ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนว่า ผมอยู่ในวงการฟุตบอลเด็กมาพอควร เคยทำอะคาเดมี่ (เปิดสอนฟรี) สอนเด็กมาเป็นร้อยคน และ มีลูกชาย 3คน เป็นนักฟุตบอลเล่นแบบจริงจัง (แต่ไม่ให้เล่นเป็นอาชีพ) เห็นเด็กที่ฝึกซ้อมแบบจริงจังมามากมาย มีทั้งประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ เห็นชะตาชีวิตเด็กในโครงการนักฟุตบอลช้างเผือกมาก็มากมาย และวิเคราะห์จนรู้สาเหตุว่า ทำไมประเทศเรา จึงยากที่จะประสบความสำเร็จถ้าอยากไปฟุตบอลโลก ตัวผมเองก็เคยเป็นนักบอลช้างเผือก เคยประสบกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
เส้นทางของนักฟุตบอลเยาวชนในไทย ในยุคนี้ จะเป็นแบบนี้ครับ เด็กอายุ 8-12 ปี จะฝึกตามอะคาเดมี่เอกชน พออายุ 13-18 ปี ก็จะคัดตัวเข้าไปอยู่ตามอะคาเดมี่ของสโมสร ตามโรงเรียนชั้นนำ (ช้างเผือก) แล้วค่อยก้าวขึ้นสู่ระบบอาชีพ ขึ้นชุดใหญ่ ซึ่งจริงๆมันดีกว่าสมัยก่อนมาก สมัยก่อนคือเด็กตามต่างจังหวัด เล่นเก่งแบบตามมีตามเกิด แล้วก็หิ้วสตั้ดเข้ามาคัดบอลใน กทม. เด็กเมืองไม่เล่นฟุตบอล แต่ปัจจุบันมันกลับกัน เด็กเมืองที่พ่อแม่ผลักดันเท่านั้นที่จะไปได้ไกลกว่า สมัยนี้ถ้าพ่อแม่ไม่ผลักดันเรื่องฟุตบอล โอกาสมันยากมาก จริงๆมันดีกว่าสมัยก่อนเยอะ แต่ดีไม่พอที่เราจะก้าวขึ้นเป็นอันดับต้นๆในเอเชีย
เรื่องฟุตบอลเยาวชน ที่ผมบอกว่า ประเทศเรา ยากที่จะประสบความสำเร็จ มี 2 เรื่องใหญ่
1. อะคาเดมี่ในไทย ไม่ได้ฝึกเด็กให้ใช้สมอง ใช้จินตนาการ ใช้ความคิด กลับเน้นสั่งให้ทำตาม
2. สโมสรเยาวชนและทีมฟุตบอลโรงเรียนทั้งหลาย เขาไม่ได้พัฒนาเด็ก แต่เอาไปใช้งาน
ผลของทั้ง 2 ข้อที่ว่ามา คือ เด็กเหล่านี้ เมื่อโตขึ้นไปเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เขาเลยกลายเป็นมะม่วงบ่มสุก เพราะ โค้ชไทยไม่เน้นเรื่องความคิด เน้นให้ทำตามคำสั่งตลอดเวลา ไม่กล้าลองผิดลองถูก เด็กก็กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ความคิดไม่แตกฉาน คิดช้า ไม่มีไหวพริบ และ พอเข้าสู่สโมสรเยาวชน ก็ไม่ได้ถูกพัฒนาทักษะความสามารถตั้งแต่วัยเด็กในแบบที่ถูกหลัก เพราะสโมสรและโรงเรียนส่วนใหญ่ เน้นฝึก เน้นซ้อมแต่ระบบทีมตั้งแต่อายุเล็กๆ เน้นเล่นบอล 2 จังหวะ ไม่ให้เล่นด้วยความสามารถเฉพาะตัว ทักษะความสามารถเลยหยุดตั้งแต่ในวัยนั้น เด็กไทย เป็นแบบนี้เกือบทั้งประเทศ หลักสูตรเดียวกันหมด พอเป็นทีมชาติรุ่นอายุมากขึ้น เราจึงเห็นว่า เราสู้พวกญี่ปุ่น หรือยุโรปไม่ได้เลย เพราะ เราคิดไม่ทันเขา ให้ทักษะดีแค่ไหน แต่เขาเล่นฉลาดกว่าเรา
พูดแยกตามหัวข้อเรื่อง...
