4 วงจรอุบาทว์ของมนุษย์เงินเดือน เมื่อเข้าสู่วงจรนี้แล้วจะหง๋อกลายเป็นทาสนายจ้างเกือบทั้งชีวิตทันที

เมื่อเข้าสู่วัยมนุษย์เงินเดือนโตเต็มวัย สิ่งที่คนส่วนใหญ่มักจะเจอคือจะมีวงจรชีวิตที่คล้ายๆ กัน ซึ่งมีไม่ถึง 10 เปอเซ็นต์เทจ ที่สามารถหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ของการเป็นมนุษย์เงินเดือนได้ มาดูกันว่ามีวงจรอะไรบ้างที่มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ถูกวงจรนี้กลืนกินเข้าไป แล้วมารู้สึกตัวอีกที่ก็สายไปเสียแล้ว

1.วงจรอุบาทว์แห่งการบ้าผ่อน
เป็นเรื่องแรกๆ ที่อยู่ในหัวของมนุษย์เงินเดือน แทบจะเรียกว่าเมื่อเริ่มเข้าทำงานได้รับเงินเดือน เดือนแรกเลยก็ว่าได้ ผ่อนวัตถุเล็กๆ ไปจนถึง ผ่อนวัตถุใหญ่ๆ ผ่อน ผ่อน ผ่อน แล้วก็ผ่อน พอผ่อนตัวนี้หมด ความคิดที่จะหาอะไรมาผ่อนใหม่ก็จะผุดขึ้นมาเป็นกิเลสอนันต์ไม่มีที่สิ้นสุดจนเกินความจำเป็น มือถือรุ่นเก่าไปรุ่นใหม่มาเปลี่ยนใช้เป็นดั่งกางเกงในบ็อกเซ่อร์กันเลยทีเดียว และส่วนใหญ่ก็ผ่อนจนเกินกำลังตัวเองจนต้องอมและแบกภาระหนี้สินรายจ่ายมโหฬารเดือนชนเดือน อาทิ ผ่อน รถยนต์ ผ่อนบ้าน ที่ไม่ดูรายได้ตัวเองว่ารับไหวหรือไม่ บางคนเงินเดือนสามหมื่นห้าหมื่น ดูเหมือนรายได้จะดูดี แต่ดันไปผ่อนบ้านราคาห้าล้านสิบล้านยาวนานสามสิบปีดอกบานไม่รู้โรย จึงเป็นเหตุผลแกมบังคับว่ามนุษย์เงินเดือนต้องหง๋อนายจ้างอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่สามารถออกจากงานหรือขยับไปไหนได้เลย ก้มหน้าทำงานตามสั่ง ยอมโดนด่าต่อว่ากล้ำกลืนฝืนทนแบบขมขื่นต่อไปไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะภาระชนักติดหลังเป็นเงาตามตัว

2.วงจรอุบาทว์แห่งความหน้าใหญ่ จมไม่ลง โชว์รวย
มนุษย์เงินเดือน เป็นสิ่งมืชีวิตที่คิดว่ารายได้ประจำปัจจุบัน เป็นเรื่องที่แน่นอนสุดๆ คิดว่าไม่มีความเสี่ยง กินอาหารหรูห้าร้อยพันขนหน้าแข้งไม่ร่วง ขี้โม้โอ้อวดโชว์รวยในที่ทำงานข่มลูกจ้างในบริษัทที่เดียวกัน ซึ่งตรรกะง่ายๆ ว่าถ้ารวยจริงเหตุใดใยถึงไม่เป็นเจ้าของธุรกิจ ใยถึงมาเป็นลูกจ้างบริษัท อวดรวยเพื่ออะไร ได้อะไรจากการขี้โมโอ้อวดในที่ทำงาน

3.วงจรอุบาทว์แห่งความย่ามใจ ดั่งคนนอนตากแดดบนชายหาดในวันที่สึนามิกำลังจะมา
มนุษย์เงินเดือน ส่วนใหญ่ไม่มีความเตรียมพร้อมเหมือนลูกเสือสามัญที่ว่า "จงเตรียมพร้อม" ไม่ได้คิดว่าสามปี ห้าปี สิบปี ข้างหน้า เราจะสามารถสร้างรายได้ได้ด้วยตนเองโดยไม่พึ่งเงินเดือนปัจจุบันเลยได้หรือไม่ ถ้าไม่มีเงินเดือนให้เป็นที่พึ่งพาแล้วในอนาคต ไม่มีการคิดวางแผนระยะยาวเพื่อเตรียมการไว้ก่อนเลยว่า ทำอย่างไรให้สามารถสร้างอาณาจักรธุรกิจของตัวเองเพื่อเป็นอู่ข้าวอู่น้ำเป็นท่อน้ำเลี้ยงในอนาคต มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดในเรื่องนี้ คิดสั้นๆ แค่ว่า สินเดือนไปกินอะไรแพงๆ สุดสัปดาห์นี้ไปเที่ยวไหนดี แต่ไม่เคยคิดว่า ถ้าพรุ่งนี้ฉันโดนไล่ออกหล่ะ ถ้าพรุ่งนี้บริษัทที่ฉันทำงานเจ๊งหล่ะ ถ้าพรุ่งนี้วงจรเศรษฐกิจโลกครบรอบวงจรวิกฤติหายนะมาถึงพอดีหล่ะ ถ้าเรื่องพวกนี้เกิดพรุ่งนี้ฉันจะเอาอะไรแด๊ก ปัจจุบันฉันมีท่อน้ำเลี้ยงรายได้สำรองหรือไม่ ฉันตกงานพรุ่งนี้ฉันสามารถไปเกาะท่อน้ำเลี้ยงสำรองเลี้ยงชีพได้ที่ไหน หรือฉันต้องเข้าป่าไปหางู นก หนู สะกั๊ง ตัวเฮ้ กินแบบแบร์กริล

