ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า การไปเที่ยวอเมริกาครั้งนี้ เราไปกันตั้งแต่ปีที่แล้ว ช่วงวันที่ 5 - 15 พ.ค. 59 ว่าจะเอามาลงตั้งแต่กลับมา แต่ก็ไม่มีเวลาซักที เนื่องจากรูปเยอะมาก จนเวลาผ่านไปปีกว่า มาช่วงนี้มีเวลาหน่อยและคิดถึงช่วงที่ไปเที่ยวตอนนั้น เลยมานั่งดูรูป และตัดสินใจเลือกรูปเอามาลงให้ดูกัน เพื่อบันทึกไว้เป็นความทรงจำดีๆ ของผมด้วยครับ
เนื่องจากพี่ชายผม ต้องไปทำงานที่อเมริกาเป็นเวลา 3 ปี ผม พ่อ และ แม่ จึงวางแผนว่าจะไปเยี่ยม และไปเที่ยวกันตั้งแต่พี่ชายยังไม่ไปเสียอีก เราก็เริ่มเตรียมตัวกัน การเตรียมไปอเมริกาที่สำคัญเลยคือการขอ "วีซ่า" เมื่อเข้าเดือน ก.พ. เราก็เตรียมตัวไปขอวีซ่ากัน พ่อผมโชคดีหน่อยที่มีวีซ่าอยู่แล้ว ความลำบากจึงมาอยู่ที่ผมกับแม่ และผมต้องเป็นสปอนเซอร์ให้แม่ด้วย จากการค้นข้อมูลทั้งจากในพันทิป ห้องบลู และที่ต่างๆ ก็ได้พบคำล่ำลือว่า การขอวีซ่าอเมริกา ยากมาก! แต่เมื่อไปขอด้วยตนเองก็พบว่า......มันก็ยากสมคำล่ำลือจริงๆ นั่นแหละ เพราะขนาดเราไปรอบเช้าสุดตามคำแนะนำในพันทิปที่บอกว่าให้ไปรอบแรก กงสุลท่านยังอารมณ์ดีอยู่จะผ่านง่ายกว่า แต่เชื่อไหมว่าระหว่างที่ผมกับแม่ต่อแถวรอเข้าสัมภาษณ์อยู่นั้น ก็สังเกตว่ามีคนเข้าสัมภาษณ์ไปแล้ว 10 กว่าคน แต่มีคนผ่านแค่ 2-3 คนเท่านั้นเอง! โดยเฉพาะช่องของท่านกงสุลที่เป็นชายชาวเกาหลี ท่านยังไม่ให้ใครผ่านเลยซักคน ไม่ว่าผู้เข้าสัมภาษณ์จะเป็นหญิงหรือชาย ดังนั้นก่อนจะไปเที่ยวกันผมจะขอแนะนำการขอวีซ่าอเมริกาซักเล็กน้อย เผื่อจะช่วยให้เพื่อนๆ ที่อยากไปเที่ยวอเมริกาจริงๆ อย่างผม ขอวีซ่าผ่านง่ายขึ้นบ้าง
ข้อมูลวีซ่าธุรกิจ/นักท่องเที่ยว (B-1/B-2) คลิกเข้าไปอ่านได้เลยครับ
http://www.ustraveldocs.com/th_th/th-niv-typeb1b2.asp
ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการขอวีซ่าอเมริกาคือ การกรอกข้อมูลในเอกสาร DS-160 จะผ่านหรือไม่อยู่ที่ข้อมูลที่กรอกนี่แหละครับ บางคนเข้าสัมภาษณ์โดยท่านกงสุลไม่ขอเอกสารอะไรเพิ่มเติมเลย ก็ให้ผ่าน ก็ท่านดูจากที่เรากรอกในนี้แหละเป็นหลัก ดูละเอียดด้วย
การกรอก DS-160 เข้าไปกรอกได้ที่นี่
https://ceac.state.gov/genniv/
ส่วนวิธีการกรอก ผมก็ดูเอาจากในกระทู้ของคุณ ล็อคอินนี้ง่วงแล้ว และคุณ piggielicious ส่วนในระหว่างกรอกถ้าติดปัญหาตรงไหนผมก็โพสต์ถามเอาในห้องบลูนี่แหละ