1. เด็กไทย ไม่ได้ถูกฝึกให้ใช้สมอง จินตนาการ ความคิด
จากที่เห็นตัวอย่างมามากมาย จนค้นพบเคล็ดลับอย่างนึงของ นักฟุตบอลเยาวชน ว่าทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จ ที่คนไทย โค้ชไทย พ่อแม่เด็ก มองข้ามจุดสำคัญตรงนี้ไป แต่ต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่น เขาให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก มากกว่าทักษะฝีเท้า
จุดสำคัญนั่นคือ ความฉลาด ความคิด และ จินตนาการ ของตัวเด็กครับ....ทักษะ ฝีเท้า เป็นเรื่องสำคัญรองลงไป....เพราะเด็ก ถ้ามีความฉลาด มีความคิด เป็นตัวนำมาก่อน เขาจะเก่งขึ้นไวมาก สอนง่ายมาก
แต่คนไทย โค้ชไทยตามอะคาเดมี่ส่วนใหญ่ที่สอนเด็กเล็กๆ ให้ความสำคัญกับทักษะอย่างเดียว เด็กๆเกือบทุกอะคาเดมี่ในประเทศไทย ฝึกซ้อมกันแบบเอาเป็นเอาตาย เป็นแบบสักแต่ว่าทำ แบบเดียวกับการศึกษาแบบไทยๆ ที่สอนให้เด็กเอาแต่ท่องจำ ให้เด็กฟังแต่คำสั่ง แต่ไม่ใส่ใจให้เด็กคิดเองเป็น
เด็กไทยเกือบทุกที่ในประเทศ ซ้อมหนักจนร่างกายไม่ได้พัก แคระแกร็น และไม่สนเรื่องอาหารการกิน ไม่สนเรื่องการพัฒนาความคิด ซ้อมและแข่งแบบนักเตะรีโมท คือคิดเองไม่เป็น เพราะเขาถูกฝึก ให้ต้องฟังเสียงโค้ช ที่ตะโกนสั่งข้างสนามตลอด สั่งแทบจะตลอดเวลา จนสมองเขาเคยชิน
เวลาที่ไปแข่งขัน เด็กไม่เคยได้ใช้สมาธิ ไม่เคยได้ใช้สมอง ไม่กล้าใช้จินตนาการของตัวเอง ไม่กล้าลองผิดลองถูก ไม่กล้าใช้ความสามารถเฉพาะตัว ไม่กล้าเลี้ยงกินตัวคู่แข่ง เพราะถ้าพลาด จะถูกโค้ชด่าอย่างหนัก เพราะโค้ชไทย เขาเข้ามาทำหน้าที่เพื่อผลงาน แต่ไม่ใช่เพื่อการพัฒนาเด็กไปสู่อนาคต โค้ชไทยจึงเน้นสอนแต่ให้เล่นเป็นระบบ เล่นตามคำสั่ง เพื่อหวังผลการแข่งขัน.......
