[หนังโรงเรื่องที่ 201] Kingsman: The Golden Circle - ยกระดับความมันส์ไปอีกขั้น by ตั๋วหนังมันแพง


[หนังโรงเรื่องที่ 201] Kingsman: The Golden Circle - ยกระดับความมันส์ไปอีกขั้น ; (Matthew Vaughn, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง

คะแนนความชอบ : A++ (จากสเกล D-A)

**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ

เรื่องย่อ : เป็นเนื้อเรื่องต่อจากภาคแรก หลังจากที่ "เอ็กซี่" (Taron Egerton) ได้ทำงานให้กับคิงส์แมนมาอย่างต่อเนื่อง ... มาในเที่ยวนี้เขาต้องเจอศัตรูหน้าใหม่เป็นองค์กรณ์ค้ายาระดับชาติที่ชื่อว่า "โกลเด้น เซอเคิล" ซึ่งร้ายขนาดล้วงความลับและถล่มฐานทัพของบรรดาคิงส์แมนจนสิ้นซากหมด ... ลำบากต้องไปขอความช่วยเหลือจากองค์กรลูกพี่ลูกน้องในสหรัฐอเมริกาอย่าง "สเตตส์แมน" ให้มาช่วยภารกิจกอบกู้โลกอีกครั้ง
.
.

สำหรับผู้เขียนแล้วถือว่าเป็นหนังภาคต่อน้อยเรื่องเลยแหละ ที่จะสามารถรักษาของดีๆ จากภาคที่แล้วเอามาต่อยอดให้มันดีขึ้นไปอีกแบบนี้ ซึ่งสำหรับคิงส์แมนภาคนี้ก็ยังครบทุกรสชาติทั้งความฮา ความมันส์ และความเท่เฟี้ยวฟ้าวอันเป็นเอกลักษณ์ให้คนได้จดจำชนิดลืมไม่ลง พูดได้เลยทุกอย่างที่เราเคยหลงรักมันกลับมาขึ้นจออีกครั้งแล้ว!

.

สิ่งแรกที่อยากพูดก็คือ "ความเท่" ของหนังที่เคยทำให้เกิดกระแสคลั่งสูทเมื่อปีก่อนๆมาแล้ว มาในภาคนี้ก็ยังคงความคูลได้เหมือนเดิม แต่ต่างกันตรงที่ว่าเราจะไม่มีพัฒนาการของตัวเอกทั้งเอ็กซี่และแฮร์รี่ให้ได้ติดตามกันแล้ว (เพราะว่ามันขายไปหมดในภาคแรกแล้ว) แต่ความเท่จากสไตล์กำกับภาพของผู้กำกับคนนี้ที่ผนวกกับดนตรีเท่ๆ กีตาร์โซโล่มันๆ ก็ยังไม่ดรอปลงไปเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ฉากลองเทคอันโด่งดังจะไม่ค่อยมีให้เห็นแล้วจำติดตาเท่าภาคแรกก็ตาม แต่ว่าด้วยสไตล์การตัดต่อที่จัดจ้านมันก็ช่วยทดแทนกันได้จนอิ่มหนำเลยแหละ

.

ดังที่กล่าวไว้ข้างบนว่าหนังยังคงความเท่ไว้ได้อย่างเต็มที่ และแน่นอนถ้าพูดถึงคิงส์แมน ก็ต้องพูดถึงฉากแอคชั่นที่โคตรจะโหดและจัดหนักจัดเต็มนี่แหละ คือสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนหลงรักในหนังเรื่องนี้มาตั้งแต่ภาคแรกก็คือ "เขาไม่เหนียม" กับการใส่ความรุนแรงเข้ามาในหนังจริงๆ คือยิงเป็นยิง แตกเป็นแตก หักเป็นหัก เลือดอาบยังไงฉันก็ยังไม่แคร์ คือมันดิบและเถื่อนได้โดยผ่านการนำเสนอเป็นนัยๆ แทน ซึ่งในส่วนนี้ทำให้ฉากแอคชั่นของเรื่องมัน outstanding กว่าหนังเรื่องอื่นมากๆ

.