กระทู้ของคุณล็อคอินนี้ง่วงแล้ว
https://ppantip.com/topic/32189283
กระทู้ของคุณpiggielicious
https://ppantip.com/topic/34472641
ข้อมูลที่กรอกผมให้คำแนะนำนิดนึงครับ
อันแรก บ้านเลขที่ ตอนที่ผมกรอกช่วง ก.พ. 59 ระบบไม่สามารถใช้เครื่องหมาย "/" ได้ ให้ใช้เครื่องหมาย "-" หรือเว้นวรรคแทน เช่น บ้านเลขที่ 11/12 ก็ใส่ว่า 11-12 หรือ 11 12 อันนี้ตอนที่กรอกผมก็งงอยู่นานว่าทำไมใสบ้านเลขที่ไม่ได้ สุดท้ายก็โพสต์ถามจากห้องบลูนี้แหละครับถึงสำเร็จ
อันต่อมา ข้อมูลหน้าที่การงาน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญควรกรอกให้ละเอียด กรอกให้ครบ โดยเฉพาะช่อง Briefly describe your duties บางคนกรอกแค่สั้นๆ บางคนไม่กรอก เนื่องจากมันเป็นช่องที่ไม่บังคับว่าต้องกรอก สามารถข้ามไปที่ส่วนถัดไปได้เลย แต่ผมบอกเลยว่าควรกรอกให้ละเอียด สำหรับผม ผมเอาข้อความจากใบรับรองเงินเดือน หรือใบรับรองการทำงานมาใส่เลย โดยระบุว่าเป็นพนักงาน/ลูกจ้าง/ข้าราชการ ที่บริษัท/หน่วยงานอะไร เริ่มงานที่นี่ตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ ปัจจุบันทำมาแล้วกี่ปี ปัจจุบันอยู่ตำแหน่งอะไร เงินเดือนเท่าไหร่ พร้อมทั้งอธิบายว่าทำงานเกี่ยวกับอะไร มีลักษณะงานเป็นอย่างไร อธิบายให้ละเอียด
และที่ข้อมูลการทำงานนี้มันจะมีให้คลิกเข้าไปที่ ประวัติการทำงานช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และประวัติการศึกษา ซึ่งไม่บังคับ สามารถผ่านไปส่วนถัดไปได้เลยเช่นกัน ทำให้มีหลายคนไม่คลิกเข้าไป หรืออาจไม่รู้ เลยข้ามไปที่ส่วนอื่นเลย ซึ่งประวัติการทำงาน และประวัติการศึกษา ควรต้องกรอกให้ละเอียดเช่นกัน เพราะสามารถให้ท่านกงสุลเห็นได้ว่าคุณมีหน้าที่การงานที่ดี และทำให้เห็นว่าคุณมีความผูกพันต่อประเทศไทยมากขึ้นในกรณีที่คุณศึกษาและทำงานในประเทศไทยมาโดยตลอด ประวัติการทำงาน ถ้าคุณไม่เคยเปลี่ยนงานเลย แต่อาจมีตำแหน่งงานสูงขึ้น คุณก็สามารถอธิบายได้ว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา คุณอยู่ในตำแหน่งอะไรมาบ้าง
เมื่อกรอก DS-160 เสร็จ ก็ปริ๊นต์ใบจ่ายตังค์ และไปจ่ายที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ต่อมาก็ทำการนัดสัมภาษณ์
ผมตัดมาที่การสัมภาษณ์เลยนะครับ การสัมภาษณ์จะมี 2 ขั้นตอน คือ การสัมภาษณ์กับท่านกงสุลคนไทย และสัมภาษณ์กับท่านกงสุลต่างชาติ
