เริ่มจากสิ่งที่ผมชอบก่อน...
1. ซีนในห้องน้ำที่เต็มไปด้วยเลือด แต่พ่อ Beverly กลับมองไม่เห็น มันแสดงให้เห็นว่า “ปัญหาที่หนักสำหรับเด็ก บางทีผู้ใหญ่ก็มองไม่เห็น”
2. คำพูดที่ "He thrusts his fists against the posts and still insists he sees the ghosts." คือคำพูดที่ บะ บะ บิล พูดเพื่อเพิ่มความกล้าให้ตัวเองและเป็นการฝึกให้บิลไม่ติดอ่าง เราจะเห็นว่าตอนหลังเจ้า “IT” ก็พูดประโยคเดียวกับบิลเพราะเห็นว่า ตอนบิลพูด มันทำให้บิลมีพลังมากขึ้น ก็เลยทำตาม ด้วยความหมายของประโยคนี้มันแสดงออกถึงความไม่กลัว ความกล้า ความแน่วแน่ ความมั่นใจ
3. ซีนแรกที่ pennywise คุยกับจอร์จี้แบบตัวตลกในสวนสนุก เพื่อให้ จอร์จี้นั้นเชื่อใจ แต่พอคุยไปเรื่อย จอร์จี้เริ่มปรับตัวได้ ไม่กลัว มีความสุข จากนั้นหน้าของ Pennywise ก็หยุดยิ้มแบบจิตๆ เพื่อให้ จอร์จี้กลัว จะได้มีพลัง
4. จริงๆเรื่องนี้มีความรุนแรงในฉบับนิยายมากมาย แต่ ผกก เรื่องจะนำเสนอเพียงแค่ ซีนของ จอร์จี้ ที่มันก็ไม่ได้โหดถ้าทำกับผู้ใหญ่ แต่มันส่งอารมณ์ให้กับคนดูถึงกับเอามือปิดปาก ถือเป็นการเริ่มต้นที่มีพลังมาก
5. เป็นหนังสอนเด็กที่พยายามให้เด็กนั้น เอาชนะ ความกลัวของตัวเองให้ได้ แต่... บางทีก็สำเร็จเกินไป จนมีข่าวเด็กๆรุมทำร้ายตัวตลกในงานวันเกิด ฮ่าๆ “ถ้าเราไม่กลัว มันก็ทำอะไรเราไม่ได้”
6. หนังแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของการเหยียดผิว ดูถูกคนที่ต่ำกว่า พวก Bully มันรุนแรงมากและระบาดอย่างหนังใน America โดยเฉพาะใน High School มากไปกว่านั้น ผกก. ลงรายละเอียดถึงสาเหตุของการชอบแกล้งคนอื่นผ่าน “พ่อแม่ทำร้ายฉัน”
7. หนังพยายามทำให้เห็นถึงพัฒนาการทางด้านความคิดของตัวละครทั้งหมด โดยค้ำด้วยคำว่า LOSER ที่เราเห็นได้ว่าทุกคนไม่ได้เป็น LOSER อย่างที่พวกเค้าถูกเรียกกัน หนังพยายามปูเรื่องให้เราเอาใจช่วยตัวละครถึง 7 ตัวละครหลัก ทำให้เรารู้สึกมีอารมณ์ร่วมและคอยเอาใจช่วย ซึ่งทำให้หนังมีความยาวมาก (บางคนบอกว่าน่าเบื่อ แต่ผมชอบมาก)
8. เป็นหนังบรรยากาศยุค 80 (ต้นฉบับยุค 50) ที่ตลบอบอวลไปด้วย ดนตรี, ทรงผม, การแต่งตัว, ตู้เกม, ปั่นจักรยานที่
จะทิ้งจักรยานไว้ตรงไหนก็ได้
9. Quote ของเรื่องที่ฟังแล้วรู้สึกปลื้มปริ่มมากคือที่ บิล บอกกับเพื่อนๆว่า “
การเดินเข้าบ้านหลังนี้ มันสบายใจกว่าเดินเข้าบ้านตัวเองเสียอีก” มันมีพลังมากจริงๆ เออกุเชื่อละว่ารักน้องจริงๆ จนคนดูทั้งหลายต่างพร้อมกันเปย์ให้
10. ฉากกรีดเลือดสาบาน ทุกคนแสดงความเจ็บปวดออกมาไม่เหมือนกัน ชอบรายละเอียดตรงนี้มาก Eddie เป็นคนเดียวที่พยายามจะดึงมือออก และรู้สึกขยักแขยงเลือดในมือคนอื่น และที่ชอบมาก มากที่สุดของเรื่องเลย คือ Beverly นางแค่ขยิบตาตอบรับความเจ็บปวด เห้ย! มันเป็นรายละเอียดที่นักแสดงตีความออกมาได้โคตรมีพลัง อารมณ์แบบ ที่ผ่านมากูเจ็บกว่านี้เยอะ มันเป็นการแสดงที่ masterpiece มากจริงๆ
