แค่เรื่องเล่าของผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ใจเย็นมาก จนมีคนเรียก 'ยัยผู้หญิงหวานเย็น'
ผู้หญิงคนหนึ่งที่อดทนกับทุกเรื่อง ไม่พูดมากเรื่องมากความ
ผู้หญิงที่หัวเราะกับทุกเรื่อง มีความสุขในทุกวัน ในเฟสชอบโพสต์แต่เรื่องขำๆ เพื่อนหลายคนชอบมาขอบคุณที่ทำให้หัวเราะ แค่เข้ามาอ่านเรื่องราวในเฟส
ผู้หญิงที่มีเพื่อนเยอะมาก มากจนเพื่อนต้องนัดล่วงหน้าเดือนหนึ่งเพื่อเจอ เพราะไม่คอยว่างมีนัดตลอด
ผู้หญิงที่ยิ้มตลอดเวลา ยิ้มให้กับทุกอย่าง เป็นมิตรกับทุกคน จนได้ฉายาว่า 'รักทุกคน'
ผู้หญิงที่ไม่เคยเกลียด ไม่เคยโกรธใครเลย
แต่...ทุกอย่างต้องมาเปลี่ยนไป ในวันที่เราตื่นมาพบกับห้องนอนที่เละ ประตูที่พัง พัดลมที่พัง..
เราตื่นมาด้วยความมึนงง จนนึกได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น...ทุกอย่างมันเป็นฝีมือเราเอง
ในตอนนั้นเราไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้อีกแล้ว
ชีวิตที่เคยได้ยินแต่เสียงหัวเราะรอบด้าน กลับได้ยินแต่เสียงร้องไห้ของตัวเอง
ชีวิตที่มีแต่ความสุข โลกมีแต่สีสันกลับต้องเจอกับสีจางๆ ของน้ำตาตัวเอง
เราเริ่มควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เริ่มเหวี่ยงใส่คนรอบข้าง จากที่ไม่เคยจิปาก กลับจิปากตลอดเวลา
จากที่ไม่เคยพูดคำหยาบ คำหยาบคายเริ่มออกมาจากปากจนคนรอบข้างตกใจ
เราพยายามนั่งสมาธิ หาเกมส์เล่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ ไปเที่ยว ไปกินข้าว พยายามทำทุกอย่าง แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
เราเริ่มเก็บตัว ไม่เจอเพื่อนจากที่ต้องเจอตลอด เพราะกลัวจะเหวี่ยงใส่เพื่อน ทำงานกลับบ้านนอน วนอยู่แบบนี้มาเรื่อยๆ
เริ่มเพ้อเจ้อในเฟสจากปรกติไม่มี จนในที่สุดต้องปิดเฟสกับไอจีไป เพราะคิดว่ามันคงจะดีขึ้น
แต่..เราคิดผิด!
เราเพิ่งรู้สึกตัวว่าคิดผิดที่ปิดเฟส ที่ไม่เจอเพื่อน ก็ตอนที่อาบน้ำแล้วแสบผิว
เราทำร้ายร่างกายตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว..
พอรู้ตัวอีกทีคือเห็นรอยซ้ำและรอยเล็บตามร่างกายตัวเอง
เรารู้สึกอ่อนแอลงทุกวัน ในหัวคิดแค่อยากตาย รู้สึกโดดเดี่ยว เหมือนโลกใบนี้มีตัวคนเดียว มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง ส่องกระจกก็เห็นแต่น้ำตาที่ไหลไม่หยุด...ร้องไห้โดยที่ไม่มีเสียงมีแค่น้ำที่ไหลออกจากตา สมองขาดการรับรู้
ตอนนั้นรับรู้แค่เพียงว่าต้องไปทำงาน ไปไหนก็ได้ ที่ไม่ต้องอยู่บ้าน การที่ร่างกายตัวเองอยู่ในบ้านคือการสร้างรอยบาดแผลให้กับตัวเองทุกวินาที
ยากยิ่งกว่าอะไรทุกสิ่งคือการไปทำงาน การไปทำงานของเราคือการทำร้ายตัวเองโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว เรายืนทำงานอยู่ร่างกายก็สั่น มือสั่นจนต้องเอามืออีกข้างมาจับไว้ อยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหลออกมา
การอยู่บนรถเมล์คือการทำร้ายตัวเองอีกรอบ เพราะแค่ได้ยินเสียงหัวเราะของคนอื่น ใจเรามันก็เบา ความรู้สึกตอนนั้นคืออยากกระโดดลงรถเมล์ให้ตายๆ ไป
บ้านเป็นสถานที่อันดับสุดท้ายที่เราอยากกลับ..ที่มีคนเคยบอกไว้ ว่าที่ที่ปลอดภัยที่สุดคือบ้าน แต่สำหรับเราที่ที่ทำร้ายจิตใจเรามากที่สุด นั้นคือบ้าน..