การเล่นเป็นระบบ มันสำหรับฟุตบอลผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็ก มันต่างกัน เขาต้องหัดใช้ความสามารถที่ออกมาจากจินตนาการ มาจากความคิด การตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาที กล้าลองผิดลองถูก แล้วค่อยไปสอนเรื่องระบบลึกๆทีหลังในวัยที่สมควร
ผมเคยเห็นเด็กอะคาเดมี่ไทย แข่งกับเด็กนานาชาติ ในทีมนานาชาติมีทั้งเด็กยุโรป ญี่ปุ่น เด็กไทยทักษะดีกว่ามาก การจับบอล แปบอล เป๊ะๆมาก ผิดกับเด็กต่างชาติ สังเกตุดูหลายๆคนน่าจะฝึกเล่นบอลมาไม่นาน จับบอลไม่นิ่ง ท่าทางลักษณะการเล่นแตกต่างกับเด็กไทย แต่เล่นฉลาดมาก ทุกครั้งที่พวกเขาได้บอล เราจะเดาไม่ถูกว่าเขาจะทำอะไรต่อ กล้าเลี้ยงกินตัว มีความมุ่งมั่น แทบไม่ได้ยินเสียงโค้ชฝรั่งสั่งเกมส์ ทรงบอลทั้งทีมดูไม่สวยงาม ผิดกับเด็กไทย ที่พอเขาได้บอล เราจะเดาถูกว่าเขาจะทำอะไรต่อ ทีมเด็กไทย ทรงบอลดูสวยงาม จับ 1 2 แล้วส่ง เน้นเคาะบอล เสียงโค้ชไทยตะโกนลั่นสนาม เด็กไทยเล่นไปหันมองโค้ชไป ไม่มีใครกล้าครองบอล ไม่มีใครกล้าเลี้ยงกินตัว ผลออกมาคือ เด็กไทยแพ้เละเทะ......เราแพ้ความคิด ไม่ได้แพ้ทักษะ
2. สโมสรเยาวชนและทีมฟุตบอลโรงเรียน ทั้งหลาย เขาไม่ได้พัฒนา แต่เอาไปใช้งาน
มีสิ่งนึงที่พ่อแม่ไม่รู้ คือ อะคาเดมี่สโมสรฟุตบอลของไทยเกือบทุกที่ รวมถึง ทีมฟุตบอลโรงเรียนชั้นนำดังๆทั้งหลาย เมื่อลูกเข้าไปเป็นนักฟุตบอลเยาวชนแล้ว พ่อแม่จะดีใจ มีความหวังว่าลูกจะต้องมีอนาคตด้านฟุตบอล สโมสรจะต้องสร้างเขาให้เก่งขึ้น เมื่ออยู่ในทีมชั้นนำพวกนี้.......แต่ในความจริง คือ เขาเอาไปใช้งานเท่านั้น ใช้งานเพื่อผลการแข่งขัน เพื่อชื่อเสียงของสโมสร ของโรงเรียน เพื่อผลงานของตัวโค้ชเอง
เขาไม่ได้เอาไปพัฒนา ไม่ได้เอาไปสร้าง ไม่ได้เอาไปแก้จุดด้อย เสริมจุดเด่นของแต่ละคน
เด็กบางคนที่เก่งขึ้น เขาเก่งด้วยตัวเขาเอง ด้วยพรสวรรค์ แต่อีกเกือบทั้งทีม จะถูกให้ออกในทุกๆปี และคัดเด็กฝีเท้าดีๆเข้ามาใหม่ เป็นแบบนี้ทุกปี สงสัยมั้ยว่า ในเมื่อคัดแต่เด็กเก่งๆเข้าไปแล้ว เขาเก่งกว่าคนอื่นจากอีกหลายพันคน คัดเพชรเข้าไป ทำไม่ไม่สามารถทำให้เป็นยอดเพชร ทำไมไม่สามารถพัฒนาเขาต่อไปได้ เพราะสโมสรและโรงเรียนพวกนี้ เขาไม่ได้พัฒนาเด็ก แต่เขาสร้างระบบทีม เพื่อผลงานชื่อเสียงเท่านั้น
พ่อแม่เด็กส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจความแตกต่าง ระหว่าง การฝึกแบบระบบทีม กับ การฝึกเพื่อพัฒนาความสามารถส่วนบุคคล ว่ามันต่างกันอย่างไร
การสร้างนักฟุตบอลเยาวชน ต้องพัฒนาที่ความสามารถเฉพาะตัว ฝึกทั้งความคิด มันสมอง และทักษะ ให้มากที่สุด.......แต่เยาวชนไทยกลับถูกฝึกให้เล่นเน้นระบบทีมก่อนวัยอันควร ชิ่งบอล 1 2 ใครกล้าเลี้ยงบอล ถ้าพลาดจะถูกด่าอย่างหนัก ระบบการซ้อมของทีมเยาวชนตามสโมสร ตามโรงเรียนส่วนใหญ่ เลยเป็นการซ้อมแบบขึ้นบอลซะเยอะ แทนที่จะฝึกครองบอล ฝึกความสามารถเฉพาะตัว ในขณะเดียวกัน ที่วัยอายุเดียวกัน ต่างชาติเขาฝึกเน้นความสามารถเฉพาะตัวเป็นหลัก และโค้ชเน้นให้เด็กคิดเอง.
