เข้าเรื่องเลยนะคะไม่รอช้า
ที่พัก : โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน
ระยะเวลาเข้าพัก : 3 วัน 2 คืน (เสาร์ - จันทร์ เดือนสิงหาคม 2017)
ราคา : 3,5XX บาท/คืน รวมบุฟเฟต์อาหารเช้า (เราจองผ่าน Agoda ประมาณ 1 เดือนก่อนเข้าพัก)
ทริปนี้เราอยากให้เป็นทริปพักผ่อนแบบนั่งๆนอนๆจริงๆ คือตั้งใจว่าจะหมกตัวอยู่แต่ในโรงแรมอย่างเดียว
ไม่แวะเพลินวาน, ไม่ไป Cicada, ไม่ไปตลาดโต้รุ่ง, ไม่แวะต๊ะต่อนยอนที่ไหนเลย ก็เลยหมายตาโรงแรมที่
มีกิจกรรมให้ทำ, อยู่ติดหาด และมีห้องอาหารหลายห้องจะได้ไม่ต้องออกไปกินข้างนอก หาไปหามา หวยเลย
มาออกที่ดุสิตธานีค่ะ เพราะที่นี่มีโต๊ะปิงปอง !!! (ผ่างงง...ล้อเล่น ไม่ใช่แค่โต๊ะปิงปองค่ะ เดี๋ยวมาดูกัน)
เรามาถึงโรงแรมเอาตอนบ่ายโมงกว่าๆ พอจอดรถปุ๊บ สักพักก็มีพี่รปภ.เอาผ้ามาคลุมกระจกหน้ารถกันแดดให้ค่ะ
(จะ Vios หรือ Ferrari พี่เค้าคลุมให้หมดค่ะ ไม่ต้องห่วง...มาก่อนได้ก่อน มาทีหลังระวังผ้าหมด)
พอเข้ามาถึง Lobby ก็จะเจอ Chandelier ใหญ่ยักษ์อยู่กลางโถงเลย ด้านซ้ายมือเป็น Reception counter
ส่วนด้านขวาเป็น Lobby lounge & bar ที่มีเก้าอี้และโซฟาไว้รอเรามานั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ
ตอน Check in ทางโรงแรมจะให้บัตรแลก Welcome drink สำหรับผู้เข้าพักมาคนละ 1 ใบนะคะ
เอามาแลกเครื่องดื่มที่ Lobby lounge & bar ตอนไหนก็ได้ มีน้ำกระเจี๊ยบและน้ำตะไคร้ค่ะ
เครื่องดื่มอื่นๆก็มีให้บริการ แต่ไม่ฟรีแล้วนะคะจ่ายเพิ่ม
Chandelier
Reception counter
Lobby lounge & bar
ไม่ต้องห่วงเรื่องเก้าอี้/โซฟามีไม่พอให้นั่งเลยค่ะ ท่วมท้นมาก มีทุกที่ทุกมุม
ส่วนมุมนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง check pointของที่นี่ เพราะนอกจากความสวยงามแล้ว ที่ผนังยังประดับด้วยพระบรมฉายาลักษณ์
ในหลางรัชกาลที่ 9, พระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และพระบรมวงศานุวงศ์อีกหลายพระองค์
จาก Lobby พอเราเดินผ่าน Chandelier ใหญ่ยักษ์อันแรกมา ยังค่ะ ยัง เดินมาไม่ไกลนัก ยังมีอันที่ 2 อีก แต่คราวนี้
เป็นของห้องอาหารหลักชื่อ "The Restaurant" ซึ่งเป็นห้องที่เราจะต้องมาทานอาหารเช้าที่นี่ทุกวัน บรรยากาศดีมากค่ะ
สูงโปร่งโล่งสบาย ไม่แออัด ถ้าได้ที่นั่งติดกระจกมองออกไปด้านนอกก็เห็นวิวบ่อปลาคาร์ฟด้วย
