จากการศึกษาวิชาฟิสิกส์ทำให้ทราบว่า สิ่งต่างๆประพฤติตามกฎทางฟิสิกส์ เช่นถ้าเราถือวัตถุก้อนหนึ่งแล้ว โยนขึ้นไปบนฟ้า เรารู้มวล รู้แรงที่โยนวัตถุขึ้นไป เราจะสามารถบอกได้ว่า ที่เวลานี้ๆ วัตถุจะอยู่สูงขึ้นไปเท่าใด ด้วยความเร็วเท่าใด วัตถุจะสามารถขึ้นไปสูงสุดกี่เมตรก่อนจะตกลงมา เราสามารถคำนวณได้หมด
แม้จะเป็นการทำโจทย์ให้ง่าย (simplify) ที่เราทำในแบบฝึกหัด ข้อสอบ จากเนื้อหาตำราของปอตรี เพราะระบบจริงๆในธรรมชาติมีตัวแปรที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นมามากมาย การคำนวณก็จะยากขึ้นกว่านี้มาก แต่กระนั้นก็ตาม มันทำให้เรารู้ว่าธรรมชาตินั้นมันมีระบบระเบียบแบบแผน มี เหตุภาพ, ปัจจัยภาพ (Causality) ถ้าเราเข้าใจกฎของธรรมชาติ ซึ่งก็คือฟิสิกส์ และทราบเงื่อนไขเริ่มต้น เราก็สามารถทำนายสิ่งต่างๆได้อย่างแม่นยำ
แต่ที่เราไม่สามารถทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ เพราะระบบมีความซับซ้อนสูงมากและเราทราบข้อมูลต่างๆไม่เพียงพอ แต่แม้เราไม่เข้าใจก็ไม่ได้หมายความว่ามันเกิดขึ้นแบบสุ่ม ไร้เหตุปัจจัย เพราะจริงๆแล้ว ทุกๆสิ่งเกิดขึ้นมาเพราะมีเหตุปัจจัยหนุนต่อเนื่องกันมา
นั้นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมาที่เห็นในตอนนี้นั้น เกิดขึ้นเพราะปัจจัยจากอดีต ต่อทอดกันเป็นเรื่อยๆ นั้นสิ่งต่างๆที่เราทำก็ล้วนเป็นผลมาจากอดีต เราไม่มีอำนาจในการเลือกตัดสินใจอย่างอิสระ (free will) ดังนั้น free will จึงเป็นภาพลวงตา ทุกสิ่งทุกอย่างในเอกภพ รวมทั้งชะตาชีวิตของทุกคนถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่จุดเริ่มต้นการกำเนิดบิกแบง เงื่อนไขเริ่มต้นการกำเนิดเอกภพจะเป็นตัวกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ เราเรียกว่าแนวคิด Predeterminism
แนวคิด Predeterminism เป็นแนวคิดที่บอกว่าทุกสิ่งถูกกำหนดไว้แล้วล่วงหน้า เป็นปรัชญาที่บอกว่า อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทุกเหตุการณ์รวมทั้งชะตาชีวิตของทุกคน แนวคิดนี้จะสัมพันธ์กับนิยัตินิยม (determinism) บอกว่ามันจะมีโซ่เหตุผลไม่ขาดเลย ต่อเนื่องกันมาตลอดตั้งแต่กำเนิดเอกภพ นั้น ทุกเหตุการณ์จะถูกกำหนดไว้หมดแล้ว รวมทั้งชะตาชีวิตของมนุษย์ทุกคนด้วย
ในทางฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์บ้างก็เรียกสิ่งเหล่านี้ว่า Superdeterminism เพราะดังนั้นมันจึงเป็นที่เข้าใจกันว่า อิสระในการเลือก หรือ เจตจำนงค์เสรี (free will) จะถูกจำกัด เนื่องด้วยการกำเนิดเอกภพหรือบิกแบง ที่ทุกๆการวัดจะถูกกำหนดไว้ก่อนแล้วจากบิกแบง
แต่อย่าลืมว่านี่เป็นแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ปรัชญา แตกต่างกับเรื่องหมอดู ดวงชะตาฟ้าลิขิต ทำนายทายทัก ดวง จักรราศี
