ผู้เช่าและผู้ให้เช่า เป็นญาติกัน และที่ดินที่เช่านี้ก็เป็นที่ดินตาบอด ไม่มีทางเข้า-ออก ซึ่งปกติต้องผ่านสะพานของผู้เช่าเพื่อเข้า-ออก
ผู้เช่าแค่ต้องการทำมาหากิน โดยบอกวัตถุประสงค์การเช่าไว้อย่างชัดเจนในสัญญาเช่า จึงปรับปรุงที่ดินจากบ่อปลาที่รกร้าง พื้นที่เต็มไปด้วยหญ้า และบ่อมีขนาดใหญ่มาก กว้างประมาณ 17 ไร่ ซึ่งการทำบ่อกุ้งต้องกั้นบ่อเป็นบ่อย่อยๆ แน่นอนก็ต้องมีการขุด ปรับแต่งบ่อ/คันดินภายในพื้นที่ แต่เมื่อเข้าไปปรับปรุงได้เดือนเศษ กลับโดนใส่ร้าย แจ้งข้อกล่าวหา ลักหญ้าและดินไปขาย?????? แต่ทั้งๆ ที่หญ้า(ซึ่งอาจมีดินติดปลายรากไปเล็กน้อย) ถูกทิ้งในที่ของหลวงฯ ซึ่งเป็นที่สาธารณะ เจ้าของที่ให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมาร่วมเป็นพยานว่าเห็นเหตุการณ์ลักดินไป แต่จริงๆ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเห็นเพียงมีรถแม็คโครขุดดินแค่นั้น...ซึ่งเป็นกระบวนการของการปรับปรุงบ่อ (อย่างนี้ก็เป็นหลักฐานว่าดินถูกขโมย?)
ทั้งหมดร่วมกันแจ้งความดำเนินคดีกับผู้เช่า คดีอาญา 3 อนุ (คดีอาญาเป็นคดีที่ยอมความไม่ได้) ทั้งๆ ที่ผู้เช่ามีสัญญาเช่าและพยายามให้ตำรวจดูหลักฐาน แต่ตำรวจบอกใช้เป็นหลักฐานในคดีไม่ได้ ไม่ยอมรับสัญญาดังกล่าวเป็นหลักฐาน และช่วงปรับปรุงที่ดินก็เกิดขึ้นเกิน 3 เดือนนับจากวันที่เจ้าของที่ดินสั่งห้ามผู้เช่าเข้าพื้นที่ ซึ่งพ้นอายุความ 3 เดือน แต่ทำไมตำรวจจึงรับแจ้งความ?
หลังจากที่ตำรวจรับแจ้งความ...ตำรวจไม่นำสืบก่อน แต่กลับเรียกผู้เช่าให้ไปพบเป็นการส่วนตัว แล้วถามว่า จะจบคดีนี้ไหม ให้จ่ายเงินให้เจ้าของที่ดินเป็นมูลค่าหลายแสนบาท อยากถามกลับว่า "ตำรวจทำแบบนี้โดยไม่นำสืบได้ด้วยหรอ...ผิดวินัยหรือไม่? ตาสีตาสาทั่วไปเจอคนแจ้งความแบบนี้จะกินนอนหลับตาลงไหม"
แค่นั้นไม่พอ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังพยายามให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นโทรมาเกลี้ยกล่อมผู้เช่าให้ยอมความ โดยให้จ่ายเงินให้เจ้าของที่เป็นมูลค่าหลักแสน "นี่เรียกว่าอะไร...คำถามแบบนี้โง่ไปไหม...เป็นเขาจะจ่ายหรอ...แค่เข้าไปปรับปรุงที่ดินซึ่งเจ้าของที่ดินยินยอมให้ปรับปรุงแต่กลับมาแจ้งความจับกับคดีโง่ๆ ลักหญ้า/ดินไปขาย?" ไม่มีใครลักดิน/ลักหญ้าไปขาย ไม่มีผู้ซื้อ ไม่มีผู้ขาย...แล้วทำไมยัดข้อกล่าวหากันแบบนี้ แล้วตอนหลังตำรวจยังโทรมาข่มขู่จะเอาสัญญาเช่าทั้งหมดเพราะเจ้าของที่ดินต้องการ แล้วทำไมตอนแรกตำรวจไม่ยอมรับหลักฐานนี้??? อ้อนวอนยังไงก็ไม่รับพิจารณา <<< มันคือความงง ว่า การพิจารณาที่ถูกต้องคืออย่างไร
