ตอนที่1
https://ppantip.com/topic/36740715
ฉันต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องของฉันในกระทู้เก่า เเม้ว่ามันจะรกร้างไปบ้างก็ตาม ในความเป็นจริงเเล้วเรื่องผีของฉันนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องผีที่มันส์ หรือน่ากลัว สยดสยองเหมือนหนังรอบดึกเเต่อย่างใด เเต่จะเป็นเรื่องเงียบๆ น่ากลัวๆเท่านั้น เเละทุกเรื่องที่ฉันเล่านั้น ฉันจำรายละเอียดของมันได้เกือบหมด ทั้งบ้านที่ฉันเคยอยู่ ทั้งห้องที่เคยเจอ เเละสถานที่ต่างๆที่พาฉันพบเจอเรื่องเหล่านี้ ฉันรู้สึขอบคุณท่านที่ชี้เนะเรื่องการเขียนของฉัน ใช่ ฉันยอมรับว่าฉันนั้นเขียนผิดมาก ฉันก็พยายามที่จะเขียนให้ถูกที่สุดเพื่อที่ท่านที่ติดตามอ่านจะได้ไม่สะดุดกับเรื่องที่ฉันจะเล่าต่อจากนี้ เช่นนั้นเเล้ว เชิญรับฟัง/อ่านเรื่องของฉันเถิด
ฉันเคยเล่าไปในตอนที่หนึ่งถึงเหตุที่ฉันเห็นผี ฉันยอมรับว่าในตอนนั้นฉันซนเอามากๆ เเละก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉันถึงทำเช่นนั้นไป บ้านที่ฉันอยู่เป็นบ้านไม้สองชั้น มีบ้านปูนสองชั้นของยายอยู่ถัดไปอีกหลัง ทังสองหลังอยู่รั้วเดียวกัน ฉันมีพ่อ เเม่ น้องชาย เเละยายของฉันอยู่ด้วยกัน ยายของฉันจะอยู่บ้านปูน ส่วนฉัน พ่อ เเม่ เเล้ะน้องชายจะอยู่บ้านไม้ ตอนเด็ก ฉันติดยายของฉันมาก เพราะเดิมทีฉันก็อยู่กับยายของฉันตั่งเเต่เด็กๆมากเเล้ว จนฉันเรียกว่าเเม่ยาย ที่มีความหมายว่าสำหรับฉัน เเม่ของฉันเเละยายของฉันด้วย
ที่บ้านปูน มีรูปถ่ายๆในกรอบไม้อยู่รูปหนึ่งตั้งอยู่ในห้องนอน เป็นรูปของหม่อนผู้หญิง (เเม่ของทวดของฉันอีกที) ทุกๆปีในวันสำคัญหรือสงกราณ์ เราจะนำรูปของตา ของน้า หรือของญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปของเรา มาทำบุญรดน้ำดำหัวเหมือนพวกเขายังมีชีวิตอยู่ เราทำเเบบนั้นทุกปี วันนั้นก็เช่นกัน ฉันจำได้ว่า วันนั้น เราทำบุญที่รูปหม่อน เเละยายของฉันท่านวางขันใส่น้ำมนต์ไว้ข้างๆรูป จากนั้นท่านก็ออกไปพร้อมกับฉันเพื่อไปทำบุญที่อื่น ตกเย็นเรากลับมาถึงบ้าน ฉันเป็นคนเเรกที่เข้าไปในบ้านนั้น เเละฉันก็เห็นว่า ขันน้ำมนต์หกอยู่ เเต่รูปก็ยังตั้งอยู่เช่นเดิม พอยายมาเห็นเขา ฉันจึงรีบเเก้ตัวว่าฉันไม่รู้เรื่อง ยายของฉันก็ไม่ว่าอะไรฉันเเละเดินไปจัดการทำความสะอาดขัน ฉันได้เเต่ยืนงงเเละสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหตุใดขันถึงตกลงมาจากเเท่นวาง ทั้งที่มันก็วางอย่างมั่นคงเเล้วเเท้ๆ ฉันสับสนอยู่ชั่วครูก็สะบัดความคิดนั้นออไปเเละคิดว่าคงไม่มีอะไร