ขั้นตอนแรก การสัมภาษณ์กับท่านกงสุลคนไทย ขั้นตอนนี้อย่าได้ประมาทเด็ดขาด เพราะเป็นการคัดกรองที่สำคัญ ไม่ใช่การถามตอบธรรมดา แต่มีการใช้จิตวิทยาเพื่อดูว่าเราโกหกหรือไม่ ผมได้สัมภาษณ์กับกงสุลผู้หญิงมีอายุหน่อย ระหว่างต่อแถวอยู่ผมสังเกตว่ากงสุลผู้หญิงท่านนี้จะถามถึงเบอร์โทรศัพท์ ผู้ถูกสัมภาษณ์แทบทุกคนจะตอบแบบไม่มั่นใจ แต่ก็พยายามจะตอบให้ถูกให้ได้ มีน้องผู้ชายคนหนึ่งตอบเบอร์ออกไปแบบเป๊ะๆ อย่างมั่นใจมาก แต่ท่านกงสุลก็ส่ายหน้าบอกไม่ใช่ น้องเขาก็พยายามตอบไป กี่เบอร์กี่เบอร์ ท่านกงสุลก็ส่ายหน้าไม่ใช่ สุดท้ายท่านกงสุลก็ยอมปล่อยไปสัมภาษณ์กับท่านกงสุลต่างชาติต่อ แต่น้องเขาโชคไม่ดี ไปเจอท่านกงสุลชาวเกาหลี เลยไม่ผ่านโดยปริยาย ก็ไม่รู้ว่าไม่ผ่านเพราะท่านกงสุลชาวเกาหลี หรือท่านกงสุลไทยกันแน่ พอถึงคิวผม ผมเข้าไปสัมภาษณ์พร้อมกับแม่ คำถามแรกที่โดนเลย "เป็นสามี ภรรยากันหรือคะ?" ผมแบบเอ่อ นึกในใจ หน้าผมดูมีอายุขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วสุดท้ายก็โดนถามเหมือนกับที่ทุกคนโดนท่านกงสุลท่านนี้ถาม แต่ผมโดนถามว่าเบอร์มือถือของพี่ชายเบอร์อะไร ผมก็ตอบไปตรงๆ ว่า ไม่ทราบ แต่ท่านกงสุลก็พยายามซักไซร้อยู่นั่นแหละ เหมือนจะพยายามให้ผมตอบเบอร์อะไรออกไปก็ได้ แต่ผมก็ยังยืนกรานว่าไม่ทราบ ก็ถ้าถามข้อมูลอื่นผมคิดว่าผมตอบได้หมด เพราะกรอกเองกับมือ แต่ถามเบอร์มือถือนี่ ถึงแม้จะกรอกเองกับมือเหมือนกัน แต่เปิดที่ mem ไว้ในมือถือมากรอก ก็เดี๋ยวนี้ใครเขาจำเบอร์กัน ถ้าจะโทรหาใคร ก็แค่หาเบอร์ที่เมมไว้แล้วโทรออกก็จบ แต่ท่านกงสุลก็ยังซักไซร้ให้ผมตอบเบอร์นี้ให้ได้อยู่นั่นแหละ จนสุดท้าย แม่ผมต้องบอกว่า ลูกชายคนโตแต่งงานออกไปนานแล้วค่ะ เลยไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน ก็เลยอาจจำเบอร์ไม่ได้ เท่านั้นแหละถึงยอมให้ไปสัมภาษณ์ด่านต่อไป แม่ผมก็เก่งใช่เล่นนะ
ขั้นตอนที่ 2 การสัมภาษณ์กับท่านกงสุลต่างชาติ ผมโชคดีมาก ไม่โดนเกาหลี ผมและแม่ได้สัมภาษณ์กับท่านกงสุลผู้ชายผอม ผิวขาว น่าจะเป็นชาวยุโรป อยู่ช่องขวามือด้านในสุด กงสุลท่านนี้ใจดี ถามแค่ว่า จะไปที่ไหน ไปทำอะไร ไปกี่วัน คุณเป็น.....เหรอ จบจากที่ไหน แล้วก็บอกว่าผ่านทั้ง 2 คน โดยไม่ถามอะไรแม่ผมเลยครับ คำถามสุดท้ายนี้เอง ที่ทำให้ผมคิดว่า ข้อมูลที่ไม่จำเป็นต้องกรอก ข้อมูลที่ซ่อนอยู่ต้องคลิกเข้าไปกรอก เช่นประวัติการทำงานย้อนหลัง 5 ปี ประวัติการศึกษา มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้การขอวีซ่าผ่านง่ายขึ้น