โถงทางลงบันไดที่เชื่อมระหว่าง Lobby และห้องอาหารด้านล่างก็มีรูปขนาดยักษ์ประดับอยู่บนผนังของอาคารค่ะ
ถึงตรงนี้เรายังไม่ได้ทานอาหารกลางวันเลย กะว่าจะเข้าห้องพักเก็บสัมภาระ ล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อย แล้วค่อยลงมา
หามื้อเที่ยงทานที่ห้องอาหารด้านล่าง (ที่นี่มีห้องอาหารให้เลือกทานถึง 4 ห้อง 4 สไตล์ค่ะ เราถึงได้ตั้งใจว่าจะไม่ออกไป
ไขว่คว้าหาของกินที่ไหนแล้ว กินๆนอนๆมันซะที่นี่แหละ) เดินตามพนักงานต้อนรับไปขึ้นลิฟท์ปรู๊ดเดียวก็ถึงห้องแล้วค่ะ
ห้องพักเราอยู่ชั้นที่ 3 เป็นห้อง Standard ขนาด 36 ตร.ม. เปิดเข้าไปมีก่งก๊งเล็กน้อยเพราะเราแจ้งไว้ว่าต้องการ
เตียง King size กลับได้ห้อง Twin bed มาซะนี่ แต่ก็ตามน้ำไปค่ะ ไม่เป็นไร เราหิวข้าว 555 ไม่อยากเสียเวลาแล้ว
นาทีนี้ยอมทุกอย่าง
พอเก็บข้าวของเรียบร้อย ก็อดที่จะสำรวจห้องก่อนไม่ได้ แน่นอนว่าเราพุ่งไปที่ตู้เย็นอันดับแรก เปิดมานี่รักเลย
เครื่องดื่มจัดมาให้ท่วมท้น เต็มตู้ เหลือบมองไปที่ฝาตู้เย็น มีช็อคโกแลตแช่ไว้ให้ด้วย คนกำลังหิวๆเลยไม่รอช้า
ฉีกซองเข้าปากรองท้องไว้ก่อน ช่วยได้เยอะค่ะ
ปิ๊งป่องงงง...เปิดตู้เสื้อผ้าออกมาดู มีเตารีดพร้อมโต๊ะรีดผ้ามาให้ด้วยเสร็จสรรพ
ระเบียงห้องไม่ได้กว้างมากมายอะไร แต่ก็พอมีที่ให้วางโต๊ะเล็กๆและเก้าอี้อีก 2 ตัว กับราวตากผ้าได้เหลือๆค่ะ
เราไม่แน่ใจว่าทางโรงแรมออกแบบให้ทุกห้องพักสามารถมองเห็นวิวทะเลได้เหมือนกันทุกห้องไหม แต่ห้องเราเห็นนะคะ
เห็นทั้งสระว่ายน้ำ และทะเล (คือตอนจองไม่ได้คาดหวังว่าจะเห็นวิวทะเลได้จากห้องพัก แต่มาเห็นแบบนี้เรื่องเตียงก็
ถือว่าเจ๊ากันไปค่ะ 555) นี่ถ้าได้ชั้น 4 จะแจ่มกว่านี้ เพราะชั้น 3 ยังโดนต้นไม้บังวิวไปนิดๆหน่อยๆ
เดินดูรอบๆไปได้สักพัก เจอเมนู In-room Dining วางอยู่บนโต๊ะ เราเลยตัดสินใจสั่งอาหารขึ้นมาทานที่ห้องเลย
เพราะรายการอาหารมีให้เลือกหลากหลาย จะเอาอิ่มน้อย อิ่มมาก อิ่มแบบไทย จีน อินเดีย ฝรั่ง มีให้ลองหมดค่ะ
เน้นอาหารจานเดียวเป็นหลัก
รอสักพัก (ใหญ่ๆ) พนักงานบริการก็เข็นรถเสิร์ฟอาหารมาให้ถึงโต๊ะในห้อง
เมนูที่เราสั่งคือ ไก่สะเต๊ะ, Ravioli ผักโขม, ผัดไทยกุ้งสด อร่อยดีค่ะ ไม่ผิดหวัง 3 อย่างทานได้ 2 คนอิ่มสบาย
มื้อนี้ราคา 1,1XX บาท
พอทานอาหารอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาสำรวจรอบๆโรงแรมกันค่ะ ในรูปเป็นห้องอาหารอิตาเลี่ยน ชื่อ "San Marco" ค่ะ
ส่วนใหญ่แขกที่มาทานอาหารจะเป็นฝรั่ง ไม่ค่อยเจอคนเอเชียค่ะ
สระว่ายน้ำของโรงแรมมี 2 สระค่ะ สระน้ำเกลือมีขนาดเล็กกว่าแต่จะมี Pool bar ด้วย นั่งแช่น้ำ สั่งเครื่องดื่มเย็นๆ
มาจิบนี่ฟินนักแล สระนี้ดูจะไม่คึกคักเท่าสระใหญ่ค่ะ ใครอยากว่ายยาวๆมาว่ายสระนี้ดูจะเหมาะกว่า
ส่วนสระใหญ่นี่คึกคักตลอดเวลา โดยเฉพาะเด็กๆดูจะชอบมากเป็นพิเศษเพราะมีสไลเดอร์ขนาดย่อมๆให้เล่นด้วยค่ะ
(ของเด็กนะคะ ถ้าผู้ใหญ่ขึ้นบั้นท้ายอาจติด 555) ส่วนใครอยากนอนอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือเล่นน้ำจนเหนื่อยแล้ว
ก็ขึ้นมาเอนหลังพักผ่อนที่เตียงริมสระได้ค่ะ
หากพาผู้สูงอายุมาด้วย ก็แนะนำให้ลง Jacuzzi เลยค่ะ รับรองไม่เบื่อเมาท์มันเมาท์เพลิน
(สีเขียวๆดำๆที่เห็นในรูป ไม่ใช่ตะไคร่น้ำเกาะอ่างนะคะ เงาสะท้อนจากต้นไม้ข้างบนค่ะ เดี๋ยวจะตกใจ)
เดินเลาะแนวสระว่ายน้ำมาเรื่อยๆก็จะเข้าใกล้ทะเลมากขึ้นแล้วค่ะ จากตรงนี้หากหันหลังมองย้อนกลับไปก็จะมองเห็น
อาคารทรงไทย นั่นคือห้องอาหารไทย ชื่อ "บ้านเบญจรงค์" ค่ะ เห็นวิวสระบัวด้วย
เมื่อถึงริมทะเล ทางโรงแรมก็ยังไม่วายจะทำห้องอาหารไว้ให้อีกค่ะ ห้องอาหารนี้ชื่อ "ริมทะเล Bar & Grill"
อันนี้เราไม่แน่ใจว่ายังเปิดอยู่รึเปล่า ดูเงียบ (เงียบไปน่ะค่ะ)
ที่ชายหาดตอนเย็นน้ำขึ้นสูง แต่ก็ยังพอมีพื้นที่ไว้เดินเล่นอยู่ค่ะ ไม่ค่อยมีคนเล่นน้ำทะเล อาจเป็นเพราะ Slope ของหาด
และเปลือกหอยที่โดนคลื่นซัดแตกเป็นชิ้นเล็กๆปนกับทราย แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ รอตอนเช้าค่ะ ตอนเช้าน้ำลง เดินลงไป
เล่นให้เพลินได้เลยค่ะ
มื้อเย็นคืนแรก เราเล็ง BBQ seafood buffet ที่ห้องอาหาร The Restaurant ไว้ค่ะ ราคา 1,4XX บาทต่อคน
เราถ่ายรูปไลน์อาหารมาแค่ 2 รูปนะคะ แขกเยอะไม่กล้าเดินเข้าไปถ่ายใกล้ๆ กลัวขวางทางจ้วงกุ้ง หอย ปู ปลา คนอื่น
อาหารในไลน์ก็เป็นรูปแบบ International buffet ทั่วไปค่ะ มีโซนขนมปัง, ชีส, สลัดบาร์, cold cut, ซาซิมิ, ซูชิ,
โดยเพิ่มโซน BBQ เข้าไป ซึ่งก็จะมีทั้ง กุ้ง, กั้ง, หมู หรือเนื้อย่างค่ะ (Sirlion อร่อยมาก แนะนำค่ะ) ส่วนตัวแล้วโดยรวม
เราคิดว่าให้ 7 เต็ม 10 ค่ะ เพราะทำออกมากลางๆ ไม่ได้อร่อยคุ้มขนาดต้องมาอีกรอบเพื่อจะมาทาน Buffet ที่นี่อีกอะไร