เพราะฉะนั้น ทรัพยากรที่เราได้ไปใช้ในทีมชาติ ก็เลยเป็นแค่มะม่วงบ่มสุก.
ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ มันเกินความสามารถของ เอคโคโน่ (เพียงลำพัง) มันยากที่จะสำเร็จ ถ้าเราจะพึ่งให้เอคโคโน่ สร้างระบบเพียงลำพัง
แต่ทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ต้องคิดและเข้าใจเรื่องการพัฒนาเด็ก ไปในแนวทางเดียวกัน ทุกส่วนหมายถึง ตั้งแต่ระดับ พ่อแม่ อะคาเดมี่เอกชน อะคาเดมี่สโมสร โรงเรียนฟุตบอล และตัวเด็กเอง
ถ้าทุกส่วนหวังผลงานเพื่อตัวเองอย่างเดียว มันก็จะทำลายระบบการสร้างและพัฒนาเด็กไปในเวลาเดียวกัน
...ตราบใดที่ประเทศเรายังพัฒนาเด็กในระบบแบบนี้ เราไม่มีทางได้ไปบอลโลก เราไม่มีทางตามพวกญี่ปุ่น เกาหลี ได้ทันแน่นอน
ผู้เขียน Mr.Warich (ppantip.com)
เพจ Academy Thailand
https://www.facebook.com/Academylink.co
เว็บไซต์
https://www.academylink.co
ถ้าเราไม่เปลี่ยนวิธีการสร้างนักฟุตบอลเยาวชน ประเทศไทย จะไม่มีวันได้ไปบอลโลก
เส้นทางของนักฟุตบอลเยาวชนในไทย ในยุคนี้ จะเป็นแบบนี้ครับ เด็กอายุ 8-12 ปี จะฝึกตามอะคาเดมี่เอกชน พออายุ 13-18 ปี ก็จะคัดตัวเข้าไปอยู่ตามอะคาเดมี่ของสโมสร ตามโรงเรียนชั้นนำ (ช้างเผือก) แล้วค่อยก้าวขึ้นสู่ระบบอาชีพ ขึ้นชุดใหญ่ ซึ่งจริงๆมันดีกว่าสมัยก่อนมาก สมัยก่อนคือเด็กตามต่างจังหวัด เล่นเก่งแบบตามมีตามเกิด แล้วก็หิ้วสตั้ดเข้ามาคัดบอลใน กทม. เด็กเมืองไม่เล่นฟุตบอล แต่ปัจจุบันมันกลับกัน เด็กเมืองที่พ่อแม่ผลักดันเท่านั้นที่จะไปได้ไกลกว่า สมัยนี้ถ้าพ่อแม่ไม่ผลักดันเรื่องฟุตบอล โอกาสมันยากมาก จริงๆมันดีกว่าสมัยก่อนเยอะ แต่ดีไม่พอที่เราจะก้าวขึ้นเป็นอันดับต้นๆในเอเชีย
เรื่องฟุตบอลเยาวชน ที่ผมบอกว่า ประเทศเรา ยากที่จะประสบความสำเร็จ มี 2 เรื่องใหญ่
1. อะคาเดมี่ในไทย ไม่ได้ฝึกเด็กให้ใช้สมอง ใช้จินตนาการ ใช้ความคิด กลับเน้นสั่งให้ทำตาม
2. สโมสรเยาวชนและทีมฟุตบอลโรงเรียนทั้งหลาย เขาไม่ได้พัฒนาเด็ก แต่เอาไปใช้งาน
