It (Chapter 1) (2017): เราจะผ่าน 'มัน' ไปด้วยกัน

กระทู้สนทนา
จำได้ว่ารู้จักเรื่อง It (1990) ครั้งแรกตั้งแต่สมัยประถมจากปกวีดีโอ VHS ร้านก๊อปจากต้นฉบับมาเอง ติดตากับภาพตัวตลกกับมือยาวน่าขยะแขยง จนขอให้ป้าซื้อมาให้ดู (Arunee Ekatan)

ปรากฏดูไปงงไปปะติดปะต่อเรื่องไป ก็นึกว่าหนังมันงง ๆ ตามประสาเด็ก จนมารู้ภายหลังว่าม้วนที่ซื้อมามันเป็น ภาค 2 ในวัยผู้ใหญ่แล้วนี่หว่า (ฮา)

ไทม์ไลน์ของการดู It ของผมจึงเป็น เวอร์ชันแรก Part 2 และเวอร์ชันใหม่ Chapter 1 ราวกับสตอรี่บอร์ดของโนแลน -_-

ครั้งที่ได้รู้ว่าจะมีการสร้าง It ขึ้นมาอีกครั้ง และตัวอย่างจากกองถ่าย ก็เกรงใจว่าจะเป็นหนังห่วย และหนังเจ๊งได้ไม่ยาก เพราะนิยายเรื่องนี้เป็นนิยายสยองรุ่นเก่าที่เน้นบรรยากาศ และมีรายละเอียดมาก การทำหนังตัวตลกแบบนี้ถ้าคุมไม่ดีหรือมือไม่ถึงก็อาจกลายเป็นหนังสยองเกรดบีได้ไม่ยากเลย (แล้วผมเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้นเสียด้วย)

ปรากฏว่าเมื่อได้รับชมจริง นี่คือการคาดหนังที่พลาดครั้งใหญ่ของตัวเอง เพราะนอกจากมันจะเป็นหนังชั้นดีแล้ว คุณค่าของหนังเรื่องนี้ยังไปไกลกว่าความสยองขวัญ จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้า สตีเฟน คิง เคยชื่นชม งานที่กลายเป็นหนังโดย Frank Darabont อย่าง The Shawshank Redemption (1994) และ The Mist (2007) แล้ว เขาก็คงปลื้มใจกับ Andy Muschietti ที่ดัดแปลงงานนิยายหนาเตอะให้มาเป็นหนังที่สื่อแก่นของเรื่องได้ดีเช่นนี้

จะบอกคุณความดีคุ้มค่าตั๋วของหนังเรื่องนี้ง่าย ๆ คือ เหมือนคุณซื้อตั๋วใบเดียว แต่ได้ดูหนังดีสองเรื่องพร้อมกัน เรื่องแรกเป็นหนัง Coming of Age ที่เล่าถึงการเติบโตของเด็ก ปมปัญหา การเรียนรู้ ต่อสู้ มิตรภาพ ความรัก ความสามัคคี และการเอาชนะใจตัวเองเพื่อจะก้าวผ่าน ราวกับหนังแนวนี้ในตำนานอย่าง Stand by me (1986) (ซึ่งก็มาจากงานเขียนของคิงอีกเช่นกัน)

ขณะที่หนังอีกเรื่องก็เป็นหนังสยองขวัญที่ทำได้ "ถึง" และมีชั้นเชิง เล่นกับปมจิตวิทยาความกลัวและปัญหาในใจของคน เพราะเป็นความกลัวในวัยเด็กที่ทุกคนต่างเคยผ่านมาทั้งนั้น ขณะที่งานโปรดักชั่นก็ทำได้อย่างถึงเลือดถึงเนื้อไม่ประนีประนอมกับหน้าฉากที่เป็นเรื่องของวัยเด็ก

Andy Muschietti นอกจากจะคุมโทนทั้งสองฝั่งของเรื่องนี้ได้อยู่ตลอดสองชั่วโมง เขายังใส่รายละเอียด และ gimmick เพื่อเป็นการคารวะหนังสยองขวัญยุค 80-90's ได้ฉลาดในการทำให้ร่วมสมัยและกลืนไปกับช่วงเวลาตามเนื้อเรื่อง รวมไปถึงบทที่ใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ มาสื่อถึงปมจิตวิทยาในใจตัวละครรวมไปถึงผู้ชมที่เราจะสามารถ "อิน" ไปด้วยไม่ยากเลย

ฝั่งตัวละครต่าง ๆ ก็แคสมาได้เยี่ยมและแสดงได้ชวนจดจำ ทั้งที่เรื่องนี้มีตัวละครเยอะ แต่ก็สามารถกระจายบทได้ไม่มากน้อยเกินไป ทำให้คนดูที่เคยต่างเป็น "ขี้แพ้" เจอปัญหามาในวัยเด็กไม่ต่างจากหนึ่งในหลายตัวละครจะซึมซับราวกับดูเรื่องของตัวเองหรือเพื่อนเก่า ขณะที่ "มัน" ก็ลบภาพตัวตลกโรคจิตจากต้นฉบับให้กลายเป็นอสูรประจำเมืองที่คอยกัดกินเด็กน้อยจากความกลัวได้ชวนขนลุก และใช้ประโยชน์จากเอฟเฟคสมัยใหม่เพื่อรองรับจินตการจากบทที่พัฒนาขึ้นมาให้ร่วมสมัยได้เหมาะสม ขณะที่มุขตลกเรียกรอยยิ้มก็ถูกวางได้พอดีจนไม่ทำให้เรื่องเสียไป

โดยเฉพาะหากคุณเป็นเด็กที่เติบโตมาในยุค 70-90's ที่ยังไม่มีเทคโนโลยีใด ๆ มาดึงไปจากการใช้ชีวิตแบบคลุกฝุ่น เรื่องนี้ก็จะถึงให้คุณถวิลหาไปกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ถูกวางไว้ ถึงจะอยู่คนละวัฒนธรรมก็ตาม

ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดนี้ในการเล่นกับปมจิตวิทยา การเติบโตของวัยเยาว์ ความกลัวของมนุษย์ ความบันเทิง และการถวิลหา ที่ถูกพ่อครัวกำกับปรุงอย่างกลมกล่อม จึงไม่ยากที่จะตัดสินว่านี่คือหนังสยองที่ถูกจริตและยอดเยี่ยมในรอบหลายปีสำหรับผม จนอดรอ Chapter ต่อไปที่เป็นแก่นของเรื่องและทำให้นิยายเรื่องนี้คลาสสิคกว่านิยายสยองอื่น กับการหยอกเย้าเรื่องระหว่างความฝันวัยเด็กกับชีวิตจริงวัยเติบโตแทบไม่ไหว

แด่เด็กทุกคนที่เติบโตในศตวรรษที่ 20

10/10 สำหรับหนังสยองดีงามเรื่องหนึ่งจะพึงให้ได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่