ให้ 8/10 หนัง Romantic-Drama นำแสดงโดย Alicia Vikander ที่เพิ่งคว้ารางวัลออสการ์สาขา Best Supporting Actress มาจากเรื่อง The Danish Girl (2015) เล่าเรื่องราวความรักของเด็กสาวที่แต่งงานกับเศรษฐีสูงวัย แต่ดันเผลอไปตกหลุมรักเข้ากับศิลปินหนุ่ม ที่สามีของเธอนั้นจ้างมาวาดภาพเหมือนของครอบครัว ในช่วงยุคที่การค้าขายดอกทิปลิปมีความรุ่งเรืองในประเทศเนเธอร์แลนด์
ในสังคมปัจจุบันมีปัญหาการนอกใจเกิดขึ้นมากมาย และคิดว่าคนที่โดนนอกใจก็คงจะไม่มีใครที่ชอบหรืออยากให้เกิดขึ้น ซึ่งส่วนตัวเองก็ไม่ชอบพวกคนที่เป็นชู้ และไม่สนับสนุนพฤติกรรมเช่นนี้ แต่เมื่อมาชมหนังเรื่องนี้ กลับไม่ได้ทำให้รู้สึกเกลียดหรือแอนตี้แต่อย่างใด หากเกิดความเห็นใจและความเข้าใจขึ้นมา เป็นกรณียกเว้น และยังได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนอีก อย่างเรื่องการขายดอกทิวลิปว่าเขาทำกันอย่างนี้ ซึ่งส่วนตัวพบว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจมากทีเดียว
Tulip Fever ถ่ายทอดความรู้สึกและเล่าเรื่องราวออกมาได้ดีปราณีต ละเอียดอ่อน เล่นกับความรู้สึกของตัวละครและผู้ชมไปพร้อมกัน ทั้งยังเอาใจช่วยและทำเอารู้สึกอึดอัดและหายใจไม่ทั่วท้องตลอดทั้งเรื่อง กับอารมณ์จำยอม หลง รัก สับสน กลัว เศร้าและความรู้สึกผิด คละคลุ้งในส่วนผสมที่เท่ากันจนลงตัว เหมือนดังภาพวาดสีน้ำมันที่มีการจัดองค์ประกอบภาพและการลงสีที่เน้นไปทางสีหม่นแต่ลึกซึ้งสวยงาม ซึ่งในตัวหนังเองก็นำเสนอมุมกล้องและการจัดวางฉากต่างๆเฉกเช่นภาพวาดสีน้ำมันหลายๆรูปมาวางเรียนกันเป็นเรื่องราวเหมือนกัน
ยิ่งเมื่อรวมเข้ากับเสื้อผ้าหน้าผม และความงามแบบเรียบๆเป็นธรรมชาติของ Alicia Vikander แล้วละก็ ยิ่งทำให้ภาพวาดนั้นเชยชมได้ไม่มีเบื่อ พอๆกับภาพวาดของ Holliday Grainger ผู้รับบทเป็นสาวใช้ชื่อ Maria ที่ถูกวาดออกมาในมุมที่สดใสกว่า แต่สิ่งที่น่าผิดหวังคือ ผู้กำกับดันวาดภาพของ Cara Delevingne ออกมาได้ไม่งามนัก โดยเฉพาะเมื่อการแสดงของเธอในเรื่องนี้ไม่ได้โดดเด่น และแย่ลงไปอีกเมื่อเธอไม่ได้โชว์ฝีมือการแสดงใดๆออกมาให้ดีเลย จนกลายเป็นตัวละครที่น่ารำคาญตัวหนึ่งไปเท่านั้นเอง แต่ก็สามารถลืมๆ ไปได้ เพราะสีสันที่ทำให้หนังดูสนุกและตลกร้ายก็คือ การที่ตัวละครในหนังเองก็พยายามจัดฉากวาดภาพเรื่องราวต่างๆให้ตัวเองด้วยเช่นกัน
หนังเล่นประเด็นระหว่าง
“หน้าที่” กับ “ความรัก”
“ความถูกต้อง” กับ “การผิดศีลธรรม”
“ความชอบที่ผิด กับ “ความถูกที่ไม่ชอบ”
“การทำเพื่อคนอื่นที่ขัดใจตัวเอง” กับ “การขัดใจคนอื่นเพื่อตัวเอง”
ซึ่งหนังเสนอออกมาในมุมมองที่หากจะมองว่าผิดก็ผิด จะมองว่าไม่ผิดก็ไม่ผิด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังนี้ ไม่มีอะไรที่สามารถฟันธงได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า "สิ่งใดผิดหรือสิ่งใดถูก" ซะทีเดียว หากเข้าใจในสิ่งที่หนังจะสื่อ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เพราะหากมองให้ลึก ตั้งแต่เริ่มแรกนั้น ตัวละคร โซเฟียเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกคอเนลีส เศรษฐีสูงวัย นำมาเป็นภรรยา