หลังจากผ่านพ้นศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย และได้เห็นผลงานชัดๆ ของ มิโลวาน ราเยวัช กุนซือชาวเซอร์เบีย เป็นโอกาสดีที่จะได้ประเมินว่ากุนซือรายนี้ควรได้ทำทีมไทยต่อหรือไม่เพราะราเยวัชมีสัญญาปีต่อปี ปีหน้าเขาก็จะหมดสัญญากับเรา แต่จากผลงานที่ยังไม่น่าประทับใจและอีกหลายเหตุผล อาจทำให้เราต้องเล็งหากุนซือใหม่ไว้ก็เป็นได้
1.ไม่ใช่แค่”ทรงดี”แต่ต้องมีแต้ม
ถ้ามองในเรื่องคุณภาพของนักเตะ แฟนบอลไทยเองก็คิดว่านักเตะจีนอาจไม่ต่างจากนักเตะไทยมากนัก เราเองก็เคยเอาชนะเขาได้ด้วยซ้ำ สถานการณ์ของจีนในรอบคัดเลือกช่วงแรกๆ ก็ไม่ต่างจากไทย สี่เกมแรกใช้ เกา หง โป้ กุนซือในประเทศมาคุม ผลงานถือว่าลงเหว จีนตกรอบไปครึ่งตัวเพราะเก็บได้แค่คะแนนเดียว ส่วนไทยหนักกว่าคือใช้โค้ชซิโก้คุม 7 นัดมีแค่ 1 คะแนน แต่พอจีนเปลี่ยนมาใช้ มาร์เซโล่ ลิปปี้ จีนเก็บได้ 11 คะแนนจาก 6 นัดและยังมีแถมด้วยการชนะ เกาหลีใต้ ให้ดูด้วย ถ้า ลิปปี้ ได้เข้ามาทำตั้งแต่นัดแรกตอนนี้จีนคงได้ไปเล่นรอบสุดท้ายแล้ว นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าการเปลี่ยนกุนซือแล้วดีขึ้น มันต้องดีขึ้นแบบนี้คือเล่นดีแล้วต้องมีคะแนนด้วย ไม่ใช่คิดเอาเองว่าทรงบอลดีขึ้นแต่สุดท้ายเราก็แพ้อยู่เหมือนเดิม
2.เรายังหาชัยชนะไม่เจอเหมือนเดิม
เกมในบ้านสองนัดของเราในการเจอกับ ยูเออี หรือ อิรัก เราควรชนะได้ซักเกมแต่ก็พลาด ส่วนผลงานในถ้วย คิงส๋คัพ ก็เป็นเหมือนแค่การอุ่นเครื่องทั้งการชนะ เกาหลีเหนือ หรือ เบลารุส ที่ส่งทีมชุดสำรองมา ส่วนก่อนหน้านั้นก็อุ่นเครื่องแพ้ อุซเบกิสถาน นับจริงๆ ราเยวัช ได้คุมทีมไทยลงเตะในเกมอย่างเป็นทางการสามนัด การตัดสินกุนซือในสามนัดอาจจะเร็วเกินไปแต่มันก็บ่งบอกอะไรได้หลายอย่างเพราะสิ่งที่สำคัญคือ “คะแนน” หรือ “ชัยชนะ” ไม่ใช่ “ทรงบอล” แล้วก็มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วว่า ลิปปี้ เปลี่ยนจีนได้ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือในเวลาแค่ชั่วพริบตา ทีมชาติไทยเราต้องการกุนซือแบบนี้แต่เราจะมีความสามารถในการจ่ายค่าเหนื่อยให้กุนซือโลกหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องนึง
3.เน้นแต่เกมรับก็อาจไม่ใช่การแก้ปัญหา
เกมนัดล่าสุดเราปล่อยให้ ออสเตรเลีย มีจังหวะยิงไป 45 ครั้งเป็นสิ่งที่เจอได้ยากมากในเกมระดับโลกแบบนี้ อย่ามองว่านัดนี้เรา”เล่นดี”ให้มองว่าเรา”โชคดี”มากกว่าที่ไม่โดนเยอะไปกว่าสองลูก การปล่อยให้คู่แข่งกระหน่ำยิงเราได้มากขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจเลยซักนิด และตลอดทั้งเกมเราก็โดนบุกจนโงหัวแทบไม่ขึน ถ้าเกมนี้จบลงในแบบที่เรามีแต้มกลับบ้านคงจะสวยงามกว่านี้แต่สุดท้ายเราก็ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้อยู่ดี นั่นแสดงว่าการเน้นแต่เกมรับอย่างเดียวอาจไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดของทีมชาติไทย เพราะสามนัดที่ผ่านมาเรามีสกอร์หมดแต่ก็เสียประตูทุกนัดเช่นกัน