4.วงจรอุบาทว์แห่งการบริโภค มากกว่าการออกล่ารายได้เสริมเพิ่มเติมจากรายได้ประจำ
มนุษย์เงินเดือน มีจิตใจฝักใฝ่ในการใช้จ่ายเงินอยู่ตลอดเวลา กำเงินหรือมีเงินอยู่กับตัวหรือในบัญชีได้ไม่นาน เป็นเหมือนของร้อนที่ต้องรีบเอาออกมาใช้ การเก็บหรือถือครองเงินสดเป็นเรื่องที่มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่มักจะห้ามใจไม่ได้ ดั่งกอลั่มที่ครองแหวนเดอะลอร์ด ของรักของข้า แฮ่ เหมือนถูกครอบงำจิดใจให้กระทำพฤติกรรมผิดวิสัยอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่คิดถึงว่ามีเงินสดแล้วจะทำอย่างไรมีวิธีไหนที่สามารถสร้างเป็นต้นทุนสร้างรายได้เพิ่มได้อีก ศึกษาไอเดียต่อยอดเป็นท่อน้ำเลี้ยงได้อีกทางหลังจากที่ไม่มีรายได้ประจำให้เกาะกินอีกแล้ว

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
เงินภาษีที่รัฐบาลเอาไปผลาญเล่นน่ะส่วนมากก็มาจากมนุษยืเงินเดือนอย่างพวกผมนะครับ อย่าลืม

อยากให้เลิกทัศนคติที่มองมนุษยืเงินเดือนว่าดูต่ำต้อยด้อยค่า ใช้ไม่ได้ ไม่มีทางไปซะที มันเป็นการเหมารวมมาก ๆ คนที่เก่ง ๆ มีความสามารถ ก็เป็นมนุษย์เงินเดือนนี่แหละ บางคนก็อยู่ในองค์กรสำคัญที่ขับเคลื่อนประเทศนี้ด้วย หารายได้ให้ประเทศก็ไม่น้อย เป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่สำคัญ

อย่าไปมองในแง่ของจุลภาคครับ ควรมองมหภาค มองให่ใหญ่ ๆ ว่าในระบบเศรษฐกิจแล้วมนุษย์เงินเดือนในองค์กรต่าง ๆ สำคัญขนาดไหน ไม่มีพวกเขาบริษัทก็ทำงานไม่ได้ ไม่มีผลงาน

ไอ้พฤติกรรมการใช้เงินมันเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนครับ จะต้องไปแก้ไขกันเอง ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเป็นแบบนี้ ไอ้คนที่เป็นอย่าง 4 ข้อที่ว่ามาผมว่าส่วนน้อย ยิ่งเศรษฐกิจในยุคนี้ทุกคนก็ระมัดระวังการใช้เงินกันทั้งนั้น
ความคิดเห็นที่ 5
ดิชั้นอ่านครบทุกบรรทัดค่ะ

เห็นว่าบทความนี้ก็ไม่ได้ว่าร้ายอะไรต่อมนุษย์เงินเดือนเลย

แต่มันเป็นความจริงว่า วิธิการใช้ชีวิต-ใช้เงิน ที่เน้นแต่บริโภคนิยม (ทั้ง 4 ข้อนั่นหล่ะ)

ก็ย่อมจะทำให้คนเราหาเท่าไหร่ไม่มีวันพอ เพราะเติมความต้องการไม่เคยเต็ม

มันก็เลยต้องหาเงินไปตลอดชีวิตเหมือนกัน เลิกไม่ได้ หยุดไม่ได้ พลาดพลั้งไม่ได้เลย


แต่ถ้าคนที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น  เค้าจะระมัดระวังกว่า ก็น่าจะเก็บเงินได้ดีกว่า

มีโอกาสขยับขยายได้มากกว่า  น่าจะมีอิสระกว่า ทั้งทางการเงินและทางจิตใจ
ความคิดเห็นที่ 1
เห็นพวกหมวกกันน๊อคไปเก็บดอกรายวันตามตลาดเต็มเลย พ่อค้าแม่ค้าใส่ทองเส้นเท่านิ้วจนน่ากลัวจะโดนทุบหัว นักธุรกิจขับรถสปอร์ต สร้างวังอยู่ กินหรูอยู่ดี  มนุษย์เงินเดือนอยากกินบ้างสักมื้อต่อเดือนยังดี ว่ายังกะไปฆ่าหมาใครตาย