11. Stanley เป็นตัวละครที่น่าสนใจมาก เพราะถ้าเราสังเกต เค้ามีพฤติกรรมที่ไม่ค่อยไว้ใจคนอื่นเลย ไม่กล้าเปิดใจ ดูเป็นคนที่เหมือนจะกล้าหาญ แต่ก็กลัว (ที่ไม่เข้าไปช่วย บิล ตามหาน้องในท่อ) หรือจะเป็นที่เพื่อนๆกอดกันตอนที่ Beverly ฟื้น Stanley เลือกที่จะยืนเฉยๆ ตอนจบเค้าได้ทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ว่า “ฉันเกลียดแก” มันเป็นคำพูดจากใจด้วยซ้ำ แล้วยิ้มส่งท้ายเพื่อแสดงให้เห็นว่าเค้าเริ่มจะเปิดใจ อีกอย่างหนึ่งเรายังสังเกตได้ว่า ตอนแรก Eddie ก็กลัว ป๊อดเหมือนกับ Stanley แต่เขาก็สามารถเอาชนะความกลัวของตัวเองได้ มีเพียง Stanley เท่านั้นที่ยังไม่สามารถเอาชนะได้อย่างแท้จริง และ ออกจากวงสาบานเป็นคนแรก (อาจจะเป็นไปได้ว่า ลำดับของการออกจากวงสาบาน คือ ลำดับการตายในวัยผู้ใหญ่ ซึ่ง Stanley ออกเป็นคนแรก)
12. ทุกตัวละครที่กล่าวมาเป็นเพียงแค่เด็กที่มีความคิด ความกลัว มีพื้นฐานของตัวละครที่แน่นมาก แสดงได้มีมิติมาก ถือเป็นงานยากสำหรับนักแสดงผู้ใหญ่ที่จะมารับช่วงต่อในวัย 30+ ที่ไม่รู้ว่าจะเล่นออกมาได้ตรงกับจิตใต้สำนึกของตัวละครหรือไม่ จริงๆ แอบอยากให้ภาค 2 มันเข้าตอน 2044 ด้วยซ้ำ อยากได้นักแสดงชุดเดิมกลับมาเล่นอีก ฮ่าๆ แล้วจะสัญญาว่า แอด จะไม่ยอมตาย จนกว่าจะได้ดูภาค 2
13. ในภาคผู้ใหญ่ “เมื่อเด็กๆโตขึ้น ความคิดก็ย่อมเปลี่ยนไป” ความน่ากลัวในวัยโต มันจะเป็นคนละคนแบบกับวัยเด็ก ความกลัวของผู้ใหญ่บางทีมันรุนแรงถึงขั้น ฆ่าตัวตาย เพื่อที่จะหนีปัญหา... อยู่ที่ว่าจะมีซักกี่คนใน 7 คนนี้เลือกที่จะต่อสู้กับปัญหา ซึ่งความกลัวในวัยเด็กขอ ยกให้ Beverly เลยที่มันรุนแรงมากจริงๆ และ บิล ที่กลัวการสูญเสีย ซึ่งเราอาจจะได้เห็นในวัยที่โตขึ้น
EASTER EGGS ต่างๆ
1. ซีนห้องที่เต็มไปด้วยตัวตลก ถ้าเราสังเกตดีๆจะเห็น “IT” เวอร์ชัน 1990 ของ Tim curry
2. ในเวอร์ชั่น 1990 เด็กแว่น Richie กลัวมนุษย์หมาป่ามากจากเรื่อง I Was A Teenage Werewolf (เด็กๆในยุค 50 กลัวพวก mummies, Gill-men, or Frankenstein's monsters )
3. ในซีนที่แรกที่สำรวจท่อ ผะ ผะ ผัว ของหลายๆ ใส่เสื้อที่เขียนว่า Tracker Bros. มันมาจาก Tracker Brothers ซึ่งเป็น shipping company ของเมือง Derry และเป็นสถานที่ ที่ Eddie ตอนโต เจอกับ “มัน” เป็นครั้งแรก ตอนที่เค้ากลับมารวมตัวกับเพื่อนๆที่เมือง Derry ซึ่ง Tracker Brothers นั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของนิยายของ Dreamcatcher ของ Stephen King
4. เสื้อของ Eddie เป็นรูปรถ ซึ่งมันเป็นรถผี Christine ซึ่งเป็นหนังในปี 1983 และยังเป็นผลงานสยองขวัญของ Stephen King อีกด้วย ผกก เก็บรายละเอียดไว้ดีจัง