เพราะทางวิทยาศาสตร์ใช้เรื่องของเหตุและผลมาทำนาย อธิบายปรากฎการณ์ต่างๆ แต่ในระบบที่ซับซ้อน เช่นชีวิตของคน มีปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องมากมายและเป็นเรื่องซับซ้อนมาก แนวคิด determinism ยอมรับว่าทุกอย่างในเอกภพเกิดจากเหตุและผลต่อเนื่องกันไป แต่ตอนนี้มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใจระบบที่ซับซ้อนมากๆได้ แต่ หมอดู นักพยากรณ์ชีวิต กลับสามารถใช้การโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้ามาทำนายชีวิตคน ซึ่งการเคลื่อนที่ของดวงดาวจะไปเกี่ยวอะไรกับชะตาชีวิตของมนุษย์ได้อย่างไร ยังเป็นคำถามที่สำคัญของความน่าเชื่อถือของศาสตร์เหล่านี้
แต่ทั้งหมอดู และแนวคิด determinism ต่างมีจุดยืนร่วมกันตรงที่ ชะตาชีวิตของมนุษย์และทุกสิ่งอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว (Predeterminism)
ถ้าขยายความจากแนวคิดนี้ต่อไป ชีวิตมนุษย์ก็เหมือน หนัง เหมือนละคร ที่ต้องเล่นตามบทไป ทุกสิ่งอย่างทุกกำหนดไว้แล้วทุกเหตุการณ์ตั้งแต่หลังกำเนิดเอกภพจนถึงจุดจบของเอกภพ เราแค่ต้องเล่นตามบทที่ผู้กำกับบอกให้ทำ ผู้กำกับในที่นี้ก็คือธรรมชาติและกฎทางฟิสิกส์ เราไม่มีสิทธิ์จะเล่นนอกบทบาท ทุกท่าทาง ทุกคำพูด สคริปต์ต่างๆถูกเขียนไว้หมดแล้ว แต่ก็ยังโชคดีบ้างระหว่างที่เราเล่นตามบทบาทนี้ เราจะได้สัมผัส มีประสบการณ์ อารมณ์ร่วมกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งสุขและทุกข์ปนเปกันไป
แต่แนวคิดนี้มันถูกต้องจริงหรือ?
-----------------------------
เดี๋ยวมาเขียนต่อครับ ถ้าชอบช่วยกดบวก กดถูกใจด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
- จขกท. สุดหล่อ
==ชะตาชีวิตของทุกคน ทุกสิ่งอย่างในเอกภพถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่บิกแบงกับเรื่องราวการทดลองของลิเบต (Libet Experiment)==
แม้จะเป็นการทำโจทย์ให้ง่าย (simplify) ที่เราทำในแบบฝึกหัด ข้อสอบ จากเนื้อหาตำราของปอตรี เพราะระบบจริงๆในธรรมชาติมีตัวแปรที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นมามากมาย การคำนวณก็จะยากขึ้นกว่านี้มาก แต่กระนั้นก็ตาม มันทำให้เรารู้ว่าธรรมชาตินั้นมันมีระบบระเบียบแบบแผน มี เหตุภาพ, ปัจจัยภาพ (Causality) ถ้าเราเข้าใจกฎของธรรมชาติ ซึ่งก็คือฟิสิกส์ และทราบเงื่อนไขเริ่มต้น เราก็สามารถทำนายสิ่งต่างๆได้อย่างแม่นยำ
แต่ที่เราไม่สามารถทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ เพราะระบบมีความซับซ้อนสูงมากและเราทราบข้อมูลต่างๆไม่เพียงพอ แต่แม้เราไม่เข้าใจก็ไม่ได้หมายความว่ามันเกิดขึ้นแบบสุ่ม ไร้เหตุปัจจัย เพราะจริงๆแล้ว ทุกๆสิ่งเกิดขึ้นมาเพราะมีเหตุปัจจัยหนุนต่อเนื่องกันมา
นั้นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมาที่เห็นในตอนนี้นั้น เกิดขึ้นเพราะปัจจัยจากอดีต ต่อทอดกันเป็นเรื่อยๆ นั้นสิ่งต่างๆที่เราทำก็ล้วนเป็นผลมาจากอดีต เราไม่มีอำนาจในการเลือกตัดสินใจอย่างอิสระ (free will) ดังนั้น free will จึงเป็นภาพลวงตา ทุกสิ่งทุกอย่างในเอกภพ รวมทั้งชะตาชีวิตของทุกคนถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่จุดเริ่มต้นการกำเนิดบิกแบง เงื่อนไขเริ่มต้นการกำเนิดเอกภพจะเป็นตัวกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ เราเรียกว่าแนวคิด Predeterminism