แบบนี้น่ะค่ะ อีกอย่างคืออาหารทะเลไซส์ค่อนข้างเล็ก แต่ถ้าเป็นคนทานเยอะ ก็น่าจะคุ้มกว่าสั่ง Alacarte ค่ะ
หลังทานอิ่ม หนังท้องตึง หากอยากหาที่นั่งพักผึ่งพุงก็เดินมาที่ Polo Bar ได้ค่ะ หน้าห้องมี Projector ถ่ายทอดสด
ฟุตบอลให้ดูก่อนกลับเข้าห้องไปอาบน้ำนอนด้วยค่ะ
วันที่ 2 ตื่นเช้ามารับอากาศสดชื่น อาบน้ำแปรงฟันให้เรียบร้อยแล้วออกไปทานอาหารเช้ากันที่ห้องอาหาร The Restaurant
เหมือนเดิมค่ะ มื้อเช้าที่นี่ก็เป็นแบบบุฟเฟ่ต์เช่นกัน อาหารมีให้เลือกหลากหลาย หลักๆก็มี สลัด, โจ๊ก, ข้าวต้ม, ขนมปัง,
cold cut, ซุป, ข้าวผัด, ก๋วยเตี๋ยว, ไส้กรอก, ซูชิ, ซีเรียล, ผลไม้ แค่นี้ก็ทานไม่หวาดไม่ไหว เฉพาะซีเรียลก็มีให้เลือกถึง
6 ชนิด จะเอามาใส่นมสดแล้วเติมน้ำผึ้ง หรือโยเกิร์ต แล้วใส่ผลไม้สดเติมเข้าไปก็อร่อย ทานง่าย เด็กๆชอบแน่นอนค่ะ
ถ้าเป็นไปได้อย่าลงมาทานมื้อเช้าสายนักนะคะ อย่าลืมว่าห้องอาหารหลักที่ให้บริการมื้อเช้ามีห้องเดียวและแขกทุกท่าน
ต้องลงมาใช้บริการในเวลาไล่ๆกัน ความชิลในตอนเช้าจะหายไปในบัดดล เพราะคนจะเยอะมากค่ะ
[CR] <CR> กินอิ่ม นอนหลับ เล่นสนุก ลุกนั่งสบาย ณ.ดุสิตธานี หัวหิน (Dusit Thani Huahin)
ที่พัก : โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน
ระยะเวลาเข้าพัก : 3 วัน 2 คืน (เสาร์ - จันทร์ เดือนสิงหาคม 2017)
ราคา : 3,5XX บาท/คืน รวมบุฟเฟต์อาหารเช้า (เราจองผ่าน Agoda ประมาณ 1 เดือนก่อนเข้าพัก)
ทริปนี้เราอยากให้เป็นทริปพักผ่อนแบบนั่งๆนอนๆจริงๆ คือตั้งใจว่าจะหมกตัวอยู่แต่ในโรงแรมอย่างเดียว
ไม่แวะเพลินวาน, ไม่ไป Cicada, ไม่ไปตลาดโต้รุ่ง, ไม่แวะต๊ะต่อนยอนที่ไหนเลย ก็เลยหมายตาโรงแรมที่
มีกิจกรรมให้ทำ, อยู่ติดหาด และมีห้องอาหารหลายห้องจะได้ไม่ต้องออกไปกินข้างนอก หาไปหามา หวยเลย
มาออกที่ดุสิตธานีค่ะ เพราะที่นี่มีโต๊ะปิงปอง !!! (ผ่างงง...ล้อเล่น ไม่ใช่แค่โต๊ะปิงปองค่ะ เดี๋ยวมาดูกัน)
เรามาถึงโรงแรมเอาตอนบ่ายโมงกว่าๆ พอจอดรถปุ๊บ สักพักก็มีพี่รปภ.เอาผ้ามาคลุมกระจกหน้ารถกันแดดให้ค่ะ
(จะ Vios หรือ Ferrari พี่เค้าคลุมให้หมดค่ะ ไม่ต้องห่วง...มาก่อนได้ก่อน มาทีหลังระวังผ้าหมด)
พอเข้ามาถึง Lobby ก็จะเจอ Chandelier ใหญ่ยักษ์อยู่กลางโถงเลย ด้านซ้ายมือเป็น Reception counter