5. จะเห็นได้ว่า หนังยิงกล้องไปที่ คำว่า “Silver” บนจักรยานของ บะ บะ บิล จริงๆแล้วมันเป็นการสื่อเพื่อเคารพต้นฉบับ เพราะ จักรยาน คันนี้เป็นคันโปรดของ บิล ที่เคยช่วยชีวิตคน 2 คน นั่นก็คือ Eddie ที่กำลังเป็นหอบหืด และ ตอนโต บิล ก็ปั่นจักรยานคันนี้ไปเขย่าภรรยากลางสี่แยกไฟแดงให้ตื่นจากอาการอัมพาต ที่เจ้า “IT” มันทำ
6. ซีนที่ Mike เห็นภาพมือ พยายามจะแยกประตูออกมา ข้างๆมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง บุคคลในภาพคือ The Bradley Gang เป็นพวกนักเลงนอกกฎหมายที่สุดท้ายโดย ชาว Derry ฆ่าตาย และนั่นคือครั้งล่าสุดที่ Pennywise
7. ในหนังมีการพูดถึงเต่า 2 ครั้ง ครั้งแรก คือ เลโก้ ของ จอร์จี้ ที่ต่อเป็นรูปเต่า กับ เต่าที่เพื่อนๆชี้ให้ดูใต้น้ำ เต่าคือศัตรูของ IT ในเมื่อ IT มันกินความกลัว เต่ามันก็กินความรัก ฮ่าๆ และเป็นฮีโร่ตัวสำคัญในจักรวาลของ Stephen King หรืออยู่ในเรื่อง Dark Tower ด้วยชื่อ Maturin
8.
“I HEART DERRY” เขียนอยู่บนลูกโป่งที่อยู่ในท่อน้ำ ในซีนที่ แพทริค โดนไล่ล่า มันเป็นการบอกเป็นนัย ว่า แพทริค เป็นชายรักชาย เพราะ ในนิยายมีการกล่าวถึงประวัติของ Adrian เกย์ใส่หมวก “I heart Derry” ที่ถูกโยนลงสะพานโดยพวกเหยียดเพศ และในนิยาย ไฟ ยังมีความเกี่ยวข้องกับแพทริคอีกด้วย เพราะในนิยายแพทริค ชอบตดใส่ไฟ ให้มันระเบิด เชื่อว่าหลายๆคนเคยทำ ฮ่าๆ และ แพทริคก็ยังเป็นเกย์ด้วย เพราะ มีเหตุการณ์นึงที่ แพทริค กับ เฮนรี่ (หัวหน้าแก๊ง) อยู่ในสภาพโป๊เปลือย จากนั้น แพทริค ก็เริ่ม ชัก*** ให้เฮนรี่ แล้วก็เสนอการใช้ “ปาก” ให้กับเฮนรี่
9. ลำดับของการออกจากวงสาบาน อาจจะหมายถึงลำดับการตาย (ตามฉบับ 1990) ที่ สแตนลี่ ออกไปก่อน ตามด้วย เอ็ดดี้
สิ่งที่ผู้กำกับนำมาถ่ายทอดแทนฉากรุนแรงในนิยาย ที่ ผกก. นำเสนอออกมาเพื่อเคารพต้นฉบับ
1.
ฉากช่วยตัวเอง :
เหตุการณ์เกิดขึ้นที่สนามในโรงเรียนในขณะที่ Beverly แอบมอง Henry (ลูกตำรวจที่คอยแกล้งคนอื่น) กับ Patrick (ลูกน้องเฮนรี่ที่ในหนังใช้สเปรย์พ่นไฟ) ทั้งสองคนกำลังโป๊เปลือย และตดใส่ไฟแชคให้เปลวไฟพุ่งออกมา ซักพักนึง แพทริค ก็เริ่ม ชัก*** ให้ เฮนรี่ แล้วเฮนรี่ก็เริ่มคราง นอนผ่อนคลาย แพทริค ก็เสนอใช้ “ปาก” ให้กับเฮนรี่
ฉากนี้ถึงแม้เราจะไม่ได้เห็นในภาพยนตร์ แต่มันก็มีสอดแทรกมาบ้าง เช่น Patrick ชอบใช้ไฟ และ ซีนที่เข้าไปในท่อระบายน้ำ มันจะมีลูกโปร่งลอยมาแล้วจะมีคำว่า “I heart Derry” คือในฉบับนิยายจะมีตอนนึงพูดถึง Andrian ผู้ชายที่เป็นเกย์ถูกรุมทำร้ายแล้วโยนจากสะพานโดยพวกเหยียดเพศ Andrian ใส่หมวกที่เขียนว่า “I Heart Derry” อาจจะเป็นไปได้ว่า หนังต้องการจะสื่อว่า Patrick เองก็เป็นชายรักชาย
2.