ในแง่ของความฮา ส่วนตัวรู้สึกว่าภาคนี้อัพความจี้มามากกว่าเดิมเยอะเลย ไม่ว่าจะเป็นมุกตลกหน้าตายอันเป็นเอกลักษณ์มาตั้งแต่ภาคก่อน หรือไม่ว่าจะเป็น "มุกวัฒนธรรม" (cultural jokes) ที่ถูกเล่นอย่างหนักมาก ซึ่งก็ต้องยอมรับเลยว่ามันฮาจริงๆ ตัวผู้เขียนเองก็ขำแทบทุกฉากของเรื่อง (จนเกรงใจคนรอบข้างที่เขาไม่ขำด้วย) ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วขอแนะนำเลยว่าถ้ามีโอกาสได้ไปดูในโรงล่ะก็ให้จับตาดูไว้ให้ดีๆ เพราะมุกมันแทบจะแฝงอยู่ทุกคำพูด ทุกการเคลื่อนไหวของตัวละคร อยู่ที่ว่าคุณจะเก็ตและรับมาได้แค่ไหน ... เอาจริงๆ มันก็มีข้อเสียอยู่นะ คือถ้าคนที่ไม่มีพื้นฐานเรื่องแบบนี้มาก่อนเลยมันก็จะดูธรรมดาไปเลย (เงียบกริบทั้งโรง)  ... นี่ยังไม่พูดถึงการนำเสนอภาพเชิงสัญลักษณ์ (symbolic) อีกนะเนี่ย
.


ส่วนที่ไม่ชอบ (มากๆ) ก็คือวิธีการตีความและปฏิบัติกับตัวละครที่มันดูแปลกสายตาเอามากๆ คือรู้สึกว่าตัวละครเอกทั้งสองตัวมันถูกนำเสนอออกมาในรูปของคนที่เราไม่รู้จักราวกับคนละคน อีกทั้งการเลือกฆ่าตัวละครหลักบางตัวไปก็ไม่ได้มีความสำคัญกับทางพล็อตขนาดนั้น คือต่อให้มันไม่ตายเรื่องก็ไม่เปลี่ยนไปจากนี้ว่างั้นเหอะ ดังนั้นโดยส่วนตัวจึงรู้สึกว่าส่วนของบทหนังในภาคนี้มัน "ชุ่ย" มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งส่งผลให้ความ unique ที่เคยมีมาในภาคแรกมันเสื่อมสภาพไปพอสมควร ... แล้วถ้าจะใช้ Statesman แค่นี้ล่ะก็ ก็ไม่ต้องเสียเวลาปูเนื้อเรื่องมันมาเยอะขนาดนี้ก็ได้มั้ง
.
.

สรุปแล้ว Kingsman: The Golden Circle ก็ยังคงรักษาตำแหน่ง "หนังดูสนุก" ประจำใจของผู้เขียนได้อยู่ดีนะ คือมันมีทุกสิ่งที่เราคาดหวังไว้จริงๆ หนังรู้ว่าจุดเด่นจุดขายของตัวเองคืออะไรและมันก็ใช้ประเด็นนั้นมาทำงานได้เต็มที่ และด้วยลีลาการกำกับที่จัดจ้านก็ยิ่งทำให้หนังยังคง "รสนิยม" อันโดดเด่นไม่มีใครเหมือนได้เป็นอย่างดี แต่ก็เป็นธรรมดาของหนังภาคต่อที่จะมีอาการเป๋จากจุดยืนเดิมของตัวเองไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าสนุกคุ้มค่าตั๋วอยู่ดีครับ

ป.ล.หลังจากนี้เพลงของ John Denver คงจะเอียร์เวิร์มใครอีกหลายๆคนแน่ๆ (หัวเราะ)

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่