ถ้าไม่มีมนุษย์เงินเดือน สังคมจะอยู่ได้ยังไง นายจ้างจะทำธุรกิจไปยังไง
ทำไมองค์ประกอบของระบบที่เป็นมนุษย์เงินเดือน มันถึงมีคำต่างๆมาดูถูกเหยียดหยามกันจัง
ความคิดเห็นที่ 33
มันเป็นเพียงวงจรนึง ในหลายๆวงจร แต่ก็เป็นวงจรที่มีผู้คนหลงอยู่ไม่น้อยเลยตามที่ได้เห็นมา ทั้งเพื่อนคนใกล้ตัวและอีกหลายๆคน วงจรนี้จะเปลี่ยนเป็น"กับดัก"  มันคือกับดักที่เราสร้างเอง ผูกมันเองจนยุ่งเหยิงจนไม่รู้จะเริ่มแก้จากปมไหนก่อน

ส่วนวงจรอื่นๆ ก็มีให้เห็นให้ศึกษาเยอะอยู่นะครับ มนุษย์เงินเดือนก็รวยได้มีอิสระภาพได้ผมเชื่อแบบนั้น และคำว่ามนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ที่อยู่ในวงจรแบบที่ จขกท ว่า กับ 10% ที่รอดพ้นจากวงจรอุบาทว์มาได้ น่าจะไม่ถูกต้องตรงเป้ะ น่าจะเป็นความเห็นส่วนบุคคลซะมากกว่า ไม่ได้อ้างอิงจากสถิติอะไร ฉะนั้นชาวเราไม่ต้องตกใจไปครับ

วงจรอื่นๆที่ผมเคยพบเห็น เคยสัมผัสมาก็มีอยู่มากมาย เช่น

ผมเคยเห็น มนุษย์เงินเดือนที่ เก็บเงินเกิน 30% ต่อเดือนเพื่ออนาคต และเคยเห็นมนุษย์เงินเดือนคนเดียวกันนี้ซื้อคอนโดด้วยเงินสด ทั้งที่ทำงานมายังไม่ถึง 5 ปี

ผมเคยเห็น มนุษย์เงินเดือนที่ กู้ซื้อคอนโดเพื่อลงทุนและได้ค่าเช่ามากกว่าเงินที่ต้องผ่อนธนาคาร ได้กระแสเงินสดบวกเข้ากระเป๋าเป็นรายได้แหล่งที่สองทุกเดือน

ผมเคยเห็น มนุษย์เงินเดือนที่ สร้างรายได้เสริม สร้างธุรกิจขณะที่ยังทำงานประจำไปด้วย ทำให้มีรายได้หลายทาง จะได้ไม่ต้อง "หงอ" ในกรณีที่ถูกนายจ้างเอาเปรียบ

มีอีกหลายๆวงจรที่มนุษย์เงินเดือนถนัดครับ เนื่องจากเรามีรายได้แน่นอน คำนวณได้ง่ายแบบไม่ซับซ้อน คำนวณค่าการใช้จ่ายต่อเดือน คำนวณเงินออม การวางแผนจึงง่ายไปด้วย วางแผนข้ามไปเป็นปีสองปีก็ได้

หากบริษัทที่ทำอยู่มีความมั่นคง และเราก็เป็นคนใช้ได้ไม่ขี้เกียจทำงานที่เราทำได้ดี เราก็ไม่ต้องไปกลัวไปกังวลอะไร และเรายังสามารถวางแผนได้เลยว่ากี่ปีจะเกษียณและต้องทำอะไรบ้างระหว่างนั้น

มันจะมีคำๆนึงที่คอยทิ่มแทงใจมนุษย์เงินเดือนอย่างเราเรา มาตลอดคือ"ทำงานเพื่อคนอื่น" "ทำให้คนอื่นรวย" ซึ่งจริงๆน่าจะเปลี่ยนเป็นการ"ทำงานเพื่อให้ได้งานที่ดี"ครับ ส่วนทำเพื่อคนอื่นผมมองว่ามันไม่ได้ใกล้เคียงเลย เพราะเราไม่ได้ทำงานฟรีๆนะครับ จะเรียกว่าทำเพื่อคนอื่นได้ไง เราได้เงินเดือนมา เราก็รวยของเราครับ เจ้านายเค้ารวยจากเงินเดือนเราซะที่ไหนเล่า เค้ารวยจากผลประกอบการจากบริษัทเค้า ฮ่ะฮ่ะ แล้วยิ่งเราทำงานแล้วมีเงินเดือนเหลือเก็บเป็นเงินออมเงินลงทุน ยิ่งเท่ากับว่าเรา"ทำงานเพื่อตัวเองอย่างเต็มที่และดีที่สุด"

: )
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่