ฉากเซกส์หมู่ :
หลังจากที่เด็กๆ เอาชนะ “มัน” ได้ พวกเขาก็ไม่สามารถหาทางออกจากท่อระบายน้ำได้ พวกเด็กๆเริ่มแตกคอกันในความมืด Beverly ก็เกิดไอเดียที่จะทำให้เพื่อนๆกับมารักกันโดยการเสนอให้ทุกคน เย เธอได้ทีละคนเริ่มด้วย เอ็ดดี้ (เด็กขี้โรค)
Beverly : เอาจู๋ของเธอใส่เข้ามาในตัวฉัน
Beverly ก็ร้องครวญครางด้วยความเสียว เมื่อ เอ็ดดี้ เสร็จใน ใส่เธอ ก็ตามด้วย ไมค์ หนุ่มผิวสี, ริชชี่ , สแตนลีย์ , เบน และ บิล ตามลำดับ ในบรรดาทั้งหมดนี่ เบน เด็กอ้วนเรา ใหญ่ สุดนะครับ!!! นางเบฟบอกว่านางเจ็บ บรรยายซะ...
ฉากนี้ถึงแม้ว่าเราไม่ได้เห็นในภาพยนตร์ แต่ก็แอบมีการแทรกมาให้เข้าใจบ้าง ตอนที่พ่อของ เบฟ ถามว่า “เธอยอมเด็กพวกนั้นในป่านั่นใช่ไหม” หรือ ซีนที่ทุกคนจ้องมองตอน เบฟ อาบแดด หรือ ซีนที่เลือดประจำเดือนของเบฟหยดลงพื้น(เธอกำลังจะก้าวสู่วัยรุ่น)
แต่จะว่าไปเรื่องนี้ก็กลายเป็น talk of the town เพราะมีคนดูส่วนนึงกลับมองว่า มันไม่ดีเลยที่จะตัดซีนนี้ออกไป ไม่เคารพนิยายเอาซะเลย หรือ มันไม่เห็นจะผิดตรงไหนเลย ถ้าเด็กจะมีเซกส์กัน โดยให้เหตุผลว่า เบฟ คิดจริงๆว่า มันเป็นวิธีเดียวที่จะรวมกันเป็นหนึ่ง เป็นเหตุการณ์ที่เมื่อทุกคนโตไปอีก 27 ปีข้างหน้า ทุกคนจะจำเหตุการณ์นี้แล้วกลับมาตามที่สัญญาจริงๆ และ เบฟรู้ว่า การแสดงความรักแบบนี้มันเป็นการเพิ่มพลังให้กับ Maturin (เป็นฝ่ายดีที่เป็นศัตรูกับ IT) สุดท้ายทั้งกลุ่มก็สามารถหนีออกจากท่อระบายน้ำได้ (สอดไว้ตรงที่ จอร์จี้พูดกับบิลว่า หาทางออกจากที่นี่ไม่ได้) คนดูก็ยังบอกอีกว่ากับการ ฆาตกรรมที่โหดร้ายในเรื่อง ทำไมถึงยอมรับกันได้ กับอีแค่ เซกส์ (วิธีทางธรรมชาติ) กลับกระแดะยอมรับไม่ได้ อีกอย่างก็แค่เด็ก เย กับเด็ก มันแสดงให้เห็นแบบชัดเจนว่า พวกเค้ากำลังก้าวข้ามเข้าสู่วัยรุ่น อย่างแท้จริง
อีกกลุ่มมองว่า มันเป็นตรรกะที่ วิปริตมาก King มันโรคจิต เขียนบทแต่ละเรื่อง มันมีวิธีแก้ปัญหามากกว่านั้นตั้งเยอะ ตัว ผกก เองก็บอกว่า ผมไม่อยากใส่เพราะว่า คนดูจะหวือหวามันเซกส์ซีน มากกว่า ความน่ากลัวหรือเส้นเรื่องที่ทำมา มันจะให้อารมณ์เหมือนหนังคนละเรื่องไปเลย แต่ก็แอบแทรกประเด็นต่างๆ ไว้เคารพฉบับนิยาย และ King เองก็ชอบมากๆด้วย (ชอบไม่จำเป็นต้องสยองสำหรับ King)
ปล. จริงๆมันก็ไม่ควรมีอะเนอะ แต่ก็แอบอยากฟังเหตุผลของคนที่คิดว่า ควรมีในภาพยนตร์ ...