ผลของทั้ง 2 ข้อที่ว่ามา คือ เด็กเหล่านี้ เมื่อโตขึ้นไปเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เขาเลยกลายเป็นมะม่วงบ่มสุก เพราะ โค้ชไทยไม่เน้นเรื่องความคิด เน้นให้ทำตามคำสั่งตลอดเวลา ไม่กล้าลองผิดลองถูก เด็กก็กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ความคิดไม่แตกฉาน คิดช้า ไม่มีไหวพริบ และ พอเข้าสู่สโมสรเยาวชน ก็ไม่ได้ถูกพัฒนาทักษะความสามารถตั้งแต่วัยเด็กในแบบที่ถูกหลัก เพราะสโมสรและโรงเรียนส่วนใหญ่ เน้นฝึก เน้นซ้อมแต่ระบบทีมตั้งแต่อายุเล็กๆ เน้นเล่นบอล 2 จังหวะ ไม่ให้เล่นด้วยความสามารถเฉพาะตัว ทักษะความสามารถเลยหยุดตั้งแต่ในวัยนั้น เด็กไทย เป็นแบบนี้เกือบทั้งประเทศ หลักสูตรเดียวกันหมด พอเป็นทีมชาติรุ่นอายุมากขึ้น เราจึงเห็นว่า เราสู้พวกญี่ปุ่น หรือยุโรปไม่ได้เลย เพราะ เราคิดไม่ทันเขา ให้ทักษะดีแค่ไหน แต่เขาเล่นฉลาดกว่าเรา
พูดแยกตามหัวข้อเรื่อง...
1. เด็กไทย ไม่ได้ถูกฝึกให้ใช้สมอง จินตนาการ ความคิด
จากที่เห็นตัวอย่างมามากมาย จนค้นพบเคล็ดลับอย่างนึงของ นักฟุตบอลเยาวชน ว่าทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จ ที่คนไทย โค้ชไทย พ่อแม่เด็ก มองข้ามจุดสำคัญตรงนี้ไป แต่ต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่น เขาให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก มากกว่าทักษะฝีเท้า
จุดสำคัญนั่นคือ ความฉลาด ความคิด และ จินตนาการ ของตัวเด็กครับ....ทักษะ ฝีเท้า เป็นเรื่องสำคัญรองลงไป....เพราะเด็ก ถ้ามีความฉลาด มีความคิด เป็นตัวนำมาก่อน เขาจะเก่งขึ้นไวมาก สอนง่ายมาก
แต่คนไทย โค้ชไทยตามอะคาเดมี่ส่วนใหญ่ที่สอนเด็กเล็กๆ ให้ความสำคัญกับทักษะอย่างเดียว เด็กๆเกือบทุกอะคาเดมี่ในประเทศไทย ฝึกซ้อมกันแบบเอาเป็นเอาตาย เป็นแบบสักแต่ว่าทำ แบบเดียวกับการศึกษาแบบไทยๆ ที่สอนให้เด็กเอาแต่ท่องจำ ให้เด็กฟังแต่คำสั่ง แต่ไม่ใส่ใจให้เด็กคิดเองเป็น
เด็กไทยเกือบทุกที่ในประเทศ ซ้อมหนักจนร่างกายไม่ได้พัก แคระแกร็น และไม่สนเรื่องอาหารการกิน ไม่สนเรื่องการพัฒนาความคิด ซ้อมและแข่งแบบนักเตะรีโมท คือคิดเองไม่เป็น เพราะเขาถูกฝึก ให้ต้องฟังเสียงโค้ช ที่ตะโกนสั่งข้างสนามตลอด สั่งแทบจะตลอดเวลา จนสมองเขาเคยชิน
เวลาที่ไปแข่งขัน เด็กไม่เคยได้ใช้สมาธิ ไม่เคยได้ใช้สมอง ไม่กล้าใช้จินตนาการของตัวเอง ไม่กล้าลองผิดลองถูก ไม่กล้าใช้ความสามารถเฉพาะตัว ไม่กล้าเลี้ยงกินตัวคู่แข่ง เพราะถ้าพลาด จะถูกโค้ชด่าอย่างหนัก เพราะโค้ชไทย เขาเข้ามาทำหน้าที่เพื่อผลงาน แต่ไม่ใช่เพื่อการพัฒนาเด็กไปสู่อนาคต โค้ชไทยจึงเน้นสอนแต่ให้เล่นเป็นระบบ เล่นตามคำสั่ง เพื่อหวังผลการแข่งขัน.......