หลายเดือนผ่านไป ตกหัวค่ำ ยายของฉันได้วานฉันให้ไปเปิดไฟที่บ้าน เพราะท่านจะดูทีวีที่บ้านของพ่อเเม่(ทีวีบ้านท่านเสีย) ฉันรับปากเเละรีบลุกขึ้นเเละวิ่งไปที่บ้าน เวลานั้นมืดมากพอสมควรเเล้ว ฉันล้วงกุญเเจออกจากกระเป๋าเเละไขประตูหลังบ้าน จากนั้นก็เข้าไปเเละปิดประตูตาม ห้องครัวหลังบ้านนั้นมืดมาก มีหน้าต่างเพียงบานเดียวเท่านั้ที่มีเเสงลอดจากรถยนต์ เเสงลอดผ่านได้ไม่นานห้องนั้นก็กลับสู้ความมืดอีกครั้ง ฉันรู้สึกไม่ดีกับความมืดเป็นทุนเดิมอยู่เเล้วจึงทำใจดีสู้เสือเดินดุ่มๆเข้าไปที่ข้างประตูห้องเพื่องมหาสวิตท์ไฟในความมืด หากฉันจะอธิบายความมืดเป็นเช่นไร ฉันคงต้องบอกว่า มันมืดเท่ากับฉันหลับตาหรือลืมตามีค่าเท่ากัน ฉันยืดเเขนไปข้าหน้าเเละเดินฝ่าความมืดนั้นไป ฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันยืนอยู่หน้าประตูห้องถัดไปของบ้าน เเละข้างนั้นมีสวิตท์ไฟอยู่ ขณะที่ฉันกำลังเดินไปหามัน จู้ฉันก็มองเห็นอะไรบางอย่างลอยมา มันอยู่สูงจากฉันมาก ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไรด้วยซ้ำตอนเเรก มันลอยมาหาฉันกึ่งช้ากึ่งเร็ว มันเหมือนผ้า เป็นผ้าที่มัน เบา สีขาว เเละสว่างมาก ท่าไหนที่อ่านถึงตรงนี้อาจไม่สังเกตุ เเต่ตอนนั้นฉันเริ่มกลัวขึ้นมาบ้าง เพราผ้าผืนนั้นนอกจากมันจะลอยเหมือนถูเเขวนด้วยบางอย่างเเล้ว มันยังสว่างมีเเสงด้วยตัวมันเองด้วย ผ้าผืนนั้นค่อยลอยมา ฉันถอยไปไหนไม่ได้ในห้องเเคบๆ มันลอยมาใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จากนั้น มันก็ลอบพาดบนใบหน้าของฉันด้านซ้าย ฉันยังจำความรู้สึกของมันได้ มันเรียบ สบาย เบากว่าผ้าใดๆที่ฉันเคยเจอหรือสัมผัสมา เเต่ความรู้สึกดีนั้นก็ต้องหยุดเมื่อฉันฉุดคิดได้ถึงว่ามันจะมีผ้าอะไรที่สองสว่างขาวเหมือนหิ่งห้อยถูกซักด้วยผงซักฟอก ฉันก็กลัวขึ้นมาจับใจเเละหลับตาปี๋ทันที ฉันพยายามไม่หันไปมองเเละรู้สึกว่าบางย่างอยู่ข้างหลัง ฉันเดินไปไม่กี่ก้าวข้างหน้าเเละใช้ฝ่ามาคลำหาสวิตท์เปิดปิดไฟ ฉันลนลานพอสมควรเพราะอยากจะออกไปจากที่นี่เเล้ว ซักพักฉันก็หาเจอ ฉันนับในใจตั้งเเต่หนึ่งถึงสาม เมื่อนับครบ แํนเปิดไฟเเละจากนั้นรีบหันขวับไปข้างหลัง ฟังดูเหมือนท้าทายกับสิ่งๆนั้น เเต่สิ่งที่ฉันเห็นกลับทำให้ฉันกลัวสิ่งที่เจอทันที ด้านหลังฉันไม่ได้มีผ้าผืนสีขาวเเขวนอยู่เเต่อย่างใด มีเเต่เพียงเเต่ผ้าเช็ดตัวขนหนูสีเเดงเท่านันที่อยู่ด้านหลังของฉันตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันรีบเดินอกจากบ้าน ปิดประตู เเละใส่รองเท้าทันที ฉันรู้สึกดีขึ้นเมือบ้านสว่างขึ้น เเต่เเล้วก่อนจะฉันจะเดินออกจากหน้าประตู ฉันเกิดปวดเบาขึ้นมา ฉันจึงยืนทำธุระส่วนตัวที่หน้าประตูหลังบ้านเเละเหม่อมองท้องไปที่เต็มไปด้วยดาว ท้องฟ้าตอนนั้นเปิด ไม่มีเเสงจันทร์เเทรก มีเพียงเเสงดาวเท่านั้นที่เเข่งกันส่องสว่าง เเต่ระหว่าที่ฉันเหมือมองเเละชื่นชมท้องฟ้าอยู่นั้น จู่ๆฉันก็เห็นบางอย่างที่ผิดปกติบนท้องฟ้า ลูกไฟประหลาด สีเขียว เหมือนลูกบอล ไม่มีหาง เเละมันก็ลอยผ่านหน้าฉันไปในความสูงที่ไม่มากนัก ความกลัวจากคราวที่เเล้วไม่ได้หายไปไหน ของใหม่สดก็ตามหลอกฉันอีกครั้ง ฉันหยุดทำธุระของฉันเเละรีบวิ่งไปขึ้นบ้านพ่อเเม่เเละเล่าเเค่เรื่องเเสงลอยได้