นอกจากนั้นไม่พอ อัยการเจ้าของคดี...บอกว่าต้องส่งฟ้องศาล เพราะตำรวจแจ้งฟ้องคดี อัยการไม่ได้เป็นคนสั่งฟ้อง <<< แบบนี้มีด้วยหรอ? ตำรวจเหนือกว่าอัยการ แล้วจดหมายที่เราร้องขอความเป็นธรรมไป อัยการยังไม่ทำให้กระจ่าง ยืดเวลาสืบข้อมูลเกือบสองเดือน แล้วบอกบทสรุปว่าฟ้อง แล้วมาบีบให้เราหาหลักทรัพย์ประกันตัวภายใน 15 วัน ระยะเวลาดังกล่าว แค่เราจะขอให้กระทรวงยุติธรรมช่วย ยังไม่เพียงพอสำหรับการพิจารณาช่วยเหลือเลย
สังคมจะเป็นอย่างไรต่อไป กับ "ระบบกล่าวหา" ...ที่ตำรวจดำเนินคดีแบบนี้...หาหลักฐานเอื้อฝ่ายผู้ร้อง...โดยไม่เห็นใจฝ่ายที่ถูกกล่าวหา...แล้วอัยการก็สั่งฟ้องด้วยอ้างว่าตำรวจสั่งฟ้อง...ทุกกระบวนการควรมีกระบวนการไตร่ตรองอย่างเป็นธรรมไม่ใช่หรือ????
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับพี่ชายและคุณพ่อของดิฉันเอง ซึ่งคุณพ่อและพี่ชายต่างก็ต้องการทำมาหากินโดยสุจริต พี่ชายเป็นเพียงผู้เช่าร่วม ส่วนคุณพ่อเป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจให้ช่วยดูแลการปรับปรุงบ่อเพื่อการเลี้ยงกุ้ง ดิฉันเป็นน้องและลูกสาวพบเหตุการณ์นี้และนำสืบเรื่องราวด้วยตนเองนานกว่าครึ่งปี และพบข้อเท็จจริงบางอย่าง จึงทำทุกวิถีทาง ทั้งร้องขอความเป็นธรรมจากกระทรวงยุติธรรม อัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อัยการจังหวัด แต่อัยการจังหวัดเจ้าของคดีกลับตอบมาเช่นนั้น สร้างความงงงวยให้กับพวกเรายิ่งนัก อีกทั้งกระบวนการพิจารณาในเรื่องต่างๆ ที่เราร้องเรียนไปรวมระยะเวลาเกือบ 3 เดือนแล้ว ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ แล้วดิฉันจะทำอย่างไร ใครช่วยได้บ้าง ช่วยตอบที ใครมีประสบการณ์ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ
พวกเรานับเวลาถอยหลังกัน เหลือแค่เพียง 13 วัน 5 ต.ค.นี้ อัยการก็จะนำตัวไปฝากขังที่ศาลแล้วววววว ชีวิตที่สุดแสนจะเศร้า
อยากให้คดีนี้เป็นคดีตัวอย่าง ไม่อยากให้เกิดกับใครทั้งนั้น มันไม่ใช่กระบวนการพิจารณาอย่างยุติธรรมเลย พยายามร้องขอความเป็นธรรมจากทุกๆ ฝ่าย แต่ไร้วี่แวว
เช่าที่ดินทำบ่อกุ้ง เข้าไปปรับปรุงที่ดิน แต่โดนเจ้าของแจ้งความข้อหาลักหญ้าและดินไปขาย อาญา 3 อนุ แบบนี้ก็มีด้วยหรือ?