จุดประสงค์เพื่อให้กำเนิดบุตรแก่เขา ไม่ได้นำมาเป็นภรรยาเพราะความรัก ในขณะเดียวกัน โซเฟียก็แค่อยากหลุดพ้นจากความลำบากยากจน ซึ่งเห็นชัดว่าเธอไม่ได้ยอมแต่งงานด้วยเพราะความรักอีกเช่นกัน หรือแม้การอยู่กินกันไปเรื่อยๆจนผ่านไปแล้ว 3 ปี ก็ยังมิได้ก่อเกิดเป็นความรักกันขึ้นมาได้ โดยหนังเปรียบเทียบความสัมพันธ์ให้ผู้ชมได้เห็นจากฉากร่วมรักระหว่าง โซเฟียกับคอเนลีส และฉากร่วมรักของสาวใช้มาเรียกับวิลเลมแฟนหนุ่ม ที่ตรงกันข้ามกันอย่างสุดขั้ว
คอเนลีสเพียงแค่บอกกับโซเฟียว่า “ทหารน้อยของผมพร้อมออกรบแล้ว” และพุ่งเป้าสู่ผลลัพธ์ในทันที ด้วยการสัมผัสกายที่ดูห่างเหิน ในระหว่างที่มาเรียกับวิเลมใช้อารมณ์และภาษากายครบหมดทุกส่วน คอเนลีสกับโซเฟียเพียงแค่ร่วมรักกันตามหน้าที่สู่จุดประสงค์ตั้งต้นของฝ่ายชาย ซึ่งมันไม่ใช่ความรักแบบชู้สาว หากแต่เป็นแบบการดูแลกันไปแบบห่างๆตามประสาคนอยู่บ้านหลังเดียวกันภายใต้ชื่อสามีภรรยา ที่จะว่าไปแล้วโซเฟียก็ไม่เคยได้รับความรักการดูแลเอาใจใส่แบบที่คนรักเขาดูแลกันจากคอเนลีสเลย โซเฟียจึงรักคอเนลีสในเชิงผู้มีพระคุณเสียมากกว่า
เมื่อโซเฟียเด็กสาวแรกรุ่น ที่ยังไม่เคยได้รู้จักความรักเลยแม้แต่น้อย ได้มาเจอกับ ยาน ศิลปินหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว จึงเกิดการปิ๊งปั๊งกันตามประสาหนุ่มสาว เป็นความหลง ความใคร่ ที่รวมกันแล้วคือความรัก ที่ยากจะห้ามสัญชาติญาณ ความรู้สึก และความต้องการของตัวเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่โซเฟียทำเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะรู้สึกดีกับสิ่งที่เธอทำลงไป เธอรู้ว่าเป็นที่ไม่ควรและขัดใจกับความถูกต้องในตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่ในบางทีเธอก็แค่อยากใช้สิทธิ์ของใจตัวเองจริงๆบ้าง ไม่ใช่เพราะเหตุการณ์บังคับหรือเพราะหน้าที่
และสุดท้ายแล้วเมื่อเรื่องบานปลาย คอเนลีส เองก็ตระหนักคิดออกเช่นกัน ว่าเรื่องทั้งหมดนั้นได้เกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด มันจึงเป็นฉากจบที่ค่อนข้างลงตัวเลย เพราะไม่มีใครถือโทษโกรธใคร แต่เป็นความเข้าใจ เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้แต่งงานมีภรรยาเพราะความรักเช่นกัน มันจึงเหมือนเขาไปบังคับโซเฟียมาให้อยู่ด้วยแบบกลายๆ ซึ่งเขาก็ได้พูดอธิบายไว้ในตอนจบของเรื่องแล้ว
ป.ล. นี่เป็นการให้คะแนนจากความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนมีมุมมอง ความชอบ ความคิด ประสบการณ์ สิ่งที่เจอหรือรู้สึกในช่วงที่ดูหนังเรื่องนั้นๆต่างกัน คะแนนของแต่ละเรื่องมาจากการเปรียบเทียบหนังใน Genre เดียวกัน จึงไม่สามารถไปเปรียบกับคะแนนเรื่องอื่นที่เป็นหนังคนละ Genre ได้ เมื่อคุณไปดูแล้วคุณอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ ไม่มีอะไรถูกหรือผิด ทุกคนไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นเหมือนกันค่ะ
สามารถอ่าน Review หนังเรื่องอื่นๆได้ที่เพจ Movies Stalker ค่ะ
https://www.facebook.com/MoviesStalker
[CR] รีวิวหนังเรื่อง Tulip Fever