ส่วนด้านขวาเป็น Lobby lounge & bar ที่มีเก้าอี้และโซฟาไว้รอเรามานั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ
ตอน Check in ทางโรงแรมจะให้บัตรแลก Welcome drink สำหรับผู้เข้าพักมาคนละ 1 ใบนะคะ
เอามาแลกเครื่องดื่มที่ Lobby lounge & bar ตอนไหนก็ได้ มีน้ำกระเจี๊ยบและน้ำตะไคร้ค่ะ
เครื่องดื่มอื่นๆก็มีให้บริการ แต่ไม่ฟรีแล้วนะคะจ่ายเพิ่ม
Chandelier
Reception counter
Lobby lounge & bar
ไม่ต้องห่วงเรื่องเก้าอี้/โซฟามีไม่พอให้นั่งเลยค่ะ ท่วมท้นมาก มีทุกที่ทุกมุม
ส่วนมุมนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง check pointของที่นี่ เพราะนอกจากความสวยงามแล้ว ที่ผนังยังประดับด้วยพระบรมฉายาลักษณ์
ในหลางรัชกาลที่ 9, พระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และพระบรมวงศานุวงศ์อีกหลายพระองค์
จาก Lobby พอเราเดินผ่าน Chandelier ใหญ่ยักษ์อันแรกมา ยังค่ะ ยัง เดินมาไม่ไกลนัก ยังมีอันที่ 2 อีก แต่คราวนี้
เป็นของห้องอาหารหลักชื่อ "The Restaurant" ซึ่งเป็นห้องที่เราจะต้องมาทานอาหารเช้าที่นี่ทุกวัน บรรยากาศดีมากค่ะ
สูงโปร่งโล่งสบาย ไม่แออัด ถ้าได้ที่นั่งติดกระจกมองออกไปด้านนอกก็เห็นวิวบ่อปลาคาร์ฟด้วย
โถงทางลงบันไดที่เชื่อมระหว่าง Lobby และห้องอาหารด้านล่างก็มีรูปขนาดยักษ์ประดับอยู่บนผนังของอาคารค่ะ
ถึงตรงนี้เรายังไม่ได้ทานอาหารกลางวันเลย กะว่าจะเข้าห้องพักเก็บสัมภาระ ล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อย แล้วค่อยลงมา
หามื้อเที่ยงทานที่ห้องอาหารด้านล่าง (ที่นี่มีห้องอาหารให้เลือกทานถึง 4 ห้อง 4 สไตล์ค่ะ เราถึงได้ตั้งใจว่าจะไม่ออกไป
ไขว่คว้าหาของกินที่ไหนแล้ว กินๆนอนๆมันซะที่นี่แหละ) เดินตามพนักงานต้อนรับไปขึ้นลิฟท์ปรู๊ดเดียวก็ถึงห้องแล้วค่ะ
ห้องพักเราอยู่ชั้นที่ 3 เป็นห้อง Standard ขนาด 36 ตร.ม. เปิดเข้าไปมีก่งก๊งเล็กน้อยเพราะเราแจ้งไว้ว่าต้องการ
เตียง King size กลับได้ห้อง Twin bed มาซะนี่ แต่ก็ตามน้ำไปค่ะ ไม่เป็นไร เราหิวข้าว 555 ไม่อยากเสียเวลาแล้ว
นาทีนี้ยอมทุกอย่าง
พอเก็บข้าวของเรียบร้อย ก็อดที่จะสำรวจห้องก่อนไม่ได้ แน่นอนว่าเราพุ่งไปที่ตู้เย็นอันดับแรก เปิดมานี่รักเลย
เครื่องดื่มจัดมาให้ท่วมท้น เต็มตู้ เหลือบมองไปที่ฝาตู้เย็น มีช็อคโกแลตแช่ไว้ให้ด้วย คนกำลังหิวๆเลยไม่รอช้า
