ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อนนะครับ ถ้ารู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เขียนตามลำดับความคิดที่พอจำเรื่องราวได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขียนเรื่องราวอะไรยาวๆต่อสาธารณะ โดยเฉพาะลงPANTIP
แค่ไม่อยากให้ใครต้องทนทุกข์กับร่างกายที่ไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่เหมือนเดิม
จากที่ช่วยเหลือตัวเองได้ กลายเป็นภาระ
แต่อยากให้คนอื่นได้รับรู้และตระหนักถึงโรคเส้นเลือดสมอง และการดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในอาการแบบนี้ รวมถึงใครที่แข็งแรงดีวันนี้ แต่หากมีพฤติกรรมเหมือนผมสมัยก่อน ผมอยากเตือนว่าอย่าประมาทเลยครับ เพราะช่วงเวลาความเป็นความตายนั้นแบบมันน่ากลัวจริงๆครับ
…
ผมสูง 174 น้ำหนัก 88 กิโลกรัม จัดว่าอ้วนมีพุง อ้วนกลม
มี 1 ภรรยา ลูก 2 คน ใช้ชีวิตปกติ กิน ดื่ม เที่ยวแบบคนทำงานทั่วไป
นัดเจอกันกับเพื่อนก็ตามร้านอาหาร ผมไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มเหล้าครับ
สายชาบู ปิ้งย่าง สุกี้ บุฟเฟต์ไม่ยั้ง…
…
ก่อนหน้าที่ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนผมมาว่า เส้นเลือดจะแตกแล้วนะ
ผมเคยป่วยเป็นโรคตะกอนหินปูนในหูร่วง คล้ายโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
เกิดจากส่วนตัวชอบนอนเล่นมือถือ
จึงเป็นที่มาของอาการตะกอนหินปูนนี้ หลุดเข้าไปในรูหูที่มีกระดูกรูปค้อน ทั่ง โกลน
กระดูกชิ้นเล็กๆที่เรารู้กันว่า เป็นแหล่งรับเสียง
ตะกอนชิ้นเล็กๆนี้พอหลุดเข้าไปในกระดูก 3 ชิ้นที่ทำหน้าที่รับเสียง
ทำให้ดวงตาแกว่งขึ้นบนลงล่างตลอดเวลา ปวดหัว หูอื้อ
จนต้องนอนโรงพยาบาลรักษาตัว
...
จนกลางปี 58
คราวนี้สัญญาณเส้นเลือดสมองจะแตกส่งมาจริงๆละ
ก็คิดว่ามก็ไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่า เกิดจากโรคตะกอนหินปูนร่วงอีก
อาการมีดังนี้
เริ่มขาชา
ขาชาครั้งละ 4 – 5 วัน ประมาณ 2 – 3 อาทิตย์ก็เป็นครั้งนึงสลับกันไป
อาการมึนหัวบ่อยๆ
อาการวูบภาพตัด เหมือนเครื่องคอมชัตดาวน์ประมาณ 1 วินาที แล้วกลับมาสู่สภาพปกติ
จนหนักๆเข้าก่อนที่จะเจอเส้นเลือดสมองแตก
ถึงขั้นลิ้นแห้ง ไม่มีน้ำลายจนลิ้นกลายเป็นเกล็ด
...
จนมาวันที่ 30 ธ.ค. 58
ไปทำงานกลับมา นัดแฟนกับพี่ชายแฟนกินข้าวกันเหมือนเดิม
แต่วันนี้รู้สึกปวดหัว อาจเพราะเหนื่อยและเครียดเรื่องงานด้วย
พอกลับบ้าน ก็รีบกินยาความดันและรีบนอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม
เพราะช่วงนั้นขายของเล่น กะว่าวันสิ้นปีจะต้องขายดีแน่ๆ
...