ในสังคมปัจจุบันมีปัญหาการนอกใจเกิดขึ้นมากมาย และคิดว่าคนที่โดนนอกใจก็คงจะไม่มีใครที่ชอบหรืออยากให้เกิดขึ้น ซึ่งส่วนตัวเองก็ไม่ชอบพวกคนที่เป็นชู้ และไม่สนับสนุนพฤติกรรมเช่นนี้ แต่เมื่อมาชมหนังเรื่องนี้ กลับไม่ได้ทำให้รู้สึกเกลียดหรือแอนตี้แต่อย่างใด หากเกิดความเห็นใจและความเข้าใจขึ้นมา เป็นกรณียกเว้น และยังได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนอีก อย่างเรื่องการขายดอกทิวลิปว่าเขาทำกันอย่างนี้ ซึ่งส่วนตัวพบว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจมากทีเดียว
Tulip Fever ถ่ายทอดความรู้สึกและเล่าเรื่องราวออกมาได้ดีปราณีต ละเอียดอ่อน เล่นกับความรู้สึกของตัวละครและผู้ชมไปพร้อมกัน ทั้งยังเอาใจช่วยและทำเอารู้สึกอึดอัดและหายใจไม่ทั่วท้องตลอดทั้งเรื่อง กับอารมณ์จำยอม หลง รัก สับสน กลัว เศร้าและความรู้สึกผิด คละคลุ้งในส่วนผสมที่เท่ากันจนลงตัว เหมือนดังภาพวาดสีน้ำมันที่มีการจัดองค์ประกอบภาพและการลงสีที่เน้นไปทางสีหม่นแต่ลึกซึ้งสวยงาม ซึ่งในตัวหนังเองก็นำเสนอมุมกล้องและการจัดวางฉากต่างๆเฉกเช่นภาพวาดสีน้ำมันหลายๆรูปมาวางเรียนกันเป็นเรื่องราวเหมือนกัน
ยิ่งเมื่อรวมเข้ากับเสื้อผ้าหน้าผม และความงามแบบเรียบๆเป็นธรรมชาติของ Alicia Vikander แล้วละก็ ยิ่งทำให้ภาพวาดนั้นเชยชมได้ไม่มีเบื่อ พอๆกับภาพวาดของ Holliday Grainger ผู้รับบทเป็นสาวใช้ชื่อ Maria ที่ถูกวาดออกมาในมุมที่สดใสกว่า แต่สิ่งที่น่าผิดหวังคือ ผู้กำกับดันวาดภาพของ Cara Delevingne ออกมาได้ไม่งามนัก โดยเฉพาะเมื่อการแสดงของเธอในเรื่องนี้ไม่ได้โดดเด่น และแย่ลงไปอีกเมื่อเธอไม่ได้โชว์ฝีมือการแสดงใดๆออกมาให้ดีเลย จนกลายเป็นตัวละครที่น่ารำคาญตัวหนึ่งไปเท่านั้นเอง แต่ก็สามารถลืมๆ ไปได้ เพราะสีสันที่ทำให้หนังดูสนุกและตลกร้ายก็คือ การที่ตัวละครในหนังเองก็พยายามจัดฉากวาดภาพเรื่องราวต่างๆให้ตัวเองด้วยเช่นกัน
หนังเล่นประเด็นระหว่าง
“หน้าที่” กับ “ความรัก”
“ความถูกต้อง” กับ “การผิดศีลธรรม”
“ความชอบที่ผิด กับ “ความถูกที่ไม่ชอบ”
“การทำเพื่อคนอื่นที่ขัดใจตัวเอง” กับ “การขัดใจคนอื่นเพื่อตัวเอง”
ซึ่งหนังเสนอออกมาในมุมมองที่หากจะมองว่าผิดก็ผิด จะมองว่าไม่ผิดก็ไม่ผิด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังนี้ ไม่มีอะไรที่สามารถฟันธงได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า "สิ่งใดผิดหรือสิ่งใดถูก" ซะทีเดียว หากเข้าใจในสิ่งที่หนังจะสื่อ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ป.ล. นี่เป็นการให้คะแนนจากความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนมีมุมมอง ความชอบ ความคิด ประสบการณ์ สิ่งที่เจอหรือรู้สึกในช่วงที่ดูหนังเรื่องนั้นๆต่างกัน คะแนนของแต่ละเรื่องมาจากการเปรียบเทียบหนังใน Genre เดียวกัน จึงไม่สามารถไปเปรียบกับคะแนนเรื่องอื่นที่เป็นหนังคนละ Genre ได้ เมื่อคุณไปดูแล้วคุณอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ ไม่มีอะไรถูกหรือผิด ทุกคนไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นเหมือนกันค่ะ
สามารถอ่าน Review หนังเรื่องอื่นๆได้ที่เพจ Movies Stalker ค่ะ https://www.facebook.com/MoviesStalker