ถ้าชอบยังไงก้ฝากติดตามพวกผมได้ที่เพจ
https://www.facebook.com/filmotion.rp/ เพื่อติดตามข่าวสารต่างๆ รีวิวหนัง และ การทำหนังสั้นในเร็วๆนี้ด้วยนะครับ ทิ้งด้วยภาพคนที่เด็กๆอยากให้มาเล่นในวัยโต
ที่มาของ easter egg
http://www.looper.com/84888/easter-eggs-missed/sl/exit-order
สิ่งที่ชอบมากในเรื่อง IT และ Easter Egg ต่างๆ (สปอยมาก สปอยที่สุด ยังไม่ได้ดูเลื่อนข้ามโพสนี้ได้เลย)
1. ซีนในห้องน้ำที่เต็มไปด้วยเลือด แต่พ่อ Beverly กลับมองไม่เห็น มันแสดงให้เห็นว่า “ปัญหาที่หนักสำหรับเด็ก บางทีผู้ใหญ่ก็มองไม่เห็น”
2. คำพูดที่ "He thrusts his fists against the posts and still insists he sees the ghosts." คือคำพูดที่ บะ บะ บิล พูดเพื่อเพิ่มความกล้าให้ตัวเองและเป็นการฝึกให้บิลไม่ติดอ่าง เราจะเห็นว่าตอนหลังเจ้า “IT” ก็พูดประโยคเดียวกับบิลเพราะเห็นว่า ตอนบิลพูด มันทำให้บิลมีพลังมากขึ้น ก็เลยทำตาม ด้วยความหมายของประโยคนี้มันแสดงออกถึงความไม่กลัว ความกล้า ความแน่วแน่ ความมั่นใจ
3. ซีนแรกที่ pennywise คุยกับจอร์จี้แบบตัวตลกในสวนสนุก เพื่อให้ จอร์จี้นั้นเชื่อใจ แต่พอคุยไปเรื่อย จอร์จี้เริ่มปรับตัวได้ ไม่กลัว มีความสุข จากนั้นหน้าของ Pennywise ก็หยุดยิ้มแบบจิตๆ เพื่อให้ จอร์จี้กลัว จะได้มีพลัง
4. จริงๆเรื่องนี้มีความรุนแรงในฉบับนิยายมากมาย แต่ ผกก เรื่องจะนำเสนอเพียงแค่ ซีนของ จอร์จี้ ที่มันก็ไม่ได้โหดถ้าทำกับผู้ใหญ่ แต่มันส่งอารมณ์ให้กับคนดูถึงกับเอามือปิดปาก ถือเป็นการเริ่มต้นที่มีพลังมาก
5. เป็นหนังสอนเด็กที่พยายามให้เด็กนั้น เอาชนะ ความกลัวของตัวเองให้ได้ แต่... บางทีก็สำเร็จเกินไป จนมีข่าวเด็กๆรุมทำร้ายตัวตลกในงานวันเกิด ฮ่าๆ “ถ้าเราไม่กลัว มันก็ทำอะไรเราไม่ได้”
6. หนังแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของการเหยียดผิว ดูถูกคนที่ต่ำกว่า พวก Bully มันรุนแรงมากและระบาดอย่างหนังใน America โดยเฉพาะใน High School มากไปกว่านั้น ผกก. ลงรายละเอียดถึงสาเหตุของการชอบแกล้งคนอื่นผ่าน “พ่อแม่ทำร้ายฉัน”
7. หนังพยายามทำให้เห็นถึงพัฒนาการทางด้านความคิดของตัวละครทั้งหมด โดยค้ำด้วยคำว่า LOSER ที่เราเห็นได้ว่าทุกคนไม่ได้เป็น LOSER อย่างที่พวกเค้าถูกเรียกกัน หนังพยายามปูเรื่องให้เราเอาใจช่วยตัวละครถึง 7 ตัวละครหลัก ทำให้เรารู้สึกมีอารมณ์ร่วมและคอยเอาใจช่วย ซึ่งทำให้หนังมีความยาวมาก (บางคนบอกว่าน่าเบื่อ แต่ผมชอบมาก)
8. เป็นหนังบรรยากาศยุค 80 (ต้นฉบับยุค 50) ที่ตลบอบอวลไปด้วย ดนตรี, ทรงผม, การแต่งตัว, ตู้เกม, ปั่นจักรยานที่จะทิ้งจักรยานไว้ตรงไหนก็ได้
9. Quote ของเรื่องที่ฟังแล้วรู้สึกปลื้มปริ่มมากคือที่ บิล บอกกับเพื่อนๆว่า “การเดินเข้าบ้านหลังนี้ มันสบายใจกว่าเดินเข้าบ้านตัวเองเสียอีก” มันมีพลังมากจริงๆ เออกุเชื่อละว่ารักน้องจริงๆ จนคนดูทั้งหลายต่างพร้อมกันเปย์ให้
10. ฉากกรีดเลือดสาบาน ทุกคนแสดงความเจ็บปวดออกมาไม่เหมือนกัน ชอบรายละเอียดตรงนี้มาก Eddie เป็นคนเดียวที่พยายามจะดึงมือออก และรู้สึกขยักแขยงเลือดในมือคนอื่น และที่ชอบมาก มากที่สุดของเรื่องเลย คือ Beverly นางแค่ขยิบตาตอบรับความเจ็บปวด เห้ย! มันเป็นรายละเอียดที่นักแสดงตีความออกมาได้โคตรมีพลัง อารมณ์แบบ ที่ผ่านมากูเจ็บกว่านี้เยอะ มันเป็นการแสดงที่ masterpiece มากจริงๆ
