[SR] พาเที่ยวสามเมืองทมิฬ (นาฑู) Chennai, Madurai, Pondicherry ที่อินเดีย (ใต้)


ตอนแรกกะว่าจะเขียนถึงเจนไนอย่างเดียว
แต่อีกสองเมืองหลังเป็นแค่เมืองเล็กๆ
คงเขียนถึงไม่มากนัก เลยจับมัดรวมกัน
เผื่อใครอยากลองเที่ยวอินเดียใต้แถบนั้น
จะได้อ่านพร้อมกันรวดเดียวไปเลยเนาะ

ทั้งสามเมืองนี้อยู่ที่รัฐทมิฬนาฑู
หรือที่คนอินเดียออกเสียงว่าทมิฬนาดู
เราเชื่อว่าพอได้ยินชื่อรัฐนี้
คนไทยอาจจะตกใจแป๊บนึง
เพราะคำว่าทมิฬนั้นแปลว่าดุร้าย ร้ายกาจ
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
แต่เรารับรองได้ว่า ถ้าได้ลองมาแล้ว
จะรู้เลยว่าคนทมิฬที่นี่นั้นไม่ทมิฬอย่างที่คิด

อย่างที่เคยบอกไว้ในกระทู้อื่นๆ ว่า
คนไทยมักไปเที่ยวแต่ทางอินเดียตอนเหนือ
เมืองทางใต้เลยไม่ค่อยมีใครรู้จัก
จริงอยู่ ที่สภาพทางภูมิศาสตร์ของทางใต้
สวยไม่เท่าทางเหนือ สู้เขาไม่ได้เลย
ทว่า เสน่ห์ความเป็นอินเดียก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน
ผู้คนแถบนี้ก็ยังยิ้มแย้มให้กับชาวต่างชาติ
มีรูปแบบกลโกงสารพัดของเหล่านักต้มตุ๋น
มาค่ะ… ตามไปดูกัน



1

ขอเริ่มต้นด้วยเมืองหลวงของรัฐอย่างเจนไน
แต่เดิมมีชื่อว่ามาดราส (Madras)
การที่เมืองนึงมีสองสามชื่อไม่ถือเป็นเรื่องแปลก
เพราะเมืองในอินเดียเปลี่ยนชื่อกลับไปกลับมาบ่อย
อย่างพาราณสี ก็เคยใช้ชื่อว่า Banaras
มุมไบ เคยใช้ว่า บอมเบย์,
บังคาลอร์ ปัจจุบันก็เปลี่ยนเป็น เบงกาลูรู
เล่นเอาจำกันแทบไม่ไหวเลยค่ะ

เราไปเมืองเจนไนมาแล้วก็สามครั้งถ้วน
สาเหตุที่ไปบ่อยๆ ก็เพราะตั๋วเครื่องบินถูก
ไปกลับรวมกันบางครั้งไม่ถึงห้าพันบาทด้วยซ้ำ
(เฉพาะของสายการบินแอร์เอเชียนะคะ)
เราเลยชอบเริ่มต้นการเดินทางจากเมืองนี้
แล้วค่อยนั่งรถไฟ หรือรถทัวร์ ไปเมืองอื่นๆ แทน
สะดวกไม่พอ แถมยังสบายกระเป๋าอีกเด้อ

แลนด์มาร์กแรกและน่าจะใหญ่ที่สุดของเมือง
คือชายหาดแสนกว้างริมอ่าวเบงกอล
ชื่อว่าชายหาดมาริน่า (Marina Beach)
ชายหาดนี้ใหญ่ขนาดที่ตำรวจต้องขับรถจี๊ป
ออกมาตรวจตราความเรียบร้อยบนหาดทราย
แถมยังมีสวนสนุกขนาดย่อม ร้านขายของ
ตลาดนัด โชว์ลิง บริการขี่ม้าเล่น ฯลฯ
เดินเล่นทั้งวันได้ไม่เบื่อ แต่อาจจะร้อนตายได้
เพราะแดดแรงมากค่ะ...
เข้าใจถึงหัวอกของเมล็ดเกาลัด
ที่ถูกคั่วกับทรายบนกระทะที่เยาวราชเลยค่ะ