ฉีกซองเข้าปากรองท้องไว้ก่อน ช่วยได้เยอะค่ะ
ปิ๊งป่องงงง...เปิดตู้เสื้อผ้าออกมาดู มีเตารีดพร้อมโต๊ะรีดผ้ามาให้ด้วยเสร็จสรรพ
ระเบียงห้องไม่ได้กว้างมากมายอะไร แต่ก็พอมีที่ให้วางโต๊ะเล็กๆและเก้าอี้อีก 2 ตัว กับราวตากผ้าได้เหลือๆค่ะ
เราไม่แน่ใจว่าทางโรงแรมออกแบบให้ทุกห้องพักสามารถมองเห็นวิวทะเลได้เหมือนกันทุกห้องไหม แต่ห้องเราเห็นนะคะ
เห็นทั้งสระว่ายน้ำ และทะเล (คือตอนจองไม่ได้คาดหวังว่าจะเห็นวิวทะเลได้จากห้องพัก แต่มาเห็นแบบนี้เรื่องเตียงก็
ถือว่าเจ๊ากันไปค่ะ 555) นี่ถ้าได้ชั้น 4 จะแจ่มกว่านี้ เพราะชั้น 3 ยังโดนต้นไม้บังวิวไปนิดๆหน่อยๆ
เดินดูรอบๆไปได้สักพัก เจอเมนู In-room Dining วางอยู่บนโต๊ะ เราเลยตัดสินใจสั่งอาหารขึ้นมาทานที่ห้องเลย
เพราะรายการอาหารมีให้เลือกหลากหลาย จะเอาอิ่มน้อย อิ่มมาก อิ่มแบบไทย จีน อินเดีย ฝรั่ง มีให้ลองหมดค่ะ
เน้นอาหารจานเดียวเป็นหลัก
รอสักพัก (ใหญ่ๆ) พนักงานบริการก็เข็นรถเสิร์ฟอาหารมาให้ถึงโต๊ะในห้อง
เมนูที่เราสั่งคือ ไก่สะเต๊ะ, Ravioli ผักโขม, ผัดไทยกุ้งสด อร่อยดีค่ะ ไม่ผิดหวัง 3 อย่างทานได้ 2 คนอิ่มสบาย
มื้อนี้ราคา 1,1XX บาท
พอทานอาหารอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาสำรวจรอบๆโรงแรมกันค่ะ ในรูปเป็นห้องอาหารอิตาเลี่ยน ชื่อ "San Marco" ค่ะ
ส่วนใหญ่แขกที่มาทานอาหารจะเป็นฝรั่ง ไม่ค่อยเจอคนเอเชียค่ะ
สระว่ายน้ำของโรงแรมมี 2 สระค่ะ สระน้ำเกลือมีขนาดเล็กกว่าแต่จะมี Pool bar ด้วย นั่งแช่น้ำ สั่งเครื่องดื่มเย็นๆ
มาจิบนี่ฟินนักแล สระนี้ดูจะไม่คึกคักเท่าสระใหญ่ค่ะ ใครอยากว่ายยาวๆมาว่ายสระนี้ดูจะเหมาะกว่า
ส่วนสระใหญ่นี่คึกคักตลอดเวลา โดยเฉพาะเด็กๆดูจะชอบมากเป็นพิเศษเพราะมีสไลเดอร์ขนาดย่อมๆให้เล่นด้วยค่ะ
(ของเด็กนะคะ ถ้าผู้ใหญ่ขึ้นบั้นท้ายอาจติด 555) ส่วนใครอยากนอนอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือเล่นน้ำจนเหนื่อยแล้ว
ก็ขึ้นมาเอนหลังพักผ่อนที่เตียงริมสระได้ค่ะ
หากพาผู้สูงอายุมาด้วย ก็แนะนำให้ลง Jacuzzi เลยค่ะ รับรองไม่เบื่อเมาท์มันเมาท์เพลิน
(สีเขียวๆดำๆที่เห็นในรูป ไม่ใช่ตะไคร่น้ำเกาะอ่างนะคะ เงาสะท้อนจากต้นไม้ข้างบนค่ะ เดี๋ยวจะตกใจ)
เดินเลาะแนวสระว่ายน้ำมาเรื่อยๆก็จะเข้าใกล้ทะเลมากขึ้นแล้วค่ะ จากตรงนี้หากหันหลังมองย้อนกลับไปก็จะมองเห็น