การเล่นเป็นระบบ มันสำหรับฟุตบอลผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็ก มันต่างกัน เขาต้องหัดใช้ความสามารถที่ออกมาจากจินตนาการ มาจากความคิด การตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาที กล้าลองผิดลองถูก แล้วค่อยไปสอนเรื่องระบบลึกๆทีหลังในวัยที่สมควร
ผมเคยเห็นเด็กอะคาเดมี่ไทย แข่งกับเด็กนานาชาติ ในทีมนานาชาติมีทั้งเด็กยุโรป ญี่ปุ่น เด็กไทยทักษะดีกว่ามาก การจับบอล แปบอล เป๊ะๆมาก ผิดกับเด็กต่างชาติ สังเกตุดูหลายๆคนน่าจะฝึกเล่นบอลมาไม่นาน จับบอลไม่นิ่ง ท่าทางลักษณะการเล่นแตกต่างกับเด็กไทย แต่เล่นฉลาดมาก ทุกครั้งที่พวกเขาได้บอล เราจะเดาไม่ถูกว่าเขาจะทำอะไรต่อ กล้าเลี้ยงกินตัว มีความมุ่งมั่น แทบไม่ได้ยินเสียงโค้ชฝรั่งสั่งเกมส์ ทรงบอลทั้งทีมดูไม่สวยงาม ผิดกับเด็กไทย ที่พอเขาได้บอล เราจะเดาถูกว่าเขาจะทำอะไรต่อ ทีมเด็กไทย ทรงบอลดูสวยงาม จับ 1 2 แล้วส่ง เน้นเคาะบอล เสียงโค้ชไทยตะโกนลั่นสนาม เด็กไทยเล่นไปหันมองโค้ชไป ไม่มีใครกล้าครองบอล ไม่มีใครกล้าเลี้ยงกินตัว ผลออกมาคือ เด็กไทยแพ้เละเทะ......เราแพ้ความคิด ไม่ได้แพ้ทักษะ
2. สโมสรเยาวชนและทีมฟุตบอลโรงเรียน ทั้งหลาย เขาไม่ได้พัฒนา แต่เอาไปใช้งาน
มีสิ่งนึงที่พ่อแม่ไม่รู้ คือ อะคาเดมี่สโมสรฟุตบอลของไทยเกือบทุกที่ รวมถึง ทีมฟุตบอลโรงเรียนชั้นนำดังๆทั้งหลาย เมื่อลูกเข้าไปเป็นนักฟุตบอลเยาวชนแล้ว พ่อแม่จะดีใจ มีความหวังว่าลูกจะต้องมีอนาคตด้านฟุตบอล สโมสรจะต้องสร้างเขาให้เก่งขึ้น เมื่ออยู่ในทีมชั้นนำพวกนี้.......แต่ในความจริง คือ เขาเอาไปใช้งานเท่านั้น ใช้งานเพื่อผลการแข่งขัน เพื่อชื่อเสียงของสโมสร ของโรงเรียน เพื่อผลงานของตัวโค้ชเอง
เขาไม่ได้เอาไปพัฒนา ไม่ได้เอาไปสร้าง ไม่ได้เอาไปแก้จุดด้อย เสริมจุดเด่นของแต่ละคน