ความสะอาดของชายหาดถือว่าพอรับได้
มีขยะ แต่ก็ไม่ได้มากจนต้องระแวดระวังทุกฝีเก้า
สามารถนั่งลงไปกับพื้นทรายแบบไม่ต้องคิดมาก
แต่คลื่นลมค่อนข้างแรงตลอดทั้งปี
ยิ่งถ้าเป็นฤดูมรสุมนี่เหมือนหมอกลงชายหาดเลย
แต่ไม่ใช่… มันคือละอองน้ำทะเลที่ถูกลมพัดขึ้นมา
น้ำทะเลที่นี่ก็ไม่สกปรกเกินเบอร์ คนเล่นกันคึกคัก
หรือใครไม่อยากเปียกก็ไปขอร่วมวง
กับหนุ่มๆ ที่เล่นคริกเก็ต กีฬายอดฮิตในอินเดีย
ที่ได้รับอิทธิพลมาจากอังกฤษสมัยยุคอาณานิคม
ลักษณะการเล่นดูคล้ายๆ เบสบอล

เคยมีหนุ่มๆ มาชวนเราไปร่วมวงเล่น
แต่พอเล่นครั้งแรกละลูกบอลเฉี่ยวหัวไปหวุดหวิด
ก็เลยคิดได้ว่า เออ… กลับมานั่งถ่ายรูปดีกว่าเนาะ




เดินจากชายหาดไปไม่ถึงสองกิโลเมตร
จะมีประภาคาร Madras Lighthouse อยู่
เขาเปิดให้ขึ้นไปชมวิวด้านบนได้
ค่าเข้าของชาวต่างชาติแค่ประมาณ 30 บาท
มีลิฟต์พาขึ้นไปถึงจุดชมวิว ไม่ต้องออกแรงเลย
วิวด้านบนเห็นสภาพชายหาดสุดลูกหูลูกตา
มาแอบดูวิถีชีวิตผู้คนจากบนนี้ก็สนุกไปอีกแบบค่ะ
แต่ลมแรงมากๆ ผมปลิวพันกันเป็นรังนกเลย
นี่ขนาดผมสั้น ลุกบอยๆ แล้วนะ

เลยจากประภาคารไปอีกสองถึงสามกิโลเมตร
ก็มีวัดฮินดู กับโบสถ์คริสต์ชื่อดังอยู่
แต่พอเที่ยวอินเดียนานๆ เข้า
เราก็เริ่มเอียนศาสนสถานต่างๆ
เริ่มไปแวะเวียนเป็นทัวร์ชะโงก เพราะมันเหมือนๆ กัน
จะไปวัดไหนเมืองใดมันก็แนวๆ นี้หมดเลย
แต่ถ้าใครสนใจศาสนสถานชื่อดังทั้งสองนี้
ก็ติดต่อออโต้ริกชอว์ที่ใกล้ที่สุดเลยค่ะ
เขามีแพ็กเกจพร้อมหลอก เอ้ย พร้อมบริการ
ราคาก็ประมาณ 150 รูปี (75 บาท)
ถ้าเริ่มจากชายหาดมาริน่านะคะ
ชื่อ Santhome Church
กับ Kapaleeswarar Temple




นอกเหนือจากชายหาดและวัดทั้งหลาย
สถานีรถไฟของที่นี่ก็ยังสวยและเด่นมาก
จริงๆ ก็ไม่ใช่แค่ที่เจนไนนนะคะที่สถานีรถไฟงาม
แต่เป็นเกือบทุกเมืองของประเทศเลย
โดยเฉพาะเมืองดังๆ อย่างพาราณสี มุมไบ
สถานีรถไฟของอินเดียไม่เหมือนกันแทบสักที่
มีการตกแต่งสถาปัตยกรรมคนละแบบ
ตามวัฒนธรรม ตามสีสันของภูมิภาคนั้นๆ
อย่างที่เจนไนก็มีสถานี Chennai Egmore
กับ Chennai Central ที่น่าไปถ่ายรูปเล่นมากๆ