จนเวลาตี 2 หรือเช้าตรู่ของวันที่ 31 ธ.ค.58
ลุกมาเข้าห้องน้ำ ปวดหัวเหมือนตอนป่วยเป็นตะกอนหินที่หู
ก็พยายามหมุนหัว ท่ากายบริหารที่คุณหมอแนะนำให้ทำตอนหลังจากป่วยโรคตะกอนหินนี้
แต่อาการไม่ดีขึ้นเลย แฟนก็ให้ไปหาหมอ
จนตี 4 อาเจียนอีกรอบ คราวนี้อ้วกจนไม่มีอะไรให้ออกแล้ว
พอลุกขึ้นยืนแค่นั้น คราวนี้ยืนพิงกำแพงห้องน้ำ
อยู่ๆมือและขาซ้ายก็ไม่มีแรง
จากที่ยันกำแพงไว้ด้วยมือซ้าย ก็ไม่มีแรงจนล้มในห้องน้ำ
จากนั้นก็น็อคไม่รู้สึกตัวไปเลย
…
ตอนหลังแฟนเล่าให้ฟังว่า ได้โทรเรียกรถพยาบาลมารับ
โชคดีที่วันนั้นไม่ใช่วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ถ้าเป็นวันปีใหม่คงมีรถพยาบาลไม่มากเท่ากับวันนั้น
เพราะเจ้าหน้าที่ก็ต้องหยุดบ้าง
สภาพตอนนั้นที่แฟนเล่าบอกว่า
ต้องเรียกให้ลูกมาช่วยพยุงลงจากชั้นบน
ลงมารถพยาบาลที่จอดชั้นล่าง
ตอนที่หมอมาปากด้านซ้ายเริ่มเบี้ยว
หมอวัดน้ำตาล บอกว่า ขึ้นไป 350 ความดันก็สูง
ไม่ใช่ตะกอนหินแล้วอาการแบบนี้ แต่เป็นเส้นเลือดสมองแตก!!!
…
(นี่ครับ สภาพผมจากล้องมือถือของแฟน ตอนนี้เรียกว่าหมดสภาพจริงๆครับ)
ตอนมาถึงโรงพยาบาลก็สแกนสมอง แต่กลับไม่เจอจุดที่เลือดออกในสมอง จนหมอเฉพาะทางมาอ่านฟิล์มเอกซเรย์อีกครั้ง และขยายรายละเอียดดูบอกว่า
เส้นเลือดฝอยที่ก้านสมองเส้นที่ 5,6,7 มีจุดเล็กๆเหมือนปากกาจุดไว้
นั่นแหละปัญหาเลย
ประมาณ 10 โมงเช้าของวันที่ 31 ธ.ค. 58
ผมมารู้สึกตัวแบบงงๆอีกทีนอนอยู่บนเตียง
ไม่มีแรง ยกแขนขาด้านซ้ายไม่ได้ พูดอะไรมากไม่ได้ ทำไรก็เหนื่อย หายใจไม่ทัน และตาด้านซ้ายมองเห็นภาพซ้อนตลอดเวลา เหมือนมีใครเอานิ้วมาบัง
...
แว็บแรกคือ เราเป็นอะไร ห่วงลูกเมีย ห่วงแม่ ห่วงครอบครัว ห่วงลูกน้อง ห่วงกิจการ
เราจะเป็นแบบนี้ไม่ได้
ถ้าเราล้ม มันเป็นโดมิโน่ที่ล้มตามแน่ๆเลย
สิ่งหนึ่งที่คิดได้คือ
แม้เราจะโชคร้ายที่เป็นแบบนี้
แต่ยังโชคดีที่พระเจ้ายังไม่ได้เอาสมองของเราไปด้วย
เรายังมีรับรู้ ยังมีสติสัมปัญชัญญะ
ยังมองเห็นและได้ยินเสียง
…
“สามีคุณอยู่ในภาวะเสี่ยง หากพ้น 72 ชั่วโมงนี้ไปได้ถือว่ารอด
ตอนนี้ถือว่า สามารถตายได้ทุกเมื่อ”
นี่คือเสียงแรกที่ผมได้ยิน
จากหมอคุยกับแฟนผมที่หน้าห้องพัก
ตอนผมได้ยินแบบนี้ บอกตัวเองอย่างเดียวเลยครับว่า
จะตายไม่ได้
เท่ากับว่า ถ้าผมมีชีวิตอยู่ถึงวันที่ 2 ม.ค.59 เท่ากับว่า ผมจะมีชีวิตอยู่ ผมพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้ ฝึกขยับไหล่ ขยับแขนขาทันทีเลย
บอกตรงๆเลยนะครับ
“กลัวตาย”
…
ผมนอนโรงพยาบาล 11 คืน จนออกจากรพ.วันที่ 12 ม.ค.59
ในช่วงนั้นผมทั้งฝึกกายภาพ และช่วงนั้นทำให้ผมคิดอะไรได้หลายอย่าง
จากที่ไม่เคยให้ความสำคัญกับร่างกาย กับการกิน กับการใช้ชีวิต
การเฉียดตายครั้งนี้ของผม
…
เรื่องความเครียด ก็มีบ้างแหละครับ ทำงานมันก็ต้องมีบ้าง
มีบริษัท มีลูกน้องต้องรับผิดชอบพวกเค้า
เครียดมากหากไม่มีอะไรทำ ดังนั้นชีวิตผมกับแฟนต้องหาอะไรทำตลอด
