คือเราทำงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้างแห่งหนึ่ง อยู่ฝ่ายบุคคล โดยคำชวนของเพื่อน
ตอนแรกเราทำงานอยู่แถวบ้าน นั่งรถไม่กี่นาทีก็ถึง ทำเกี่ยวกับบัญชี เพราะจบบัญชีมา
ทีนี้เพื่อนมาชวนว่าที่บริษัทเขาขาดฝ่ายบุคคล เราก็สนใจอ่ะเนอะ เพราะเป็นงานที่ยังไม่เคยทำ
ทั้งๆที่ไกลบ้าน ต้องเสียค่าเดินทาง นั่งรถไฟฟ้าเกือบสุดสาย แต่เราก็อยากที่จะลองทำ เลยไปสมัครดู
ประสบการณ์การทำงานเราก็ทำมาหลายอย่าง เพราะเราเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย
คือตอนสัมภาษณ์เราเขียนในใบสมัครขอไป ไม่ถึง สองหมื่นเลย ช่วงทดลองงาน เขาก็ให้อยู่ที่ 15000 เราก็โอเค
แต่พอมันผ่านหลายเดือน เข้าเดือนที่ 5 6 7 8 ก็ยังไม่มีการปรับ
ตอนแรกก็คิดหรือเพราะเราไม่มีความสามารถพอ หรือเราจบมาไม่ตรงสาย (แต่หัวหน้าเราก็จบบัญชีมาเหมือนกัน)
ถามไปยังหัวหน้าซึ่งเป็น ผู้จัดการฝ่ายบุคคล ก็ไม่ได้รับคำตอบ บอกให้ไปถามเจ้านายฝ่ายบัญชีเอา
เราก็ไปถาม เขาก็บอกยังไม่ได้เอกสารประเมินเลย แล้วคือ ผลัดกันไปมา ไม่มีความแน่ชัด
เราพยายามอดทนมาโดยตลอด แต่สุดท้ายเขากลับไม่ให้ตามที่เราขอ
เราจึงตัดสินใจลาออก เดือนที่ 8 ที่นี่หัวหน้าเราก็มาบอกว่า ที่ไม่ขึ้นให้เพราะผู้ใหญ่เขาไม่อนุมัติ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจริงไหม
เราก็งง ไม่เข้าใจว่าถ้าไม่ยอมที่จะให้เงินตามที่เราขอ แล้วจะรับเข้ามาทำงานทำไม
ถึงตอนนี้แม้ปรับเงินให้เราย้อนหลังเราก็ไม่สนแล้ว เพราะความรู้สึกมันเสียไปแล้ว
บริษัทที่เราทำเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ก่อตั้งมาก็ 20 กว่าปีแล้วนะ คนที่ทำส่วนใหญ่ก็วัยผู้ใหญ่ 40 50 กันแล้ว
บางคน 60แล้วด้วยซ้ำ หรือว่าที่นี่เขาเลี้ยงแต่คนเก่าคนแก่ ไม่ใส่ใจเด็กจบใหม่เลยหรอ
บริษัทมีพนักงานประมาณ 300 คน และบริษัทนี้ก็มีฝ่ายบุคคลแค่ 2 ทำมันทุกอย่าง ฝ่ายบุคคลทำงานกับคนร้อยพ่อพันแม่
ปัญหาก็มีมาก งานที่ปวดหัวที่สุดคือการคิดค่าแรง โอที ที่นี่ใช้คิดมือ เราต้องนั่งคิดกดเครื่องคิดเลขเอา มึนมากๆ
(ไม่รู้ที่อื่นๆเป็นเหมือนกันไหม หรือใช้ระบบคอมพิวเตอร์) บางทีเราก็สงสารหัวหน้าเรา เพราะงานเขาเยอะ
ถ้าเราออกก็ไม่มีคนช่วย แต่เรามานึกย้อนว่า แล้วเราไม่สงสารตัวเองหรอ ทำงานไกลบ้าน ค่าเดินทางก็แพง ภาระที่บ้านก้มีมาก
นั่นซินะ เราควรสงสารตัวเอง
หรือว่ามันเป็นเรื่องปกติของทุกบริษัทที่ต้องกดเงินเดือนพนักงาน เพื่อให้ได้กำไรได้ผลประกอบการเยอะ
กำไรบริษัทก็มีมาก ปีนี้มีพาพนักงานไปเที่ยวต่างประเทศด้วย
แต่ของเพื่อนเราไม่เป็นอย่างนี้นะ คนละแผนก คนละหัวหน้ากัน ฝ่ายนั้นหัวหน้าเขาใส่ใจดูแลดี
ตอนเพื่อนมาชวนเขาก็เล่าให้ฟังถึงหัวหน้าเขาดีมากๆ ซึ่งผิดกับหัวหน้าเรา
ตอนนี้เพื่อนเราก็รู้สึกผิด ที่ชวนเรามาทำงานแล้วมันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
เพื่อนเราก็ไม่อยากให้เราโดนเอาเปรียบ เขาก็เข้าใจที่เราลาออก เราก็จากกันได้ด้วยดี
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน มารับฟัง เราแค่อยากระบายเฉยๆ มันอัดอั้นมากๆเลย