เมื่อได้วีซ่ามาแล้ว ก็รีบจองตั๋วเครื่องบิน ทำเรื่องลางาน แล้วออกเดินทางกันเลย
ประสบการณ์เที่ยวอเมริกาครั้งแรก Virginia - New York City - Baltimore - Washington DC - Annapolis
เนื่องจากพี่ชายผม ต้องไปทำงานที่อเมริกาเป็นเวลา 3 ปี ผม พ่อ และ แม่ จึงวางแผนว่าจะไปเยี่ยม และไปเที่ยวกันตั้งแต่พี่ชายยังไม่ไปเสียอีก เราก็เริ่มเตรียมตัวกัน การเตรียมไปอเมริกาที่สำคัญเลยคือการขอ "วีซ่า" เมื่อเข้าเดือน ก.พ. เราก็เตรียมตัวไปขอวีซ่ากัน พ่อผมโชคดีหน่อยที่มีวีซ่าอยู่แล้ว ความลำบากจึงมาอยู่ที่ผมกับแม่ และผมต้องเป็นสปอนเซอร์ให้แม่ด้วย จากการค้นข้อมูลทั้งจากในพันทิป ห้องบลู และที่ต่างๆ ก็ได้พบคำล่ำลือว่า การขอวีซ่าอเมริกา ยากมาก! แต่เมื่อไปขอด้วยตนเองก็พบว่า......มันก็ยากสมคำล่ำลือจริงๆ นั่นแหละ เพราะขนาดเราไปรอบเช้าสุดตามคำแนะนำในพันทิปที่บอกว่าให้ไปรอบแรก กงสุลท่านยังอารมณ์ดีอยู่จะผ่านง่ายกว่า แต่เชื่อไหมว่าระหว่างที่ผมกับแม่ต่อแถวรอเข้าสัมภาษณ์อยู่นั้น ก็สังเกตว่ามีคนเข้าสัมภาษณ์ไปแล้ว 10 กว่าคน แต่มีคนผ่านแค่ 2-3 คนเท่านั้นเอง! โดยเฉพาะช่องของท่านกงสุลที่เป็นชายชาวเกาหลี ท่านยังไม่ให้ใครผ่านเลยซักคน ไม่ว่าผู้เข้าสัมภาษณ์จะเป็นหญิงหรือชาย ดังนั้นก่อนจะไปเที่ยวกันผมจะขอแนะนำการขอวีซ่าอเมริกาซักเล็กน้อย เผื่อจะช่วยให้เพื่อนๆ ที่อยากไปเที่ยวอเมริกาจริงๆ อย่างผม ขอวีซ่าผ่านง่ายขึ้นบ้าง
ข้อมูลวีซ่าธุรกิจ/นักท่องเที่ยว (B-1/B-2) คลิกเข้าไปอ่านได้เลยครับ
http://www.ustraveldocs.com/th_th/th-niv-typeb1b2.asp
ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการขอวีซ่าอเมริกาคือ การกรอกข้อมูลในเอกสาร DS-160 จะผ่านหรือไม่อยู่ที่ข้อมูลที่กรอกนี่แหละครับ บางคนเข้าสัมภาษณ์โดยท่านกงสุลไม่ขอเอกสารอะไรเพิ่มเติมเลย ก็ให้ผ่าน ก็ท่านดูจากที่เรากรอกในนี้แหละเป็นหลัก ดูละเอียดด้วย
การกรอก DS-160 เข้าไปกรอกได้ที่นี่
https://ceac.state.gov/genniv/
ส่วนวิธีการกรอก ผมก็ดูเอาจากในกระทู้ของคุณ ล็อคอินนี้ง่วงแล้ว และคุณ piggielicious ส่วนในระหว่างกรอกถ้าติดปัญหาตรงไหนผมก็โพสต์ถามเอาในห้องบลูนี่แหละ
กระทู้ของคุณล็อคอินนี้ง่วงแล้ว
https://ppantip.com/topic/32189283
กระทู้ของคุณpiggielicious
https://ppantip.com/topic/34472641
ข้อมูลที่กรอกผมให้คำแนะนำนิดนึงครับ