ถ้าไม่ทำอยู่ว่างๆจะเครียดมาก
ด้วยความเป็นคนไม่ฉลาด แต่อาศัยอดทนมุ่งมั่น
ทำอะไรต้องเอาให้สุด จะได้ไม่เสียใจทีหลังว่าไม่ได้ทำ
ชอบความท้าทาย ไม่กลัวเจ๊ง ลุยให้สุดก่อน ถ้ามันไม่ใช่ค่อยว่ากัน
เคยทำมาทั้งบริษัทออแกไนซ์ ร้านอาหาร
ร้านรับส่งไปรษณีย์ ร้านขายของเล่น บริษัทตกแต่งภายใน
แต่มาถึงที่เครียดหนักคือ โรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ เพื่อรองรับบริษัทตกแต่งภายในของเรา ที่เครียดเพราะ การบริหารงานที่นั่นมีปัญหาบ่อยครั้ง
แต่ทุกกิจการที่ดูแลผมสนุกไปกับมัน
หรืออาจเป็นความเครียดที่สะสมไม่รู้ตัว
แต่ทุกวันนี้จะรู้ตัว และเตือนตัวเองให้มีลิมิต จบงานคือจบ
ไม่เครียดกับมันเหมือนเมื่อก่อน
ห้องนอนคือห้องปลอดความเครียด
ความเครียดทำร้ายเราได้ ถ้าเราอนุญาตให้มันเข้ามาในสมองเรา
…
แต่ความเครียดมันเป็นต้นเหตุแค่ 10%
แต่อีก 90% คือเรื่องกินครับ
หมอบอกผมว่า
ความเครียดเป็นศัตรู แค่หัวไม้ขีดที่เผาเรา
แต่อาหารที่เรากินเข้าไป มันเผาไหม้ร่างเรายิ่งกว่าไม้ขีดอีกครับ
พวกเรารู้แหละว่าอะไรดีไม่ดี แต่ก็ไม่กินไงครับจริงไหม
เหมือนผมแหละ ตอนนี้เกือบเห็นโลงศพแล้ว
ก็หลั่งน้ำตาแล้ว เลยอยากบอกต่อคนอื่นครับ
มันน่ากลัวจริง
ส่วนตัวผมมีโรคประจำตัวแบบคนทั่วไปคือ เบาหวานเป็นกรรมพันธุ์
แต่ผมกลับไม่เชื่อว่ามันเกี่ยวกับกรรมพันธ์ุ
จนถึงตอนนี้ผมว่า ที่ผมเจอเกิดจากปากผมเองครับ
เพราะเป็นคนกินทุกอย่างที่ขวางหน้า
ความดันโลหิตสูง คลอเลสเตอรอลพุ่งก็ตามมาด้วยเช่นกัน
คลอเลสเตอรอลเคยพุ่งถึง 400 (จำหน่วยไม่ได้)
ไปหาหมอครั้งนึง ก็ให้ยามาทาน
ส่วนตัวก็ดื้อไม่ทานยา เพราะคิดว่า ยาไม่ใช่ทางแก้ปัญหา แถมกินนนานๆ ส่งผลสียต่อตับ
จะตรวจร่างกายทีก็เตรียมตัวสัก 2-3 อาทิตย์ กินอาหารสุขภาพหน่อยผลการตรวจสุขภาพจะได้ออกมาดี
เชื่อเหอะครับ หลายคนก็ทำแบบผม
เมนูโปรด…ผมก็กินไก่ทอดทุกวัน
เรียกว่า เบรคช่วงบ่ายแก่ๆ ไก่ทอดต้องมา กินด้วยแจกลูกน้องด้วย
ส่วนตัวเกิดวันพฤหัส ก็มีกินมังสวิรัติกับเค้า 1 วัน ผักก็กินนะไม่ใช่ไม่กิน
ขากินขนาดนี้ มันไม่ใช่แค่ไก่ทอด
ขนมหวานของโปรดคือ บราวนี่
(เห็นแล้วมือไม้สั่น)
น้ำเย็นจัดๆกินตลอด ต้องเย็นจัดๆมันชื่นใจหนิครับ
เรียกว่า ของเหลือในตู้เย็นมีอะไรก็กิน
กินทุกอย่างที่ขวางหน้า เพราะเหลือทิ้งก็เสียดาย
ถึงตอนนี้ ใครกินแบบผมบ้างครับ
ระวังตัวหน่อยนะครับ
…
สัญญาณเตือนของร่างกายที่มาเตือนมาก่อน
มีทั้งขาชา มึนหัว ปวดหัว เพิ่งรู้ทีหลังว่า
นั่นคือเส้นเลือดฝอยในสมองส่วนหน้าได้แตกแล้ว
ถึงทำให้มีอาการเหล่านั้น
แต่ส่วนหน้าอาจไม่กระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายเท่ากับครั้งล่าสุดที่เจอ
…
ออกกำลังกายก็ออกบ้างนะครับ
เข้าฟิตเนสตามใต้คอนโด ไม่กล้าไปออกตามฟิตเนส
เพราะอายหุ่นตัวเอง
เคยเจอสายตาเทรนเนอร์มองมา อารมณ์แบบรู้จากสายตาเลยว่า พี่อ้วนขนาดนี้ ให้ผมเทรนให้เถอะ...55
...