อาคารทรงไทย นั่นคือห้องอาหารไทย ชื่อ "บ้านเบญจรงค์" ค่ะ เห็นวิวสระบัวด้วย
เมื่อถึงริมทะเล ทางโรงแรมก็ยังไม่วายจะทำห้องอาหารไว้ให้อีกค่ะ ห้องอาหารนี้ชื่อ "ริมทะเล Bar & Grill"
อันนี้เราไม่แน่ใจว่ายังเปิดอยู่รึเปล่า ดูเงียบ (เงียบไปน่ะค่ะ)
ที่ชายหาดตอนเย็นน้ำขึ้นสูง แต่ก็ยังพอมีพื้นที่ไว้เดินเล่นอยู่ค่ะ ไม่ค่อยมีคนเล่นน้ำทะเล อาจเป็นเพราะ Slope ของหาด
และเปลือกหอยที่โดนคลื่นซัดแตกเป็นชิ้นเล็กๆปนกับทราย แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ รอตอนเช้าค่ะ ตอนเช้าน้ำลง เดินลงไป
เล่นให้เพลินได้เลยค่ะ
มื้อเย็นคืนแรก เราเล็ง BBQ seafood buffet ที่ห้องอาหาร The Restaurant ไว้ค่ะ ราคา 1,4XX บาทต่อคน
เราถ่ายรูปไลน์อาหารมาแค่ 2 รูปนะคะ แขกเยอะไม่กล้าเดินเข้าไปถ่ายใกล้ๆ กลัวขวางทางจ้วงกุ้ง หอย ปู ปลา คนอื่น
อาหารในไลน์ก็เป็นรูปแบบ International buffet ทั่วไปค่ะ มีโซนขนมปัง, ชีส, สลัดบาร์, cold cut, ซาซิมิ, ซูชิ,
โดยเพิ่มโซน BBQ เข้าไป ซึ่งก็จะมีทั้ง กุ้ง, กั้ง, หมู หรือเนื้อย่างค่ะ (Sirlion อร่อยมาก แนะนำค่ะ) ส่วนตัวแล้วโดยรวม
เราคิดว่าให้ 7 เต็ม 10 ค่ะ เพราะทำออกมากลางๆ ไม่ได้อร่อยคุ้มขนาดต้องมาอีกรอบเพื่อจะมาทาน Buffet ที่นี่อีกอะไร
แบบนี้น่ะค่ะ อีกอย่างคืออาหารทะเลไซส์ค่อนข้างเล็ก แต่ถ้าเป็นคนทานเยอะ ก็น่าจะคุ้มกว่าสั่ง Alacarte ค่ะ
หลังทานอิ่ม หนังท้องตึง หากอยากหาที่นั่งพักผึ่งพุงก็เดินมาที่ Polo Bar ได้ค่ะ หน้าห้องมี Projector ถ่ายทอดสด
ฟุตบอลให้ดูก่อนกลับเข้าห้องไปอาบน้ำนอนด้วยค่ะ
วันที่ 2 ตื่นเช้ามารับอากาศสดชื่น อาบน้ำแปรงฟันให้เรียบร้อยแล้วออกไปทานอาหารเช้ากันที่ห้องอาหาร The Restaurant
เหมือนเดิมค่ะ มื้อเช้าที่นี่ก็เป็นแบบบุฟเฟ่ต์เช่นกัน อาหารมีให้เลือกหลากหลาย หลักๆก็มี สลัด, โจ๊ก, ข้าวต้ม, ขนมปัง,
cold cut, ซุป, ข้าวผัด, ก๋วยเตี๋ยว, ไส้กรอก, ซูชิ, ซีเรียล, ผลไม้ แค่นี้ก็ทานไม่หวาดไม่ไหว เฉพาะซีเรียลก็มีให้เลือกถึง
6 ชนิด จะเอามาใส่นมสดแล้วเติมน้ำผึ้ง หรือโยเกิร์ต แล้วใส่ผลไม้สดเติมเข้าไปก็อร่อย ทานง่าย เด็กๆชอบแน่นอนค่ะ
ถ้าเป็นไปได้อย่าลงมาทานมื้อเช้าสายนักนะคะ อย่าลืมว่าห้องอาหารหลักที่ให้บริการมื้อเช้ามีห้องเดียวและแขกทุกท่าน
ต้องลงมาใช้บริการในเวลาไล่ๆกัน ความชิลในตอนเช้าจะหายไปในบัดดล เพราะคนจะเยอะมากค่ะ