟังเสียงหัวใจ มี Ultrasoud 1 ครั้ง และตรวจเลือดอีก 1 ครั้ง
หลังจากนั้นก็ย้ายเมืองสิทธิ์ก็จะใช้ไม่ได้ที่รัฐนี้ ตอนนี้เราก็เริ่มหาโรงพยาบาลที่จะไปคลอด ที่นี่จะต่างจาก Texas ตรงที่ หาหมอจะให้หาที่คลินิค ส่วนโรงพยาบาลจะเป็นแผนกสำหรับคลอดเท่านั้น เราเริ่มจากไปติดต่อโรงพยาบาลหาแพ็คเก็ตคลอด ราคาก็ไม่ได้สูงมาก ประมาณ 3,000$ - 6,000$ โดยต้องซื้อแพ็คเก็ตกับโรงพยาบาลไว้ก่อน พร้อมกันนี้ก็ถามถึงคุณหมอสำหรับฝากครรภ์ต่อ คุณพยาบาลก็ได้แนะนำคลินิคใกล้ๆให้
เราได้ไปติดต่อคลินิคเพื่อฝากครรภ์ และแจ้งเรื่องที่ไม่มีประกัน พนักงานก็นัดคุณหมอให้ แล้วก็ให้ติดต่อกับ Humane society เช่นเดิม สรุปว่า เราได้สิทธิ์ในการจ่ายค่าหมอ 50$-80$/ ครั้ง และค่าคลอดประมาณ 3,000-4,000$
การไปพบคุณหมอแต่ละครั้ง จะมีการตรวจปัสสาวะ มีเจาะเลือดบ้าง หรือส่งไป Ultrasoud บ้าง ในช่วงใกล้ๆครบกำหนดคลอดก็จะนัดบ่อยขึ้น ระหว่างนี้ เราก็สมัครคอร์สของโรงพยาบาลไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นคอร์สคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ คอร์สลดการเจ็บปวดระหว่างคลอด ก็ทำให้เราเตรียมตัวก่อนคลอดได้ดีขึ้น ค่าคอร์สนั่นก็มาตั้งแต่ 30$ - 150$ ระยะเวลาตั้งแต่ 3 ชั่วโมง จนถึง 1 เดือน
นอกจากนี้ เรายังได้ไปคลาสของ Babies r us ซึ่งมีทั้งแนะนำการ CPR/ การนวด แนะนำการซื้อของต่างๆ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
ขอข้ามไปเล่าช่วงคลอดเลยละกันนะคะ เรามีอาการเจ็บเตือน แต่ยังไม่ 5-1-1 (เจ็บทุก 5 นาทีใน 1 ชั่วโมง) แต่ว่ามีน้ำใสๆออกมา ซึ่งไม่เยอะ ก็เลยลองไปโรงพยาบาล ก็ได้ไปห้องแรกรับก่อน พยาบาลเลยเอาน้ำใสๆไปตรวจ รอผลประมาณครึ่งชั่วโมง สรุปว่าน้ำคล่ำรั่ว พยาบาลจึงประสานกับคุณหมอประจำตัว คุณหมอก็ให้ยาเร่งคลอดได้เลย
เราถูกย้ายไปห้องคลอด ที่นี่ห้องคลอดจะแยกห้องละ 1 คน สามารถเลือกห้องที่มีอ่างเพื่อคลอดในน้ำได้ ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะคลอดในน้ำ แต่เนื่องจากปวดมาสองวันแล้ว และพยาบาลแนะนำว่าถ้าบล็อคหลังจะได้มีเวลาพักผ่อน ก็เลยบล็อคหลัง เมื่อถึงห้องคลอด จะมีพยาบาลมาแนะนำตัว เป็นคนดูแลเราจนกว่าจะคลอดเสร็จ แนะนำวิธีการใช้อุปกรณ์ในห้อง ซึ่งมีห้องน้ำ ทีวี เตียงไฟฟ้า พร้อมกับเอกสารต่างๆ