นี่คือ สาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดในสมองแตก เท่าที่ผมรวบรวมสาเหตุได้ ทั้งการกินแบบทุกอย่างที่ขวางหน้า
ผสมกับความเครียดที่มีกับงานมาก โดยบำบัดด้วยการกิน
ออกกำลังกายที่แบบเรียกว่า ไม่ออกเลยมั้ง
เพราะถ้าออกอย่างน้อยก็ต้อง 20 – 30 นาทีต่อครั้ง สัปดาห์ละ 3 วันขึ้นไป
ผมนี่แทบไม่ถึงตามเกณฑ์เลย
เพราะทั้งขี้เกียจ ไม่มีเวลา และกว่าจะพาตัวเองออกกำลังกายได้
ไปหาอะไรกินง่ายกว่าจริงไหมครับ
...
วันที่ออกจากโรงพยาบาลต้องนั่งรถเข็น
หาหมอทั้งแผนปัจจุบัน ทำกายภาพ และสายแพทย์แผนจีนแพทย์ทางเลือก
จนอาการเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จากเดินไม่ได้ ก็เริ่มเดินได้ ใช้ไม้เท้า จนเดินได้ด้วยตัวเอง
ผมกลับมามีวันนี้ เพราะทำหลายอย่างมาก
หลังจากนั้นก็พยายามปล่อยวางความเครียด
ปฏิวัติการกิน ปฏิวัติการกินหนึ่งที่ผมทำคือ หาข้อมูลการกินอย่างถูกต้อง
กินเหมาะกับร่างกาย
และออกกำลังกายมากขึ้นเท่าที่จะทำได้
ช่วงปี 59 อาการเริ่มดีขึ้นก็เริ่มเดินลู่ ทุกวัน หาทั้งหมอแผนปัจจุบัน และเลือกฝังเข็มด้วย
เรียกว่าชีวิตช่วงนั้น ใน 7 วัน หาหมอสัก 5 วัน บางวันหาเช้าคนนึง บ่ายอีกคน
...
(ชัดบ้าง สั่นบ้าง ก็เพราะช่างภาพส่วนตัว(ภรรยา)ถ่ายให้ครับ 555 )
ผลจากการปล่อยวางไม่เครียด เลือกกิน และออกกำลังกายประมาณ 20 นาที
ตอนนี้ผมสามารถช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันได้แล้ว
สามารถไปไหนมาไหนคนเดียวได้ ใช้ชีวิตทุกอย่างเกือบปกติ
น้ำหนักจากช่วงออกโรงพยาบาล 82 กิโลกรัมจนตอนนี้เหลือ 72 กิโลกรัม
แต่สุขภาพดีขึ้นเยอะ
จนหมอหลายคนก็ถามว่า ไปทำอะไรมา
ผมก็ได้แต่อมยิ้ม และ บอกเคล็ดลับไปแค่
ปล่อยวาง เลือกกิน และออกกำลังกายให้เป็น
แค่นี้คุณก็ห่างไกลจากโรคหลอดเลือดสมองแตก
โรคอัมพฤต อัมพาต
เพราะคุณจะได้ไม่ต้องมาเฉียดตายแบบผมนะครับ
ไม่อยากบอกว่าตัวเองโชคดี เพราะไม่มีใครอยากโชคร้าย
แต่ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถเลือกชีวิตตัวเองได้ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพครับ
3 ปัจจัยที่ผมคิดว่า เป็นต้นเหตุโรคนี้ที่เกิดขึ้นสำหรับผม
ก็คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้กับคนอื่นได้เช่นกัน
ดังนั้นอย่าประมาทเลยนะครับ
มันไม่ยากเกินไป ผมทำได้คุณก็ทำได้นะครับ
...