เด็กบางคนที่เก่งขึ้น เขาเก่งด้วยตัวเขาเอง ด้วยพรสวรรค์ แต่อีกเกือบทั้งทีม จะถูกให้ออกในทุกๆปี และคัดเด็กฝีเท้าดีๆเข้ามาใหม่ เป็นแบบนี้ทุกปี สงสัยมั้ยว่า ในเมื่อคัดแต่เด็กเก่งๆเข้าไปแล้ว เขาเก่งกว่าคนอื่นจากอีกหลายพันคน คัดเพชรเข้าไป ทำไม่ไม่สามารถทำให้เป็นยอดเพชร ทำไมไม่สามารถพัฒนาเขาต่อไปได้ เพราะสโมสรและโรงเรียนพวกนี้ เขาไม่ได้พัฒนาเด็ก แต่เขาสร้างระบบทีม เพื่อผลงานชื่อเสียงเท่านั้น
พ่อแม่เด็กส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจความแตกต่าง ระหว่าง การฝึกแบบระบบทีม กับ การฝึกเพื่อพัฒนาความสามารถส่วนบุคคล ว่ามันต่างกันอย่างไร
การสร้างนักฟุตบอลเยาวชน ต้องพัฒนาที่ความสามารถเฉพาะตัว ฝึกทั้งความคิด มันสมอง และทักษะ ให้มากที่สุด.......แต่เยาวชนไทยกลับถูกฝึกให้เล่นเน้นระบบทีมก่อนวัยอันควร ชิ่งบอล 1 2 ใครกล้าเลี้ยงบอล ถ้าพลาดจะถูกด่าอย่างหนัก ระบบการซ้อมของทีมเยาวชนตามสโมสร ตามโรงเรียนส่วนใหญ่ เลยเป็นการซ้อมแบบขึ้นบอลซะเยอะ แทนที่จะฝึกครองบอล ฝึกความสามารถเฉพาะตัว ในขณะเดียวกัน ที่วัยอายุเดียวกัน ต่างชาติเขาฝึกเน้นความสามารถเฉพาะตัวเป็นหลัก และโค้ชเน้นให้เด็กคิดเอง.
เพราะฉะนั้น ทรัพยากรที่เราได้ไปใช้ในทีมชาติ ก็เลยเป็นแค่มะม่วงบ่มสุก.
ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ มันเกินความสามารถของ เอคโคโน่ (เพียงลำพัง) มันยากที่จะสำเร็จ ถ้าเราจะพึ่งให้เอคโคโน่ สร้างระบบเพียงลำพัง
แต่ทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ต้องคิดและเข้าใจเรื่องการพัฒนาเด็ก ไปในแนวทางเดียวกัน ทุกส่วนหมายถึง ตั้งแต่ระดับ พ่อแม่ อะคาเดมี่เอกชน อะคาเดมี่สโมสร โรงเรียนฟุตบอล และตัวเด็กเอง
ถ้าทุกส่วนหวังผลงานเพื่อตัวเองอย่างเดียว มันก็จะทำลายระบบการสร้างและพัฒนาเด็กไปในเวลาเดียวกัน
...ตราบใดที่ประเทศเรายังพัฒนาเด็กในระบบแบบนี้ เราไม่มีทางได้ไปบอลโลก เราไม่มีทางตามพวกญี่ปุ่น เกาหลี ได้ทันแน่นอน
ผู้เขียน Mr.Warich (ppantip.com)
เพจ Academy Thailand https://www.facebook.com/Academylink.co
เว็บไซต์ https://www.academylink.co