ช่วงที่เราไปครั้งล่าสุด (มกราคม 2017)
กำลังสร้างทางรถไฟฟ้า และอาคารต่างๆ เยอะมาก
คาดว่าอีกไม่กี่ปี เจนไนคงเป็นเมืองที่เจริญแน่
อยากรู้เลยว่าถ้ากลับไปอีกที จะเปลี่ยนไปแบบไหน





การเดินทาง

จากสนามบินเจนไนเข้าเมืองง่ายมาก
เดินออกมาหน้าสนามบินมีสถานีรถไฟอยู่
เลือกลงสถานีที่ใกล้ที่พักที่สุด สะดวกมาก
แต่ข้อเสียของการบินแอร์เอเชียคือไฟลต์ดึก
ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
แต่อยากให้ลองเปิดใจดูค่ะ
เราอยู่อินเดียคนเดียวมาเกือบสองเดือน
แบกของพะรุงพะรังไปตามซอยเปลี่ยวมืดๆ
ก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้น…
เพียงแค่เราต้องรู้จักสังเกตสถานการณ์รอบตัว
ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือเปล่า

ส่วนการเดินทางในเมืองก็ง่ายมาก
มีรถเมล์บริการทั่วถึง รักสุดๆ
เพราะสถาปนาตัวเองว่าเป็น
เจ้าหญิงแห่งวงการขนส่งมวลชนไปแล้ว
วิธีการง่ายๆ ในการนั่งรถเมล์ให้ถูกคือ
เดินไปนั่งที่ป้ายแล้วกระซิบถามคนข้างๆ ว่า
“ฉันจะไปที่นู่นที่นี่” แต่ต้องออกเสียงให้ถูกนะ
ถ้าป้ายนั้นมีรถพาไปได้ เขาก็จะบอกเราเอง
ถ้าไม่มีเขาก็จะบอกว่าให้ไปขึ้นตรงนั้นตรงนี้
เราลองแล้วยังไม่เจอปัญหาการนั่งผิดสายเลย
แถมค่ารถเมล์ยังถูกมากถึงมากที่สุด
...ไม่เกินสิบบาท

ไม่ต้องกลัวลงผิดป้ายนะคะ
เวลาเราบอกคนเก็บเงินว่าจะลงไหน
ทุกคนจะช่วยเป็นหูเป็นตาให้
เราเคยบอกว่าจะลงอีกที่นึง แต่ถึงเวลาจริง
กลับเปลี่ยนใจอยากลงอีกป้ายนึง
คนทั้งรถรีบตะโกนห้ามเราเลยค่ะว่ายังไม่ถึง (ฮ่า)
...น่ารักไหมล่ะ




2

เมืองถัดมาอยู่ห่างจากเจนไน 160 กิโลเมตร
นั่งรถก็ประมาณ 4-5 ชั่วโมง
เป็นฉากในภาพยนตร์เรื่อง Life of Pi (2012)
และเป็นบ้านเกิดของตัวเอกในเรื่อง
เมืองนี้ชื่อว่า Pondicherry
หรืออ่านเป็นภาษาไทยคือ พอนดิเชอร์รี

ชื่อเมืองฟังแล้วไม่เหมือนอินเดียชะมัด
สภาพเมืองมีความแตกต่างกันสุดขั้ว
ระหว่างย่านท่องเที่ยวชื่อดัง French Town
และย่านชนบททั่วไปของอินเดีย
พอนดิเชอร์รีต่างจากเมืองอื่นๆ ของอินเดีย
ตรงที่ไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
แต่เป็นเมืองใต้อาณานิคมของฝรั่งเศส