ขอให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้กับใครอีกหลายคนนะครับ
อย่าใช้ชีวิตเต็มที่แบบประมาทแบบผมนะครับ
เหมือนที่ผมบอกลูกน้องอยู่เสมอว่า เราเป็นคนทำงานออกแบบ
เหมือนกับคนที่ทาสีให้โลกใบนี้ให้น่าอยู่สดใส
แล้วถ้าเราไม่ดูแลตัวเราเองให้ดี
แล้วจะทาโลกนี้ให้สดใสได้อย่างไร
2 ปีกว่าจะเขียนได้... แชร์ประสบการณ์เกือบตาย จากหลอดเลือดสมองแตกจนอัมพาต แต่วันนี้กลับมาดูแลครอบครัวได้
แค่ไม่อยากให้ใครต้องทนทุกข์กับร่างกายที่ไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่เหมือนเดิม
จากที่ช่วยเหลือตัวเองได้ กลายเป็นภาระ
แต่อยากให้คนอื่นได้รับรู้และตระหนักถึงโรคเส้นเลือดสมอง และการดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในอาการแบบนี้ รวมถึงใครที่แข็งแรงดีวันนี้ แต่หากมีพฤติกรรมเหมือนผมสมัยก่อน ผมอยากเตือนว่าอย่าประมาทเลยครับ เพราะช่วงเวลาความเป็นความตายนั้นแบบมันน่ากลัวจริงๆครับ
…
ผมสูง 174 น้ำหนัก 88 กิโลกรัม จัดว่าอ้วนมีพุง อ้วนกลม
มี 1 ภรรยา ลูก 2 คน ใช้ชีวิตปกติ กิน ดื่ม เที่ยวแบบคนทำงานทั่วไป
นัดเจอกันกับเพื่อนก็ตามร้านอาหาร ผมไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มเหล้าครับ
สายชาบู ปิ้งย่าง สุกี้ บุฟเฟต์ไม่ยั้ง…
…
ก่อนหน้าที่ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนผมมาว่า เส้นเลือดจะแตกแล้วนะ
ผมเคยป่วยเป็นโรคตะกอนหินปูนในหูร่วง คล้ายโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
เกิดจากส่วนตัวชอบนอนเล่นมือถือ
จึงเป็นที่มาของอาการตะกอนหินปูนนี้ หลุดเข้าไปในรูหูที่มีกระดูกรูปค้อน ทั่ง โกลน
กระดูกชิ้นเล็กๆที่เรารู้กันว่า เป็นแหล่งรับเสียง
ตะกอนชิ้นเล็กๆนี้พอหลุดเข้าไปในกระดูก 3 ชิ้นที่ทำหน้าที่รับเสียง
ทำให้ดวงตาแกว่งขึ้นบนลงล่างตลอดเวลา ปวดหัว หูอื้อ
จนต้องนอนโรงพยาบาลรักษาตัว
...
จนกลางปี 58
คราวนี้สัญญาณเส้นเลือดสมองจะแตกส่งมาจริงๆละ
ก็คิดว่ามก็ไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่า เกิดจากโรคตะกอนหินปูนร่วงอีก
อาการมีดังนี้
เริ่มขาชา
ขาชาครั้งละ 4 – 5 วัน ประมาณ 2 – 3 อาทิตย์ก็เป็นครั้งนึงสลับกันไป
อาการมึนหัวบ่อยๆ
อาการวูบภาพตัด เหมือนเครื่องคอมชัตดาวน์ประมาณ 1 วินาที แล้วกลับมาสู่สภาพปกติ
จนหนักๆเข้าก่อนที่จะเจอเส้นเลือดสมองแตก
ถึงขั้นลิ้นแห้ง ไม่มีน้ำลายจนลิ้นกลายเป็นเกล็ด
...
จนมาวันที่ 30 ธ.ค. 58
ไปทำงานกลับมา นัดแฟนกับพี่ชายแฟนกินข้าวกันเหมือนเดิม
แต่วันนี้รู้สึกปวดหัว อาจเพราะเหนื่อยและเครียดเรื่องงานด้วย
พอกลับบ้าน ก็รีบกินยาความดันและรีบนอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม
เพราะช่วงนั้นขายของเล่น กะว่าวันสิ้นปีจะต้องขายดีแน่ๆ
...