ทำงานมา 8 เดือนแล้ว แต่บริษัทไม่ปรับเงินเดือนให้ตามที่ขอ มันเป็นเรื่องปกติในสังคมไทยหรือเปล่าคะ
ตอนแรกเราทำงานอยู่แถวบ้าน นั่งรถไม่กี่นาทีก็ถึง ทำเกี่ยวกับบัญชี เพราะจบบัญชีมา
ทีนี้เพื่อนมาชวนว่าที่บริษัทเขาขาดฝ่ายบุคคล เราก็สนใจอ่ะเนอะ เพราะเป็นงานที่ยังไม่เคยทำ
ทั้งๆที่ไกลบ้าน ต้องเสียค่าเดินทาง นั่งรถไฟฟ้าเกือบสุดสาย แต่เราก็อยากที่จะลองทำ เลยไปสมัครดู
ประสบการณ์การทำงานเราก็ทำมาหลายอย่าง เพราะเราเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย
คือตอนสัมภาษณ์เราเขียนในใบสมัครขอไป ไม่ถึง สองหมื่นเลย ช่วงทดลองงาน เขาก็ให้อยู่ที่ 15000 เราก็โอเค
แต่พอมันผ่านหลายเดือน เข้าเดือนที่ 5 6 7 8 ก็ยังไม่มีการปรับ
ตอนแรกก็คิดหรือเพราะเราไม่มีความสามารถพอ หรือเราจบมาไม่ตรงสาย (แต่หัวหน้าเราก็จบบัญชีมาเหมือนกัน)
ถามไปยังหัวหน้าซึ่งเป็น ผู้จัดการฝ่ายบุคคล ก็ไม่ได้รับคำตอบ บอกให้ไปถามเจ้านายฝ่ายบัญชีเอา
เราก็ไปถาม เขาก็บอกยังไม่ได้เอกสารประเมินเลย แล้วคือ ผลัดกันไปมา ไม่มีความแน่ชัด
เราพยายามอดทนมาโดยตลอด แต่สุดท้ายเขากลับไม่ให้ตามที่เราขอ
เราจึงตัดสินใจลาออก เดือนที่ 8 ที่นี่หัวหน้าเราก็มาบอกว่า ที่ไม่ขึ้นให้เพราะผู้ใหญ่เขาไม่อนุมัติ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจริงไหม
เราก็งง ไม่เข้าใจว่าถ้าไม่ยอมที่จะให้เงินตามที่เราขอ แล้วจะรับเข้ามาทำงานทำไม
ถึงตอนนี้แม้ปรับเงินให้เราย้อนหลังเราก็ไม่สนแล้ว เพราะความรู้สึกมันเสียไปแล้ว
บริษัทที่เราทำเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ก่อตั้งมาก็ 20 กว่าปีแล้วนะ คนที่ทำส่วนใหญ่ก็วัยผู้ใหญ่ 40 50 กันแล้ว
บางคน 60แล้วด้วยซ้ำ หรือว่าที่นี่เขาเลี้ยงแต่คนเก่าคนแก่ ไม่ใส่ใจเด็กจบใหม่เลยหรอ
บริษัทมีพนักงานประมาณ 300 คน และบริษัทนี้ก็มีฝ่ายบุคคลแค่ 2 ทำมันทุกอย่าง ฝ่ายบุคคลทำงานกับคนร้อยพ่อพันแม่
ปัญหาก็มีมาก งานที่ปวดหัวที่สุดคือการคิดค่าแรง โอที ที่นี่ใช้คิดมือ เราต้องนั่งคิดกดเครื่องคิดเลขเอา มึนมากๆ
(ไม่รู้ที่อื่นๆเป็นเหมือนกันไหม หรือใช้ระบบคอมพิวเตอร์) บางทีเราก็สงสารหัวหน้าเรา เพราะงานเขาเยอะ
ถ้าเราออกก็ไม่มีคนช่วย แต่เรามานึกย้อนว่า แล้วเราไม่สงสารตัวเองหรอ ทำงานไกลบ้าน ค่าเดินทางก็แพง ภาระที่บ้านก้มีมาก
นั่นซินะ เราควรสงสารตัวเอง
หรือว่ามันเป็นเรื่องปกติของทุกบริษัทที่ต้องกดเงินเดือนพนักงาน เพื่อให้ได้กำไรได้ผลประกอบการเยอะ
กำไรบริษัทก็มีมาก ปีนี้มีพาพนักงานไปเที่ยวต่างประเทศด้วย
แต่ของเพื่อนเราไม่เป็นอย่างนี้นะ คนละแผนก คนละหัวหน้ากัน ฝ่ายนั้นหัวหน้าเขาใส่ใจดูแลดี
ตอนเพื่อนมาชวนเขาก็เล่าให้ฟังถึงหัวหน้าเขาดีมากๆ ซึ่งผิดกับหัวหน้าเรา
ตอนนี้เพื่อนเราก็รู้สึกผิด ที่ชวนเรามาทำงานแล้วมันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
เพื่อนเราก็ไม่อยากให้เราโดนเอาเปรียบ เขาก็เข้าใจที่เราลาออก เราก็จากกันได้ด้วยดี
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน มารับฟัง เราแค่อยากระบายเฉยๆ มันอัดอั้นมากๆเลย