ตัว French Town จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลัก
มีสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปสีสันสดใส
ร้านรวงขายงานอาร์ตต่างๆ และคาเฟ่มากมาย
เหมาะกับนักท่องเที่ยวสายชิลมากๆ
ชายหาดที่นี่ไม่ค่อยสวย แถมน้ำดำ
เลยทำได้เพียงเดินรับลมทะเลกลิ่นแปลกๆ
จุดเด่นของย่านนี้คือสตรีตอาร์ต
ที่กระจายตัวแฝงตามจุดต่างๆ ของ French Town
ใครหาเจอในสถานที่แปลกๆ เอามาอวดกันได้




แต่ถัดจาก French Town ไปไม่ถึงกิโล
ก็เป็นย่านที่อยู่อาศัยของชาวอินเดีย
ลักษณะแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
ปรับตัวเตรียมใจกันแทบไม่ทันเลยค่ะ

นอกจาก French Town แล้ว ที่นี่ก็มีอีกไฮไลต์
นั่นคือ Auroville เป็นเหมือนเมืองที่ไร้พรมแดน
ทางเชื้อชาติ ศาสนา และการเมือง
แต่จากการที่ลองอ่านข้อมูลของสถานที่
ทั้งจากสารคดี ทั้งจากป้ายให้ข้อมูลต่างๆ
เราก็ยังไม่รู้อยู่ดีค่ะว่ามันคืออะไรกันแน่
ใครรู้ช่วยน้องด้วยนะคะ

สรุปโดยรวมคือเมืองนี้ไม่มีที่เที่ยวมาก
เหมาะกับการมานอนพักผ่อน ชอปปิ้ง
ไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำนอกจากกินและเดิน
ร้านอาหารแถว French Town ดีมากจริงๆ
ราคาสูงกว่าอาหารทั่วไปในอินเดีย
แต่รสชาติก็สูงขึ้นตามมาตรฐานไปด้วย
เราชอบเมนู Prawn 65 มาก
มันเป็นเหมือนกุ้งชุบแป้งทอดผสมเครื่องเทศ
เหมาะกับคนชอบซีฟู้ดมากๆ ค่ะ
ซึ่งเมนู 65 นี่ทำได้กับทุกเนื้อสัตว์ด้วย
ใครชอบอะไรก็สั่งได้หมด ทั้งไก่ กุ้ง ปลา ฯลฯ

มาเที่ยวพอนดิเชอร์รีแล้วจะไม่รู้สึกแปลกๆ
บางเมืองที่เราไป ไม่ค่อยเจอชาวต่างชาติ
เรามักรู้สึกเหมือนเป็นชาวต่างชาติเพียงหนึ่งเดียว
แต่ที่นี่มีชาวต่างชาติเยอะมาก
โดยเฉพาะชาวฝรั่งเศส

การเดินทาง

สามารถนั่งรถเมล์จากเจนไนมาได้โดยตรงเลย
มีทั้งแบบรถแอร์กับไม่แอร์
ถ้าอยากนั่งแอร์ต้องรีบมาจองเพราะเต็มเร็ว
และมีให้บริการแค่ไม่กี่คัน
ราคาประมาณ 100 กว่าบาทค่ะ (จำไม่ค่อยได้)
ให้ไปขึ้นที่ Chennai Mofussil Bus Terminus
รถจะมาจอดที่ขนส่งพอนดิเชอร์รี
ไม่ไกลจาก French Town ซึ่งเป็นย่านที่พักมาก
ใครเดิน 3 กิโลเมตรไหวก็เดินได้
เพราะขากลับเราก็เดิน (ฮ่า)
ไม่ได้งกนะ แต่ชอบเดินถ่ายรูปเล่น
แต่ถ้าใครอยากนั่งออโต้ก็ไม่ควรเกิน 100 รูปีค่ะ

ส่วนถ้าอยากเหมารถไปชม Auroville
ราคาก็ไม่ควรเกิน 300 รูปีต่อเที่ยวนะคะ
ห่างจาก French Town ประมาณ 15 กิโลเมตร
ชื่อสินค้า:   ประเทศอินเดีย
คะแนน:     
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่