11. Stanley เป็นตัวละครที่น่าสนใจมาก เพราะถ้าเราสังเกต เค้ามีพฤติกรรมที่ไม่ค่อยไว้ใจคนอื่นเลย ไม่กล้าเปิดใจ ดูเป็นคนที่เหมือนจะกล้าหาญ แต่ก็กลัว (ที่ไม่เข้าไปช่วย บิล ตามหาน้องในท่อ) หรือจะเป็นที่เพื่อนๆกอดกันตอนที่ Beverly ฟื้น Stanley เลือกที่จะยืนเฉยๆ ตอนจบเค้าได้ทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ว่า “ฉันเกลียดแก” มันเป็นคำพูดจากใจด้วยซ้ำ แล้วยิ้มส่งท้ายเพื่อแสดงให้เห็นว่าเค้าเริ่มจะเปิดใจ อีกอย่างหนึ่งเรายังสังเกตได้ว่า ตอนแรก Eddie ก็กลัว ป๊อดเหมือนกับ Stanley แต่เขาก็สามารถเอาชนะความกลัวของตัวเองได้ มีเพียง Stanley เท่านั้นที่ยังไม่สามารถเอาชนะได้อย่างแท้จริง และ ออกจากวงสาบานเป็นคนแรก (อาจจะเป็นไปได้ว่า ลำดับของการออกจากวงสาบาน คือ ลำดับการตายในวัยผู้ใหญ่ ซึ่ง Stanley ออกเป็นคนแรก)
12. ทุกตัวละครที่กล่าวมาเป็นเพียงแค่เด็กที่มีความคิด ความกลัว มีพื้นฐานของตัวละครที่แน่นมาก แสดงได้มีมิติมาก ถือเป็นงานยากสำหรับนักแสดงผู้ใหญ่ที่จะมารับช่วงต่อในวัย 30+ ที่ไม่รู้ว่าจะเล่นออกมาได้ตรงกับจิตใต้สำนึกของตัวละครหรือไม่ จริงๆ แอบอยากให้ภาค 2 มันเข้าตอน 2044 ด้วยซ้ำ อยากได้นักแสดงชุดเดิมกลับมาเล่นอีก ฮ่าๆ แล้วจะสัญญาว่า แอด จะไม่ยอมตาย จนกว่าจะได้ดูภาค 2
13. ในภาคผู้ใหญ่ “เมื่อเด็กๆโตขึ้น ความคิดก็ย่อมเปลี่ยนไป” ความน่ากลัวในวัยโต มันจะเป็นคนละคนแบบกับวัยเด็ก ความกลัวของผู้ใหญ่บางทีมันรุนแรงถึงขั้น ฆ่าตัวตาย เพื่อที่จะหนีปัญหา... อยู่ที่ว่าจะมีซักกี่คนใน 7 คนนี้เลือกที่จะต่อสู้กับปัญหา ซึ่งความกลัวในวัยเด็กขอ ยกให้ Beverly เลยที่มันรุนแรงมากจริงๆ และ บิล ที่กลัวการสูญเสีย ซึ่งเราอาจจะได้เห็นในวัยที่โตขึ้น
EASTER EGGS ต่างๆ
1. ซีนห้องที่เต็มไปด้วยตัวตลก ถ้าเราสังเกตดีๆจะเห็น “IT” เวอร์ชัน 1990 ของ Tim curry
2. ในเวอร์ชั่น 1990 เด็กแว่น Richie กลัวมนุษย์หมาป่ามากจากเรื่อง I Was A Teenage Werewolf (เด็กๆในยุค 50 กลัวพวก mummies, Gill-men, or Frankenstein's monsters )
3. ในซีนที่แรกที่สำรวจท่อ ผะ ผะ ผัว ของหลายๆ ใส่เสื้อที่เขียนว่า Tracker Bros. มันมาจาก Tracker Brothers ซึ่งเป็น shipping company ของเมือง Derry และเป็นสถานที่ ที่ Eddie ตอนโต เจอกับ “มัน” เป็นครั้งแรก ตอนที่เค้ากลับมารวมตัวกับเพื่อนๆที่เมือง Derry ซึ่ง Tracker Brothers นั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของนิยายของ Dreamcatcher ของ Stephen King
4. เสื้อของ Eddie เป็นรูปรถ ซึ่งมันเป็นรถผี Christine ซึ่งเป็นหนังในปี 1983 และยังเป็นผลงานสยองขวัญของ Stephen King อีกด้วย ผกก เก็บรายละเอียดไว้ดีจัง
5. จะเห็นได้ว่า หนังยิงกล้องไปที่ คำว่า “Silver” บนจักรยานของ บะ บะ บิล จริงๆแล้วมันเป็นการสื่อเพื่อเคารพต้นฉบับ เพราะ จักรยาน คันนี้เป็นคันโปรดของ บิล ที่เคยช่วยชีวิตคน 2 คน นั่นก็คือ Eddie ที่กำลังเป็นหอบหืด และ ตอนโต บิล ก็ปั่นจักรยานคันนี้ไปเขย่าภรรยากลางสี่แยกไฟแดงให้ตื่นจากอาการอัมพาต ที่เจ้า “IT” มันทำ