ในที่สุดสติเราเริ่มขาด สติเริ่มมาฟื้นอีกทีตอนได้ยินเสียงน้องสาวร้องไห้สะอึกสะอื้น ร้องจนเสียงน้องแหบไปหมด ขอร้องให้เราอยู่ อย่าทิ้งน้องไป เรามองไปที่น้องสาวที่กำลังร้องไห้ไม่หยุด และมองไปที่กระเป๋าเสื้อผ้าที่เรากำลังเก็บแบบยัดๆใส่
ทั้งหมดที่เราทำตอนนั้น เพราะเราไม่สามารถควบคุมสมองและร่างกายตัวเองได้อีกแล้ว..
ตอนนั้นเรากลัว กลัวว่าตัวเองจะควบคุมตัวเองไม่ได้จนต้องทำร้ายน้อง เรากลัวว่าสักวันจะตื่นมาแล้วพบรอยซ้ำตามร่างกายน้องเหมือนร่างกาย
เราตัดสินใจเปิดเฟสอีกครั้ง และพบข้อความ รูปต่างๆ ที่เพื่อนๆ ส่งมาให้กำลังใจ
ในตอนนั้นความรู้สึกที่โดดเดี่ยว รู้สึกตัวคนเดียวในโลกสีจางของน้ำตาก็เริ่มชัดเจนขึ้น
เรากดไปดูรูปที่เพื่อนทำเป็นอัลบั้มให้กำลังเรา
น้ำตาเริ่มไหลอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันต่างจากทุกที่ มันเป็นน้ำตาที่รู้สึกสุขใจ น้ำตาที่มาพร้อมรอยยิ้ม...อีกครั้ง
รู้สึกขอบคุณทุกมิตรภาพ
ขอบคุณทุกความคิดถึง
ขอบคุณทุกข้อความที่ยังส่งมา ถึงแม้เราไม่เคยตอบเลย
ขอบคุณเพื่อนที่ยอมขาดงาน ขาดรายได้ เพราะเป็นห่วงเรามาก
ขอบคุณน้ำตาของเพื่อน ที่แค่เจอหน้ากันอีกครั้งก็ร้องไห้
ขอบคุณคำว่าเพื่อนรักที่เป็นสิ่งเยียวยาใจเราให้มีแรงสู้ต่อจนถึงวันนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขามอบให้เรามันมีค่ามากจนไม่มีอะไรมาวัดได้
รัก
อะไร..คือความหมายของคำว่า 'ครอบครัว' ?
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ใจเย็นมาก จนมีคนเรียก 'ยัยผู้หญิงหวานเย็น'
ผู้หญิงคนหนึ่งที่อดทนกับทุกเรื่อง ไม่พูดมากเรื่องมากความ
ผู้หญิงที่หัวเราะกับทุกเรื่อง มีความสุขในทุกวัน ในเฟสชอบโพสต์แต่เรื่องขำๆ เพื่อนหลายคนชอบมาขอบคุณที่ทำให้หัวเราะ แค่เข้ามาอ่านเรื่องราวในเฟส
ผู้หญิงที่มีเพื่อนเยอะมาก มากจนเพื่อนต้องนัดล่วงหน้าเดือนหนึ่งเพื่อเจอ เพราะไม่คอยว่างมีนัดตลอด
ผู้หญิงที่ยิ้มตลอดเวลา ยิ้มให้กับทุกอย่าง เป็นมิตรกับทุกคน จนได้ฉายาว่า 'รักทุกคน'
ผู้หญิงที่ไม่เคยเกลียด ไม่เคยโกรธใครเลย
แต่...ทุกอย่างต้องมาเปลี่ยนไป ในวันที่เราตื่นมาพบกับห้องนอนที่เละ ประตูที่พัง พัดลมที่พัง..
เราตื่นมาด้วยความมึนงง จนนึกได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น...ทุกอย่างมันเป็นฝีมือเราเอง
ในตอนนั้นเราไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้อีกแล้ว
ชีวิตที่เคยได้ยินแต่เสียงหัวเราะรอบด้าน กลับได้ยินแต่เสียงร้องไห้ของตัวเอง
ชีวิตที่มีแต่ความสุข โลกมีแต่สีสันกลับต้องเจอกับสีจางๆ ของน้ำตาตัวเอง
เราเริ่มควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เริ่มเหวี่ยงใส่คนรอบข้าง จากที่ไม่เคยจิปาก กลับจิปากตลอดเวลา
จากที่ไม่เคยพูดคำหยาบ คำหยาบคายเริ่มออกมาจากปากจนคนรอบข้างตกใจ
เราพยายามนั่งสมาธิ หาเกมส์เล่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ ไปเที่ยว ไปกินข้าว พยายามทำทุกอย่าง แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
เราเริ่มเก็บตัว ไม่เจอเพื่อนจากที่ต้องเจอตลอด เพราะกลัวจะเหวี่ยงใส่เพื่อน ทำงานกลับบ้านนอน วนอยู่แบบนี้มาเรื่อยๆ
เริ่มเพ้อเจ้อในเฟสจากปรกติไม่มี จนในที่สุดต้องปิดเฟสกับไอจีไป เพราะคิดว่ามันคงจะดีขึ้น
แต่..เราคิดผิด!