จนเวลาตี 2 หรือเช้าตรู่ของวันที่ 31 ธ.ค.58
ลุกมาเข้าห้องน้ำ ปวดหัวเหมือนตอนป่วยเป็นตะกอนหินที่หู
ก็พยายามหมุนหัว ท่ากายบริหารที่คุณหมอแนะนำให้ทำตอนหลังจากป่วยโรคตะกอนหินนี้
แต่อาการไม่ดีขึ้นเลย แฟนก็ให้ไปหาหมอ
จนตี 4 อาเจียนอีกรอบ คราวนี้อ้วกจนไม่มีอะไรให้ออกแล้ว
พอลุกขึ้นยืนแค่นั้น คราวนี้ยืนพิงกำแพงห้องน้ำ
อยู่ๆมือและขาซ้ายก็ไม่มีแรง
จากที่ยันกำแพงไว้ด้วยมือซ้าย ก็ไม่มีแรงจนล้มในห้องน้ำ
จากนั้นก็น็อคไม่รู้สึกตัวไปเลย
…
ตอนหลังแฟนเล่าให้ฟังว่า ได้โทรเรียกรถพยาบาลมารับ
โชคดีที่วันนั้นไม่ใช่วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ถ้าเป็นวันปีใหม่คงมีรถพยาบาลไม่มากเท่ากับวันนั้น
เพราะเจ้าหน้าที่ก็ต้องหยุดบ้าง
สภาพตอนนั้นที่แฟนเล่าบอกว่า
ต้องเรียกให้ลูกมาช่วยพยุงลงจากชั้นบน
ลงมารถพยาบาลที่จอดชั้นล่าง
ตอนที่หมอมาปากด้านซ้ายเริ่มเบี้ยว
หมอวัดน้ำตาล บอกว่า ขึ้นไป 350 ความดันก็สูง
ไม่ใช่ตะกอนหินแล้วอาการแบบนี้ แต่เป็นเส้นเลือดสมองแตก!!!
…
(นี่ครับ สภาพผมจากล้องมือถือของแฟน ตอนนี้เรียกว่าหมดสภาพจริงๆครับ)
ตอนมาถึงโรงพยาบาลก็สแกนสมอง แต่กลับไม่เจอจุดที่เลือดออกในสมอง จนหมอเฉพาะทางมาอ่านฟิล์มเอกซเรย์อีกครั้ง และขยายรายละเอียดดูบอกว่า
เส้นเลือดฝอยที่ก้านสมองเส้นที่ 5,6,7 มีจุดเล็กๆเหมือนปากกาจุดไว้
นั่นแหละปัญหาเลย
ประมาณ 10 โมงเช้าของวันที่ 31 ธ.ค. 58
ผมมารู้สึกตัวแบบงงๆอีกทีนอนอยู่บนเตียง
ไม่มีแรง ยกแขนขาด้านซ้ายไม่ได้ พูดอะไรมากไม่ได้ ทำไรก็เหนื่อย หายใจไม่ทัน และตาด้านซ้ายมองเห็นภาพซ้อนตลอดเวลา เหมือนมีใครเอานิ้วมาบัง
...
แว็บแรกคือ เราเป็นอะไร ห่วงลูกเมีย ห่วงแม่ ห่วงครอบครัว ห่วงลูกน้อง ห่วงกิจการ
เราจะเป็นแบบนี้ไม่ได้
ถ้าเราล้ม มันเป็นโดมิโน่ที่ล้มตามแน่ๆเลย
สิ่งหนึ่งที่คิดได้คือ
แม้เราจะโชคร้ายที่เป็นแบบนี้
แต่ยังโชคดีที่พระเจ้ายังไม่ได้เอาสมองของเราไปด้วย
เรายังมีรับรู้ ยังมีสติสัมปัญชัญญะ
ยังมองเห็นและได้ยินเสียง
…
“สามีคุณอยู่ในภาวะเสี่ยง หากพ้น 72 ชั่วโมงนี้ไปได้ถือว่ารอด
ตอนนี้ถือว่า สามารถตายได้ทุกเมื่อ”
นี่คือเสียงแรกที่ผมได้ยิน
จากหมอคุยกับแฟนผมที่หน้าห้องพัก
ตอนผมได้ยินแบบนี้ บอกตัวเองอย่างเดียวเลยครับว่า
จะตายไม่ได้
เท่ากับว่า ถ้าผมมีชีวิตอยู่ถึงวันที่ 2 ม.ค.59 เท่ากับว่า ผมจะมีชีวิตอยู่ ผมพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้ ฝึกขยับไหล่ ขยับแขนขาทันทีเลย
บอกตรงๆเลยนะครับ
“กลัวตาย”
…
ผมนอนโรงพยาบาล 11 คืน จนออกจากรพ.วันที่ 12 ม.ค.59
ในช่วงนั้นผมทั้งฝึกกายภาพ และช่วงนั้นทำให้ผมคิดอะไรได้หลายอย่าง
จากที่ไม่เคยให้ความสำคัญกับร่างกาย กับการกิน กับการใช้ชีวิต
การเฉียดตายครั้งนี้ของผม
…
เรื่องความเครียด ก็มีบ้างแหละครับ ทำงานมันก็ต้องมีบ้าง
มีบริษัท มีลูกน้องต้องรับผิดชอบพวกเค้า
เครียดมากหากไม่มีอะไรทำ ดังนั้นชีวิตผมกับแฟนต้องหาอะไรทำตลอด