6. ซีนที่ Mike เห็นภาพมือ พยายามจะแยกประตูออกมา ข้างๆมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง บุคคลในภาพคือ The Bradley Gang เป็นพวกนักเลงนอกกฎหมายที่สุดท้ายโดย ชาว Derry ฆ่าตาย และนั่นคือครั้งล่าสุดที่ Pennywise
7. ในหนังมีการพูดถึงเต่า 2 ครั้ง ครั้งแรก คือ เลโก้ ของ จอร์จี้ ที่ต่อเป็นรูปเต่า กับ เต่าที่เพื่อนๆชี้ให้ดูใต้น้ำ เต่าคือศัตรูของ IT ในเมื่อ IT มันกินความกลัว เต่ามันก็กินความรัก ฮ่าๆ และเป็นฮีโร่ตัวสำคัญในจักรวาลของ Stephen King หรืออยู่ในเรื่อง Dark Tower ด้วยชื่อ Maturin
8. “I HEART DERRY” เขียนอยู่บนลูกโป่งที่อยู่ในท่อน้ำ ในซีนที่ แพทริค โดนไล่ล่า มันเป็นการบอกเป็นนัย ว่า แพทริค เป็นชายรักชาย เพราะ ในนิยายมีการกล่าวถึงประวัติของ Adrian เกย์ใส่หมวก “I heart Derry” ที่ถูกโยนลงสะพานโดยพวกเหยียดเพศ และในนิยาย ไฟ ยังมีความเกี่ยวข้องกับแพทริคอีกด้วย เพราะในนิยายแพทริค ชอบตดใส่ไฟ ให้มันระเบิด เชื่อว่าหลายๆคนเคยทำ ฮ่าๆ และ แพทริคก็ยังเป็นเกย์ด้วย เพราะ มีเหตุการณ์นึงที่ แพทริค กับ เฮนรี่ (หัวหน้าแก๊ง) อยู่ในสภาพโป๊เปลือย จากนั้น แพทริค ก็เริ่ม ชัก*** ให้เฮนรี่ แล้วก็เสนอการใช้ “ปาก” ให้กับเฮนรี่
9. ลำดับของการออกจากวงสาบาน อาจจะหมายถึงลำดับการตาย (ตามฉบับ 1990) ที่ สแตนลี่ ออกไปก่อน ตามด้วย เอ็ดดี้
สิ่งที่ผู้กำกับนำมาถ่ายทอดแทนฉากรุนแรงในนิยาย ที่ ผกก. นำเสนอออกมาเพื่อเคารพต้นฉบับ
1. ฉากช่วยตัวเอง :
เหตุการณ์เกิดขึ้นที่สนามในโรงเรียนในขณะที่ Beverly แอบมอง Henry (ลูกตำรวจที่คอยแกล้งคนอื่น) กับ Patrick (ลูกน้องเฮนรี่ที่ในหนังใช้สเปรย์พ่นไฟ) ทั้งสองคนกำลังโป๊เปลือย และตดใส่ไฟแชคให้เปลวไฟพุ่งออกมา ซักพักนึง แพทริค ก็เริ่ม ชัก*** ให้ เฮนรี่ แล้วเฮนรี่ก็เริ่มคราง นอนผ่อนคลาย แพทริค ก็เสนอใช้ “ปาก” ให้กับเฮนรี่
ฉากนี้ถึงแม้เราจะไม่ได้เห็นในภาพยนตร์ แต่มันก็มีสอดแทรกมาบ้าง เช่น Patrick ชอบใช้ไฟ และ ซีนที่เข้าไปในท่อระบายน้ำ มันจะมีลูกโปร่งลอยมาแล้วจะมีคำว่า “I heart Derry” คือในฉบับนิยายจะมีตอนนึงพูดถึง Andrian ผู้ชายที่เป็นเกย์ถูกรุมทำร้ายแล้วโยนจากสะพานโดยพวกเหยียดเพศ Andrian ใส่หมวกที่เขียนว่า “I Heart Derry” อาจจะเป็นไปได้ว่า หนังต้องการจะสื่อว่า Patrick เองก็เป็นชายรักชาย
2. ฉากเซกส์หมู่ :
หลังจากที่เด็กๆ เอาชนะ “มัน” ได้ พวกเขาก็ไม่สามารถหาทางออกจากท่อระบายน้ำได้ พวกเด็กๆเริ่มแตกคอกันในความมืด Beverly ก็เกิดไอเดียที่จะทำให้เพื่อนๆกับมารักกันโดยการเสนอให้ทุกคน เย เธอได้ทีละคนเริ่มด้วย เอ็ดดี้ (เด็กขี้โรค)
Beverly : เอาจู๋ของเธอใส่เข้ามาในตัวฉัน
Beverly ก็ร้องครวญครางด้วยความเสียว เมื่อ เอ็ดดี้ เสร็จใน ใส่เธอ ก็ตามด้วย ไมค์ หนุ่มผิวสี, ริชชี่ , สแตนลีย์ , เบน และ บิล ตามลำดับ ในบรรดาทั้งหมดนี่ เบน เด็กอ้วนเรา ใหญ่ สุดนะครับ!!! นางเบฟบอกว่านางเจ็บ บรรยายซะ...