ที่มา MThai sport
3เหตุผลที่ราเยวัชไม่ควรได้ไปต่อกับทีมชาติไทย
1.ไม่ใช่แค่”ทรงดี”แต่ต้องมีแต้ม
ถ้ามองในเรื่องคุณภาพของนักเตะ แฟนบอลไทยเองก็คิดว่านักเตะจีนอาจไม่ต่างจากนักเตะไทยมากนัก เราเองก็เคยเอาชนะเขาได้ด้วยซ้ำ สถานการณ์ของจีนในรอบคัดเลือกช่วงแรกๆ ก็ไม่ต่างจากไทย สี่เกมแรกใช้ เกา หง โป้ กุนซือในประเทศมาคุม ผลงานถือว่าลงเหว จีนตกรอบไปครึ่งตัวเพราะเก็บได้แค่คะแนนเดียว ส่วนไทยหนักกว่าคือใช้โค้ชซิโก้คุม 7 นัดมีแค่ 1 คะแนน แต่พอจีนเปลี่ยนมาใช้ มาร์เซโล่ ลิปปี้ จีนเก็บได้ 11 คะแนนจาก 6 นัดและยังมีแถมด้วยการชนะ เกาหลีใต้ ให้ดูด้วย ถ้า ลิปปี้ ได้เข้ามาทำตั้งแต่นัดแรกตอนนี้จีนคงได้ไปเล่นรอบสุดท้ายแล้ว นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าการเปลี่ยนกุนซือแล้วดีขึ้น มันต้องดีขึ้นแบบนี้คือเล่นดีแล้วต้องมีคะแนนด้วย ไม่ใช่คิดเอาเองว่าทรงบอลดีขึ้นแต่สุดท้ายเราก็แพ้อยู่เหมือนเดิม
2.เรายังหาชัยชนะไม่เจอเหมือนเดิม
เกมในบ้านสองนัดของเราในการเจอกับ ยูเออี หรือ อิรัก เราควรชนะได้ซักเกมแต่ก็พลาด ส่วนผลงานในถ้วย คิงส๋คัพ ก็เป็นเหมือนแค่การอุ่นเครื่องทั้งการชนะ เกาหลีเหนือ หรือ เบลารุส ที่ส่งทีมชุดสำรองมา ส่วนก่อนหน้านั้นก็อุ่นเครื่องแพ้ อุซเบกิสถาน นับจริงๆ ราเยวัช ได้คุมทีมไทยลงเตะในเกมอย่างเป็นทางการสามนัด การตัดสินกุนซือในสามนัดอาจจะเร็วเกินไปแต่มันก็บ่งบอกอะไรได้หลายอย่างเพราะสิ่งที่สำคัญคือ “คะแนน” หรือ “ชัยชนะ” ไม่ใช่ “ทรงบอล” แล้วก็มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วว่า ลิปปี้ เปลี่ยนจีนได้ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือในเวลาแค่ชั่วพริบตา ทีมชาติไทยเราต้องการกุนซือแบบนี้แต่เราจะมีความสามารถในการจ่ายค่าเหนื่อยให้กุนซือโลกหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องนึง
3.เน้นแต่เกมรับก็อาจไม่ใช่การแก้ปัญหา
เกมนัดล่าสุดเราปล่อยให้ ออสเตรเลีย มีจังหวะยิงไป 45 ครั้งเป็นสิ่งที่เจอได้ยากมากในเกมระดับโลกแบบนี้ อย่ามองว่านัดนี้เรา”เล่นดี”ให้มองว่าเรา”โชคดี”มากกว่าที่ไม่โดนเยอะไปกว่าสองลูก การปล่อยให้คู่แข่งกระหน่ำยิงเราได้มากขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจเลยซักนิด และตลอดทั้งเกมเราก็โดนบุกจนโงหัวแทบไม่ขึน ถ้าเกมนี้จบลงในแบบที่เรามีแต้มกลับบ้านคงจะสวยงามกว่านี้แต่สุดท้ายเราก็ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้อยู่ดี นั่นแสดงว่าการเน้นแต่เกมรับอย่างเดียวอาจไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดของทีมชาติไทย เพราะสามนัดที่ผ่านมาเรามีสกอร์หมดแต่ก็เสียประตูทุกนัดเช่นกัน
ที่มา MThai sport