ผู้เช่าแค่ต้องการทำมาหากิน โดยบอกวัตถุประสงค์การเช่าไว้อย่างชัดเจนในสัญญาเช่า จึงปรับปรุงที่ดินจากบ่อปลาที่รกร้าง พื้นที่เต็มไปด้วยหญ้า และบ่อมีขนาดใหญ่มาก กว้างประมาณ 17 ไร่ ซึ่งการทำบ่อกุ้งต้องกั้นบ่อเป็นบ่อย่อยๆ แน่นอนก็ต้องมีการขุด ปรับแต่งบ่อ/คันดินภายในพื้นที่ แต่เมื่อเข้าไปปรับปรุงได้เดือนเศษ กลับโดนใส่ร้าย แจ้งข้อกล่าวหา ลักหญ้าและดินไปขาย?????? แต่ทั้งๆ ที่หญ้า(ซึ่งอาจมีดินติดปลายรากไปเล็กน้อย) ถูกทิ้งในที่ของหลวงฯ ซึ่งเป็นที่สาธารณะ เจ้าของที่ให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมาร่วมเป็นพยานว่าเห็นเหตุการณ์ลักดินไป แต่จริงๆ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเห็นเพียงมีรถแม็คโครขุดดินแค่นั้น...ซึ่งเป็นกระบวนการของการปรับปรุงบ่อ (อย่างนี้ก็เป็นหลักฐานว่าดินถูกขโมย?)
ทั้งหมดร่วมกันแจ้งความดำเนินคดีกับผู้เช่า คดีอาญา 3 อนุ (คดีอาญาเป็นคดีที่ยอมความไม่ได้) ทั้งๆ ที่ผู้เช่ามีสัญญาเช่าและพยายามให้ตำรวจดูหลักฐาน แต่ตำรวจบอกใช้เป็นหลักฐานในคดีไม่ได้ ไม่ยอมรับสัญญาดังกล่าวเป็นหลักฐาน และช่วงปรับปรุงที่ดินก็เกิดขึ้นเกิน 3 เดือนนับจากวันที่เจ้าของที่ดินสั่งห้ามผู้เช่าเข้าพื้นที่ ซึ่งพ้นอายุความ 3 เดือน แต่ทำไมตำรวจจึงรับแจ้งความ?
หลังจากที่ตำรวจรับแจ้งความ...ตำรวจไม่นำสืบก่อน แต่กลับเรียกผู้เช่าให้ไปพบเป็นการส่วนตัว แล้วถามว่า จะจบคดีนี้ไหม ให้จ่ายเงินให้เจ้าของที่ดินเป็นมูลค่าหลายแสนบาท อยากถามกลับว่า "ตำรวจทำแบบนี้โดยไม่นำสืบได้ด้วยหรอ...ผิดวินัยหรือไม่? ตาสีตาสาทั่วไปเจอคนแจ้งความแบบนี้จะกินนอนหลับตาลงไหม"
แค่นั้นไม่พอ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังพยายามให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นโทรมาเกลี้ยกล่อมผู้เช่าให้ยอมความ โดยให้จ่ายเงินให้เจ้าของที่เป็นมูลค่าหลักแสน "นี่เรียกว่าอะไร...คำถามแบบนี้โง่ไปไหม...เป็นเขาจะจ่ายหรอ...แค่เข้าไปปรับปรุงที่ดินซึ่งเจ้าของที่ดินยินยอมให้ปรับปรุงแต่กลับมาแจ้งความจับกับคดีโง่ๆ ลักหญ้า/ดินไปขาย?" ไม่มีใครลักดิน/ลักหญ้าไปขาย ไม่มีผู้ซื้อ ไม่มีผู้ขาย...แล้วทำไมยัดข้อกล่าวหากันแบบนี้ แล้วตอนหลังตำรวจยังโทรมาข่มขู่จะเอาสัญญาเช่าทั้งหมดเพราะเจ้าของที่ดินต้องการ แล้วทำไมตอนแรกตำรวจไม่ยอมรับหลักฐานนี้??? อ้อนวอนยังไงก็ไม่รับพิจารณา <<< มันคือความงง ว่า การพิจารณาที่ถูกต้องคืออย่างไร