แนวคิด Predeterminism เป็นแนวคิดที่บอกว่าทุกสิ่งถูกกำหนดไว้แล้วล่วงหน้า เป็นปรัชญาที่บอกว่า อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทุกเหตุการณ์รวมทั้งชะตาชีวิตของทุกคน แนวคิดนี้จะสัมพันธ์กับนิยัตินิยม (determinism) บอกว่ามันจะมีโซ่เหตุผลไม่ขาดเลย ต่อเนื่องกันมาตลอดตั้งแต่กำเนิดเอกภพ นั้น ทุกเหตุการณ์จะถูกกำหนดไว้หมดแล้ว รวมทั้งชะตาชีวิตของมนุษย์ทุกคนด้วย
ในทางฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์บ้างก็เรียกสิ่งเหล่านี้ว่า Superdeterminism เพราะดังนั้นมันจึงเป็นที่เข้าใจกันว่า อิสระในการเลือก หรือ เจตจำนงค์เสรี (free will) จะถูกจำกัด เนื่องด้วยการกำเนิดเอกภพหรือบิกแบง ที่ทุกๆการวัดจะถูกกำหนดไว้ก่อนแล้วจากบิกแบง
แต่อย่าลืมว่านี่เป็นแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ปรัชญา แตกต่างกับเรื่องหมอดู ดวงชะตาฟ้าลิขิต ทำนายทายทัก ดวง จักรราศี
เพราะทางวิทยาศาสตร์ใช้เรื่องของเหตุและผลมาทำนาย อธิบายปรากฎการณ์ต่างๆ แต่ในระบบที่ซับซ้อน เช่นชีวิตของคน มีปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องมากมายและเป็นเรื่องซับซ้อนมาก แนวคิด determinism ยอมรับว่าทุกอย่างในเอกภพเกิดจากเหตุและผลต่อเนื่องกันไป แต่ตอนนี้มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใจระบบที่ซับซ้อนมากๆได้ แต่ หมอดู นักพยากรณ์ชีวิต กลับสามารถใช้การโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้ามาทำนายชีวิตคน ซึ่งการเคลื่อนที่ของดวงดาวจะไปเกี่ยวอะไรกับชะตาชีวิตของมนุษย์ได้อย่างไร ยังเป็นคำถามที่สำคัญของความน่าเชื่อถือของศาสตร์เหล่านี้
แต่ทั้งหมอดู และแนวคิด determinism ต่างมีจุดยืนร่วมกันตรงที่ ชะตาชีวิตของมนุษย์และทุกสิ่งอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว (Predeterminism)
ถ้าขยายความจากแนวคิดนี้ต่อไป ชีวิตมนุษย์ก็เหมือน หนัง เหมือนละคร ที่ต้องเล่นตามบทไป ทุกสิ่งอย่างทุกกำหนดไว้แล้วทุกเหตุการณ์ตั้งแต่หลังกำเนิดเอกภพจนถึงจุดจบของเอกภพ เราแค่ต้องเล่นตามบทที่ผู้กำกับบอกให้ทำ ผู้กำกับในที่นี้ก็คือธรรมชาติและกฎทางฟิสิกส์ เราไม่มีสิทธิ์จะเล่นนอกบทบาท ทุกท่าทาง ทุกคำพูด สคริปต์ต่างๆถูกเขียนไว้หมดแล้ว แต่ก็ยังโชคดีบ้างระหว่างที่เราเล่นตามบทบาทนี้ เราจะได้สัมผัส มีประสบการณ์ อารมณ์ร่วมกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งสุขและทุกข์ปนเปกันไป
แต่แนวคิดนี้มันถูกต้องจริงหรือ?
-----------------------------
เดี๋ยวมาเขียนต่อครับ ถ้าชอบช่วยกดบวก กดถูกใจด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
- จขกท. สุดหล่อ