อันแรก บ้านเลขที่ ตอนที่ผมกรอกช่วง ก.พ. 59 ระบบไม่สามารถใช้เครื่องหมาย "/" ได้ ให้ใช้เครื่องหมาย "-" หรือเว้นวรรคแทน เช่น บ้านเลขที่ 11/12 ก็ใส่ว่า 11-12 หรือ 11 12 อันนี้ตอนที่กรอกผมก็งงอยู่นานว่าทำไมใสบ้านเลขที่ไม่ได้ สุดท้ายก็โพสต์ถามจากห้องบลูนี้แหละครับถึงสำเร็จ
อันต่อมา ข้อมูลหน้าที่การงาน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญควรกรอกให้ละเอียด กรอกให้ครบ โดยเฉพาะช่อง Briefly describe your duties บางคนกรอกแค่สั้นๆ บางคนไม่กรอก เนื่องจากมันเป็นช่องที่ไม่บังคับว่าต้องกรอก สามารถข้ามไปที่ส่วนถัดไปได้เลย แต่ผมบอกเลยว่าควรกรอกให้ละเอียด สำหรับผม ผมเอาข้อความจากใบรับรองเงินเดือน หรือใบรับรองการทำงานมาใส่เลย โดยระบุว่าเป็นพนักงาน/ลูกจ้าง/ข้าราชการ ที่บริษัท/หน่วยงานอะไร เริ่มงานที่นี่ตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ ปัจจุบันทำมาแล้วกี่ปี ปัจจุบันอยู่ตำแหน่งอะไร เงินเดือนเท่าไหร่ พร้อมทั้งอธิบายว่าทำงานเกี่ยวกับอะไร มีลักษณะงานเป็นอย่างไร อธิบายให้ละเอียด
และที่ข้อมูลการทำงานนี้มันจะมีให้คลิกเข้าไปที่ ประวัติการทำงานช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และประวัติการศึกษา ซึ่งไม่บังคับ สามารถผ่านไปส่วนถัดไปได้เลยเช่นกัน ทำให้มีหลายคนไม่คลิกเข้าไป หรืออาจไม่รู้ เลยข้ามไปที่ส่วนอื่นเลย ซึ่งประวัติการทำงาน และประวัติการศึกษา ควรต้องกรอกให้ละเอียดเช่นกัน เพราะสามารถให้ท่านกงสุลเห็นได้ว่าคุณมีหน้าที่การงานที่ดี และทำให้เห็นว่าคุณมีความผูกพันต่อประเทศไทยมากขึ้นในกรณีที่คุณศึกษาและทำงานในประเทศไทยมาโดยตลอด ประวัติการทำงาน ถ้าคุณไม่เคยเปลี่ยนงานเลย แต่อาจมีตำแหน่งงานสูงขึ้น คุณก็สามารถอธิบายได้ว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา คุณอยู่ในตำแหน่งอะไรมาบ้าง
เมื่อกรอก DS-160 เสร็จ ก็ปริ๊นต์ใบจ่ายตังค์ และไปจ่ายที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ต่อมาก็ทำการนัดสัมภาษณ์
ผมตัดมาที่การสัมภาษณ์เลยนะครับ การสัมภาษณ์จะมี 2 ขั้นตอน คือ การสัมภาษณ์กับท่านกงสุลคนไทย และสัมภาษณ์กับท่านกงสุลต่างชาติ