เราเพิ่งรู้สึกตัวว่าคิดผิดที่ปิดเฟส ที่ไม่เจอเพื่อน ก็ตอนที่อาบน้ำแล้วแสบผิว
เราทำร้ายร่างกายตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว..
พอรู้ตัวอีกทีคือเห็นรอยซ้ำและรอยเล็บตามร่างกายตัวเอง
เรารู้สึกอ่อนแอลงทุกวัน ในหัวคิดแค่อยากตาย รู้สึกโดดเดี่ยว เหมือนโลกใบนี้มีตัวคนเดียว มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง ส่องกระจกก็เห็นแต่น้ำตาที่ไหลไม่หยุด...ร้องไห้โดยที่ไม่มีเสียงมีแค่น้ำที่ไหลออกจากตา สมองขาดการรับรู้
ตอนนั้นรับรู้แค่เพียงว่าต้องไปทำงาน ไปไหนก็ได้ ที่ไม่ต้องอยู่บ้าน การที่ร่างกายตัวเองอยู่ในบ้านคือการสร้างรอยบาดแผลให้กับตัวเองทุกวินาที
ยากยิ่งกว่าอะไรทุกสิ่งคือการไปทำงาน การไปทำงานของเราคือการทำร้ายตัวเองโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว เรายืนทำงานอยู่ร่างกายก็สั่น มือสั่นจนต้องเอามืออีกข้างมาจับไว้ อยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหลออกมา
การอยู่บนรถเมล์คือการทำร้ายตัวเองอีกรอบ เพราะแค่ได้ยินเสียงหัวเราะของคนอื่น ใจเรามันก็เบา ความรู้สึกตอนนั้นคืออยากกระโดดลงรถเมล์ให้ตายๆ ไป
บ้านเป็นสถานที่อันดับสุดท้ายที่เราอยากกลับ..ที่มีคนเคยบอกไว้ ว่าที่ที่ปลอดภัยที่สุดคือบ้าน แต่สำหรับเราที่ที่ทำร้ายจิตใจเรามากที่สุด นั้นคือบ้าน..
ในที่สุดสติเราเริ่มขาด สติเริ่มมาฟื้นอีกทีตอนได้ยินเสียงน้องสาวร้องไห้สะอึกสะอื้น ร้องจนเสียงน้องแหบไปหมด ขอร้องให้เราอยู่ อย่าทิ้งน้องไป เรามองไปที่น้องสาวที่กำลังร้องไห้ไม่หยุด และมองไปที่กระเป๋าเสื้อผ้าที่เรากำลังเก็บแบบยัดๆใส่
ทั้งหมดที่เราทำตอนนั้น เพราะเราไม่สามารถควบคุมสมองและร่างกายตัวเองได้อีกแล้ว..
ตอนนั้นเรากลัว กลัวว่าตัวเองจะควบคุมตัวเองไม่ได้จนต้องทำร้ายน้อง เรากลัวว่าสักวันจะตื่นมาแล้วพบรอยซ้ำตามร่างกายน้องเหมือนร่างกาย
เราตัดสินใจเปิดเฟสอีกครั้ง และพบข้อความ รูปต่างๆ ที่เพื่อนๆ ส่งมาให้กำลังใจ
ในตอนนั้นความรู้สึกที่โดดเดี่ยว รู้สึกตัวคนเดียวในโลกสีจางของน้ำตาก็เริ่มชัดเจนขึ้น
เรากดไปดูรูปที่เพื่อนทำเป็นอัลบั้มให้กำลังเรา
น้ำตาเริ่มไหลอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันต่างจากทุกที่ มันเป็นน้ำตาที่รู้สึกสุขใจ น้ำตาที่มาพร้อมรอยยิ้ม...อีกครั้ง
รู้สึกขอบคุณทุกมิตรภาพ
ขอบคุณทุกความคิดถึง
ขอบคุณทุกข้อความที่ยังส่งมา ถึงแม้เราไม่เคยตอบเลย
ขอบคุณเพื่อนที่ยอมขาดงาน ขาดรายได้ เพราะเป็นห่วงเรามาก
ขอบคุณน้ำตาของเพื่อน ที่แค่เจอหน้ากันอีกครั้งก็ร้องไห้
ขอบคุณคำว่าเพื่อนรักที่เป็นสิ่งเยียวยาใจเราให้มีแรงสู้ต่อจนถึงวันนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขามอบให้เรามันมีค่ามากจนไม่มีอะไรมาวัดได้
รัก