หลังจากเราแจ้งว่าจะบล็อคหลัง คุณหมอก็จะมาบล็อคให้ ซึ่งไม่เจ็บเลย หลังจากนั้นก็นอนสบาย พยาบาลก็จะเข้ามาดูเรื่อยๆ ทั้งความกว้างของปากมดลูก และอัตราการเต้นของเด็กน้อย พอปากมดลูกเปิดหมด พยายาลก็มาช่วยสอนวิธีเบ่ง โดยคุณพ่อช่วยจับขา 1 ข้าง พยาบาลช่วยเบ่ง เราก็จับอีกข้าง แต่สุดท้ายเบ่งไม่ออก ตอนนี้จึงตามคุณหมอ และผู้ช่วยมา จนคลอดสำเร็จ
เมื่อเบบี้อีกมา คุณหมอก็เอามาวางไว้บนตัวเรา คุณพ่อตัดสายสะดือ แล้วสักพักจึงค่อนพาเด็กน้อยทำความสะอาด ปั้มรอยเท้าเป็นที่ระลึก แล้วก็ปล่อย เราสามคนพ่อแม่ลูกให้พักผ่อน
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ก็ย้ายไปห้องพักฟื้น ที่นี่ทุกห้องเป็นห้องเดี่ยวหมด จะมีพยาบาลมาแนะนำตัวที่ดูแลประจำห้อง มีบอร์ดสำหรับให้เขียนว่าแต่ละวันต้องการให้ดูแลเรื่องอะไรเป็นพิเศษ มีพนักงานมาถามว่าอยากทานอะไรในแต่ละวัน มีเจ้าหน้าที่มาขอเอกสารแจ้งเกิด ติดต่อประกันให้ เรายังไม่มีหมอเด็ก เค้าก็หาให้ แล้วก็มีช่างมาถ่ายภาพให้ด้วย คุณหมอประจำตัวก็มสดูเรา เข้ามากอดยินดีกับเรา เราก็แอบปลื้ม เพราะมีกันสองคนกับสามี ใครเข้าห้องมาหาเราเราก็ดีใจแล้ว
เราชอบที่นี่อย่าง คือเค้าดูแลทุกคนเท่ากันหมด และดูแลอย่างดีด้วย แล้วไม่ใช่ดูแลเฉพาะคนไข้ เจ้าหน้าที่เค้าก็ดูแลไม่ให้ทำงานมากเกินไป เลยทำให้บรรยากาศในการมาโรงพยาบาลไม่กดดันเลย ก่อนออกจากโรงพยาบาลเราต้องเอา Car seat มา โดยพยาบาบจะสอนวิธีการใช้ และให้เราอุ้มเด็กน้อยใส่ Car seat กลับบ้าน
แล้วก็มีค่าใช้จ่ายส่วนเกินมา ที่สวัสดิการไม่ครอบคลุมคือตอนเราไปตรวจที่โรงพยาบาลก่อนคลอด 2 ครั้งๆละ 1,000$ ใช้เวลาตรวจ 20 นาที อันนี้ไม่ได้เตรียมใจไว้ เราเลยไปปรึกษาแผนกการเงินที่โรงพยาบาล เพื่อขอส่วนลด หรือถ้าไม่ได้ก็จะขอผ่อน สรุปว่าถ้าจ่ายเลยจ่ายประมาณไม่เกิน 800$ ก็เลยจ่ายไปเลย
เรามาเล่าครั้งแรกนะคะ อาจจะพิมพ์ตกหล่นบ้างต้องขอโทษด้วย เราไม่มีเวลาแก้ อาศัยพิมพ์ตอนเด็กน้อยหลับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่จะต้องมาอเมริกา แล้วไม่มีที่ปรึกษาแบบเรานะคะ จะได้เตรียมตัวล่วงหน้าได้