ถ้าไม่ทำอยู่ว่างๆจะเครียดมาก
ด้วยความเป็นคนไม่ฉลาด แต่อาศัยอดทนมุ่งมั่น
ทำอะไรต้องเอาให้สุด จะได้ไม่เสียใจทีหลังว่าไม่ได้ทำ
ชอบความท้าทาย ไม่กลัวเจ๊ง ลุยให้สุดก่อน ถ้ามันไม่ใช่ค่อยว่ากัน
เคยทำมาทั้งบริษัทออแกไนซ์ ร้านอาหาร
ร้านรับส่งไปรษณีย์ ร้านขายของเล่น บริษัทตกแต่งภายใน
แต่มาถึงที่เครียดหนักคือ โรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ เพื่อรองรับบริษัทตกแต่งภายในของเรา ที่เครียดเพราะ การบริหารงานที่นั่นมีปัญหาบ่อยครั้ง
แต่ทุกกิจการที่ดูแลผมสนุกไปกับมัน
หรืออาจเป็นความเครียดที่สะสมไม่รู้ตัว
แต่ทุกวันนี้จะรู้ตัว และเตือนตัวเองให้มีลิมิต จบงานคือจบ
ไม่เครียดกับมันเหมือนเมื่อก่อน
ห้องนอนคือห้องปลอดความเครียด
ความเครียดทำร้ายเราได้ ถ้าเราอนุญาตให้มันเข้ามาในสมองเรา
…
แต่ความเครียดมันเป็นต้นเหตุแค่ 10%
แต่อีก 90% คือเรื่องกินครับ
หมอบอกผมว่า
ความเครียดเป็นศัตรู แค่หัวไม้ขีดที่เผาเรา
แต่อาหารที่เรากินเข้าไป มันเผาไหม้ร่างเรายิ่งกว่าไม้ขีดอีกครับ
พวกเรารู้แหละว่าอะไรดีไม่ดี แต่ก็ไม่กินไงครับจริงไหม
เหมือนผมแหละ ตอนนี้เกือบเห็นโลงศพแล้ว
ก็หลั่งน้ำตาแล้ว เลยอยากบอกต่อคนอื่นครับ
มันน่ากลัวจริง
ส่วนตัวผมมีโรคประจำตัวแบบคนทั่วไปคือ เบาหวานเป็นกรรมพันธุ์
แต่ผมกลับไม่เชื่อว่ามันเกี่ยวกับกรรมพันธ์ุ
จนถึงตอนนี้ผมว่า ที่ผมเจอเกิดจากปากผมเองครับ
เพราะเป็นคนกินทุกอย่างที่ขวางหน้า
ความดันโลหิตสูง คลอเลสเตอรอลพุ่งก็ตามมาด้วยเช่นกัน
คลอเลสเตอรอลเคยพุ่งถึง 400 (จำหน่วยไม่ได้)
ไปหาหมอครั้งนึง ก็ให้ยามาทาน
ส่วนตัวก็ดื้อไม่ทานยา เพราะคิดว่า ยาไม่ใช่ทางแก้ปัญหา แถมกินนนานๆ ส่งผลสียต่อตับ
จะตรวจร่างกายทีก็เตรียมตัวสัก 2-3 อาทิตย์ กินอาหารสุขภาพหน่อยผลการตรวจสุขภาพจะได้ออกมาดี
เชื่อเหอะครับ หลายคนก็ทำแบบผม
เมนูโปรด…ผมก็กินไก่ทอดทุกวัน
เรียกว่า เบรคช่วงบ่ายแก่ๆ ไก่ทอดต้องมา กินด้วยแจกลูกน้องด้วย
ส่วนตัวเกิดวันพฤหัส ก็มีกินมังสวิรัติกับเค้า 1 วัน ผักก็กินนะไม่ใช่ไม่กิน
ขากินขนาดนี้ มันไม่ใช่แค่ไก่ทอด
ขนมหวานของโปรดคือ บราวนี่
(เห็นแล้วมือไม้สั่น)
น้ำเย็นจัดๆกินตลอด ต้องเย็นจัดๆมันชื่นใจหนิครับ
เรียกว่า ของเหลือในตู้เย็นมีอะไรก็กิน
กินทุกอย่างที่ขวางหน้า เพราะเหลือทิ้งก็เสียดาย
ถึงตอนนี้ ใครกินแบบผมบ้างครับ
ระวังตัวหน่อยนะครับ
…
สัญญาณเตือนของร่างกายที่มาเตือนมาก่อน
มีทั้งขาชา มึนหัว ปวดหัว เพิ่งรู้ทีหลังว่า
นั่นคือเส้นเลือดฝอยในสมองส่วนหน้าได้แตกแล้ว
ถึงทำให้มีอาการเหล่านั้น
แต่ส่วนหน้าอาจไม่กระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายเท่ากับครั้งล่าสุดที่เจอ
…
ออกกำลังกายก็ออกบ้างนะครับ
เข้าฟิตเนสตามใต้คอนโด ไม่กล้าไปออกตามฟิตเนส
เพราะอายหุ่นตัวเอง
เคยเจอสายตาเทรนเนอร์มองมา อารมณ์แบบรู้จากสายตาเลยว่า พี่อ้วนขนาดนี้ ให้ผมเทรนให้เถอะ...55
...