ขั้นตอนแรก การสัมภาษณ์กับท่านกงสุลคนไทย ขั้นตอนนี้อย่าได้ประมาทเด็ดขาด เพราะเป็นการคัดกรองที่สำคัญ ไม่ใช่การถามตอบธรรมดา แต่มีการใช้จิตวิทยาเพื่อดูว่าเราโกหกหรือไม่ ผมได้สัมภาษณ์กับกงสุลผู้หญิงมีอายุหน่อย ระหว่างต่อแถวอยู่ผมสังเกตว่ากงสุลผู้หญิงท่านนี้จะถามถึงเบอร์โทรศัพท์ ผู้ถูกสัมภาษณ์แทบทุกคนจะตอบแบบไม่มั่นใจ แต่ก็พยายามจะตอบให้ถูกให้ได้ มีน้องผู้ชายคนหนึ่งตอบเบอร์ออกไปแบบเป๊ะๆ อย่างมั่นใจมาก แต่ท่านกงสุลก็ส่ายหน้าบอกไม่ใช่ น้องเขาก็พยายามตอบไป กี่เบอร์กี่เบอร์ ท่านกงสุลก็ส่ายหน้าไม่ใช่ สุดท้ายท่านกงสุลก็ยอมปล่อยไปสัมภาษณ์กับท่านกงสุลต่างชาติต่อ แต่น้องเขาโชคไม่ดี ไปเจอท่านกงสุลชาวเกาหลี เลยไม่ผ่านโดยปริยาย ก็ไม่รู้ว่าไม่ผ่านเพราะท่านกงสุลชาวเกาหลี หรือท่านกงสุลไทยกันแน่ พอถึงคิวผม ผมเข้าไปสัมภาษณ์พร้อมกับแม่ คำถามแรกที่โดนเลย "เป็นสามี ภรรยากันหรือคะ?" ผมแบบเอ่อ นึกในใจ หน้าผมดูมีอายุขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วสุดท้ายก็โดนถามเหมือนกับที่ทุกคนโดนท่านกงสุลท่านนี้ถาม แต่ผมโดนถามว่าเบอร์มือถือของพี่ชายเบอร์อะไร ผมก็ตอบไปตรงๆ ว่า ไม่ทราบ แต่ท่านกงสุลก็พยายามซักไซร้อยู่นั่นแหละ เหมือนจะพยายามให้ผมตอบเบอร์อะไรออกไปก็ได้ แต่ผมก็ยังยืนกรานว่าไม่ทราบ ก็ถ้าถามข้อมูลอื่นผมคิดว่าผมตอบได้หมด เพราะกรอกเองกับมือ แต่ถามเบอร์มือถือนี่ ถึงแม้จะกรอกเองกับมือเหมือนกัน แต่เปิดที่ mem ไว้ในมือถือมากรอก ก็เดี๋ยวนี้ใครเขาจำเบอร์กัน ถ้าจะโทรหาใคร ก็แค่หาเบอร์ที่เมมไว้แล้วโทรออกก็จบ แต่ท่านกงสุลก็ยังซักไซร้ให้ผมตอบเบอร์นี้ให้ได้อยู่นั่นแหละ จนสุดท้าย แม่ผมต้องบอกว่า ลูกชายคนโตแต่งงานออกไปนานแล้วค่ะ เลยไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน ก็เลยอาจจำเบอร์ไม่ได้ เท่านั้นแหละถึงยอมให้ไปสัมภาษณ์ด่านต่อไป แม่ผมก็เก่งใช่เล่นนะ
ขั้นตอนที่ 2 การสัมภาษณ์กับท่านกงสุลต่างชาติ ผมโชคดีมาก ไม่โดนเกาหลี ผมและแม่ได้สัมภาษณ์กับท่านกงสุลผู้ชายผอม ผิวขาว น่าจะเป็นชาวยุโรป อยู่ช่องขวามือด้านในสุด กงสุลท่านนี้ใจดี ถามแค่ว่า จะไปที่ไหน ไปทำอะไร ไปกี่วัน คุณเป็น.....เหรอ จบจากที่ไหน แล้วก็บอกว่าผ่านทั้ง 2 คน โดยไม่ถามอะไรแม่ผมเลยครับ คำถามสุดท้ายนี้เอง ที่ทำให้ผมคิดว่า ข้อมูลที่ไม่จำเป็นต้องกรอก ข้อมูลที่ซ่อนอยู่ต้องคลิกเข้าไปกรอก เช่นประวัติการทำงานย้อนหลัง 5 ปี ประวัติการศึกษา มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้การขอวีซ่าผ่านง่ายขึ้น
เมื่อได้วีซ่ามาแล้ว ก็รีบจองตั๋วเครื่องบิน ทำเรื่องลางาน แล้วออกเดินทางกันเลย