ฉากนี้ถึงแม้ว่าเราไม่ได้เห็นในภาพยนตร์ แต่ก็แอบมีการแทรกมาให้เข้าใจบ้าง ตอนที่พ่อของ เบฟ ถามว่า “เธอยอมเด็กพวกนั้นในป่านั่นใช่ไหม” หรือ ซีนที่ทุกคนจ้องมองตอน เบฟ อาบแดด หรือ ซีนที่เลือดประจำเดือนของเบฟหยดลงพื้น(เธอกำลังจะก้าวสู่วัยรุ่น)
แต่จะว่าไปเรื่องนี้ก็กลายเป็น talk of the town เพราะมีคนดูส่วนนึงกลับมองว่า มันไม่ดีเลยที่จะตัดซีนนี้ออกไป ไม่เคารพนิยายเอาซะเลย หรือ มันไม่เห็นจะผิดตรงไหนเลย ถ้าเด็กจะมีเซกส์กัน โดยให้เหตุผลว่า เบฟ คิดจริงๆว่า มันเป็นวิธีเดียวที่จะรวมกันเป็นหนึ่ง เป็นเหตุการณ์ที่เมื่อทุกคนโตไปอีก 27 ปีข้างหน้า ทุกคนจะจำเหตุการณ์นี้แล้วกลับมาตามที่สัญญาจริงๆ และ เบฟรู้ว่า การแสดงความรักแบบนี้มันเป็นการเพิ่มพลังให้กับ Maturin (เป็นฝ่ายดีที่เป็นศัตรูกับ IT) สุดท้ายทั้งกลุ่มก็สามารถหนีออกจากท่อระบายน้ำได้ (สอดไว้ตรงที่ จอร์จี้พูดกับบิลว่า หาทางออกจากที่นี่ไม่ได้) คนดูก็ยังบอกอีกว่ากับการ ฆาตกรรมที่โหดร้ายในเรื่อง ทำไมถึงยอมรับกันได้ กับอีแค่ เซกส์ (วิธีทางธรรมชาติ) กลับกระแดะยอมรับไม่ได้ อีกอย่างก็แค่เด็ก เย กับเด็ก มันแสดงให้เห็นแบบชัดเจนว่า พวกเค้ากำลังก้าวข้ามเข้าสู่วัยรุ่น อย่างแท้จริง
อีกกลุ่มมองว่า มันเป็นตรรกะที่ วิปริตมาก King มันโรคจิต เขียนบทแต่ละเรื่อง มันมีวิธีแก้ปัญหามากกว่านั้นตั้งเยอะ ตัว ผกก เองก็บอกว่า ผมไม่อยากใส่เพราะว่า คนดูจะหวือหวามันเซกส์ซีน มากกว่า ความน่ากลัวหรือเส้นเรื่องที่ทำมา มันจะให้อารมณ์เหมือนหนังคนละเรื่องไปเลย แต่ก็แอบแทรกประเด็นต่างๆ ไว้เคารพฉบับนิยาย และ King เองก็ชอบมากๆด้วย (ชอบไม่จำเป็นต้องสยองสำหรับ King)
ปล. จริงๆมันก็ไม่ควรมีอะเนอะ แต่ก็แอบอยากฟังเหตุผลของคนที่คิดว่า ควรมีในภาพยนตร์ ...
ถ้าชอบยังไงก้ฝากติดตามพวกผมได้ที่เพจ https://www.facebook.com/filmotion.rp/ เพื่อติดตามข่าวสารต่างๆ รีวิวหนัง และ การทำหนังสั้นในเร็วๆนี้ด้วยนะครับ ทิ้งด้วยภาพคนที่เด็กๆอยากให้มาเล่นในวัยโต
ที่มาของ easter egg
http://www.looper.com/84888/easter-eggs-missed/sl/exit-order