นี่คือ สาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดในสมองแตก เท่าที่ผมรวบรวมสาเหตุได้ ทั้งการกินแบบทุกอย่างที่ขวางหน้า
ผสมกับความเครียดที่มีกับงานมาก โดยบำบัดด้วยการกิน
ออกกำลังกายที่แบบเรียกว่า ไม่ออกเลยมั้ง
เพราะถ้าออกอย่างน้อยก็ต้อง 20 – 30 นาทีต่อครั้ง สัปดาห์ละ 3 วันขึ้นไป
ผมนี่แทบไม่ถึงตามเกณฑ์เลย
เพราะทั้งขี้เกียจ ไม่มีเวลา และกว่าจะพาตัวเองออกกำลังกายได้
ไปหาอะไรกินง่ายกว่าจริงไหมครับ
...
วันที่ออกจากโรงพยาบาลต้องนั่งรถเข็น
หาหมอทั้งแผนปัจจุบัน ทำกายภาพ และสายแพทย์แผนจีนแพทย์ทางเลือก
จนอาการเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จากเดินไม่ได้ ก็เริ่มเดินได้ ใช้ไม้เท้า จนเดินได้ด้วยตัวเอง
ผมกลับมามีวันนี้ เพราะทำหลายอย่างมาก
หลังจากนั้นก็พยายามปล่อยวางความเครียด
ปฏิวัติการกิน ปฏิวัติการกินหนึ่งที่ผมทำคือ หาข้อมูลการกินอย่างถูกต้อง
กินเหมาะกับร่างกาย
และออกกำลังกายมากขึ้นเท่าที่จะทำได้
ช่วงปี 59 อาการเริ่มดีขึ้นก็เริ่มเดินลู่ ทุกวัน หาทั้งหมอแผนปัจจุบัน และเลือกฝังเข็มด้วย
เรียกว่าชีวิตช่วงนั้น ใน 7 วัน หาหมอสัก 5 วัน บางวันหาเช้าคนนึง บ่ายอีกคน
...
(ชัดบ้าง สั่นบ้าง ก็เพราะช่างภาพส่วนตัว(ภรรยา)ถ่ายให้ครับ 555 )
ผลจากการปล่อยวางไม่เครียด เลือกกิน และออกกำลังกายประมาณ 20 นาที
ตอนนี้ผมสามารถช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันได้แล้ว
สามารถไปไหนมาไหนคนเดียวได้ ใช้ชีวิตทุกอย่างเกือบปกติ
น้ำหนักจากช่วงออกโรงพยาบาล 82 กิโลกรัมจนตอนนี้เหลือ 72 กิโลกรัม
แต่สุขภาพดีขึ้นเยอะ
จนหมอหลายคนก็ถามว่า ไปทำอะไรมา
ผมก็ได้แต่อมยิ้ม และ บอกเคล็ดลับไปแค่
ปล่อยวาง เลือกกิน และออกกำลังกายให้เป็น
แค่นี้คุณก็ห่างไกลจากโรคหลอดเลือดสมองแตก
โรคอัมพฤต อัมพาต
เพราะคุณจะได้ไม่ต้องมาเฉียดตายแบบผมนะครับ
ไม่อยากบอกว่าตัวเองโชคดี เพราะไม่มีใครอยากโชคร้าย
แต่ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถเลือกชีวิตตัวเองได้ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพครับ
3 ปัจจัยที่ผมคิดว่า เป็นต้นเหตุโรคนี้ที่เกิดขึ้นสำหรับผม
ก็คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้กับคนอื่นได้เช่นกัน
ดังนั้นอย่าประมาทเลยนะครับ
มันไม่ยากเกินไป ผมทำได้คุณก็ทำได้นะครับ
...
ขอให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้กับใครอีกหลายคนนะครับ
อย่าใช้ชีวิตเต็มที่แบบประมาทแบบผมนะครับ
เหมือนที่ผมบอกลูกน้องอยู่เสมอว่า เราเป็นคนทำงานออกแบบ
เหมือนกับคนที่ทาสีให้โลกใบนี้ให้น่าอยู่สดใส
แล้วถ้าเราไม่ดูแลตัวเราเองให้ดี
แล้วจะทาโลกนี้ให้สดใสได้อย่างไร