นอกจากนั้นไม่พอ อัยการเจ้าของคดี...บอกว่าต้องส่งฟ้องศาล เพราะตำรวจแจ้งฟ้องคดี อัยการไม่ได้เป็นคนสั่งฟ้อง <<< แบบนี้มีด้วยหรอ? ตำรวจเหนือกว่าอัยการ แล้วจดหมายที่เราร้องขอความเป็นธรรมไป อัยการยังไม่ทำให้กระจ่าง ยืดเวลาสืบข้อมูลเกือบสองเดือน แล้วบอกบทสรุปว่าฟ้อง แล้วมาบีบให้เราหาหลักทรัพย์ประกันตัวภายใน 15 วัน ระยะเวลาดังกล่าว แค่เราจะขอให้กระทรวงยุติธรรมช่วย ยังไม่เพียงพอสำหรับการพิจารณาช่วยเหลือเลย
สังคมจะเป็นอย่างไรต่อไป กับ "ระบบกล่าวหา" ...ที่ตำรวจดำเนินคดีแบบนี้...หาหลักฐานเอื้อฝ่ายผู้ร้อง...โดยไม่เห็นใจฝ่ายที่ถูกกล่าวหา...แล้วอัยการก็สั่งฟ้องด้วยอ้างว่าตำรวจสั่งฟ้อง...ทุกกระบวนการควรมีกระบวนการไตร่ตรองอย่างเป็นธรรมไม่ใช่หรือ????
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับพี่ชายและคุณพ่อของดิฉันเอง ซึ่งคุณพ่อและพี่ชายต่างก็ต้องการทำมาหากินโดยสุจริต พี่ชายเป็นเพียงผู้เช่าร่วม ส่วนคุณพ่อเป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจให้ช่วยดูแลการปรับปรุงบ่อเพื่อการเลี้ยงกุ้ง ดิฉันเป็นน้องและลูกสาวพบเหตุการณ์นี้และนำสืบเรื่องราวด้วยตนเองนานกว่าครึ่งปี และพบข้อเท็จจริงบางอย่าง จึงทำทุกวิถีทาง ทั้งร้องขอความเป็นธรรมจากกระทรวงยุติธรรม อัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อัยการจังหวัด แต่อัยการจังหวัดเจ้าของคดีกลับตอบมาเช่นนั้น สร้างความงงงวยให้กับพวกเรายิ่งนัก อีกทั้งกระบวนการพิจารณาในเรื่องต่างๆ ที่เราร้องเรียนไปรวมระยะเวลาเกือบ 3 เดือนแล้ว ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ แล้วดิฉันจะทำอย่างไร ใครช่วยได้บ้าง ช่วยตอบที ใครมีประสบการณ์ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ
พวกเรานับเวลาถอยหลังกัน เหลือแค่เพียง 13 วัน 5 ต.ค.นี้ อัยการก็จะนำตัวไปฝากขังที่ศาลแล้วววววว ชีวิตที่สุดแสนจะเศร้า
อยากให้คดีนี้เป็นคดีตัวอย่าง ไม่อยากให้เกิดกับใครทั้งนั้น มันไม่ใช่กระบวนการพิจารณาอย่างยุติธรรมเลย พยายามร้องขอความเป็นธรรมจากทุกๆ ฝ่าย แต่ไร้วี่แวว