"อาจเป็นดวงเเก้วมณีก็ได้ลูก" พ่อพูด
"มันคืออะไรน่ะ"
"ไม่รู้ เคยได้ยินมาเเต่ก่อน เรียกหลายชื่อ เเก้มมณี เเก้วลอดฟ้า พระธาตุ เเต่ที่เขาว่ามา ใครเห็นเเล้วจะโชคดีนะลูก" พ่อฉันพูดเเละลูบหัวฉัน
"ไม่เเน่ว่า อาจจะเจอเรื่องดีๆต่อจากนี้ก็ได้นะ"
*
เกี่ยวกับเเสงบินได้น้น ฉันก็ได้เจออีกครั้งขณะที่แันเดินเข้าห้องน้ำ(ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเจอรเรื่องเเปลกๆทุกครั้งขณะเข้าห้องน้ำหรือทำธุระส่วนตัวอยู่เรื่อย) เวลานั้นก็เป็นเวลาช่วงปัจจุบัน เเต่เป็นช่วงหลังพฤษภาเเล้ว ฉันยืนมงไปที่ท้องฟ้าเช่นเคยเหมือนสมัยตอนเป้นเด็ก เเละเเสงนั้นก้มาเหนืหัวฉัน ใกล้มา ฉันก้มหลบชะเง้อมองดูอีกครั้ง มองมันจนหายลับสุดสายตาเหมือนตอนเดกไม่มีผิด เพียงเเต่ตอนนั้น ฉันไม่ได้กลัวมันเเล้ว ฉันกลับรูสึกดีที่ฉันได้พบเจอมันอีก ราวกับย้ำเตือนว่า ฉันไม่ได้คิดไปเอง เเละได้เห้นมันถึงสองครั้ง เเม้ว่าฉันจะไม่มีหลักฐาณมาหรือตัวอย่างใดๆที่ช่วยยืนยันว่าที่ฉันพูดนั้นเป็นความจริง(มันเกิดขึ้นเร้วมาก ต่อให้เอากล้องมา ก็ไม่ทันอยู่ดี) เเต่ฉันก้รูสึกดีทีได้เจอ เเละเเอบหวังว่า ฉันจะได้เจออีกในซักวัน
เมื่อฉันเจอผี 2...
ฉันต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องของฉันในกระทู้เก่า เเม้ว่ามันจะรกร้างไปบ้างก็ตาม ในความเป็นจริงเเล้วเรื่องผีของฉันนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องผีที่มันส์ หรือน่ากลัว สยดสยองเหมือนหนังรอบดึกเเต่อย่างใด เเต่จะเป็นเรื่องเงียบๆ น่ากลัวๆเท่านั้น เเละทุกเรื่องที่ฉันเล่านั้น ฉันจำรายละเอียดของมันได้เกือบหมด ทั้งบ้านที่ฉันเคยอยู่ ทั้งห้องที่เคยเจอ เเละสถานที่ต่างๆที่พาฉันพบเจอเรื่องเหล่านี้ ฉันรู้สึขอบคุณท่านที่ชี้เนะเรื่องการเขียนของฉัน ใช่ ฉันยอมรับว่าฉันนั้นเขียนผิดมาก ฉันก็พยายามที่จะเขียนให้ถูกที่สุดเพื่อที่ท่านที่ติดตามอ่านจะได้ไม่สะดุดกับเรื่องที่ฉันจะเล่าต่อจากนี้ เช่นนั้นเเล้ว เชิญรับฟัง/อ่านเรื่องของฉันเถิด
ฉันเคยเล่าไปในตอนที่หนึ่งถึงเหตุที่ฉันเห็นผี ฉันยอมรับว่าในตอนนั้นฉันซนเอามากๆ เเละก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉันถึงทำเช่นนั้นไป บ้านที่ฉันอยู่เป็นบ้านไม้สองชั้น มีบ้านปูนสองชั้นของยายอยู่ถัดไปอีกหลัง ทังสองหลังอยู่รั้วเดียวกัน ฉันมีพ่อ เเม่ น้องชาย เเละยายของฉันอยู่ด้วยกัน ยายของฉันจะอยู่บ้านปูน ส่วนฉัน พ่อ เเม่ เเล้ะน้องชายจะอยู่บ้านไม้ ตอนเด็ก ฉันติดยายของฉันมาก เพราะเดิมทีฉันก็อยู่กับยายของฉันตั่งเเต่เด็กๆมากเเล้ว จนฉันเรียกว่าเเม่ยาย ที่มีความหมายว่าสำหรับฉัน เเม่ของฉันเเละยายของฉันด้วย
ที่บ้านปูน มีรูปถ่ายๆในกรอบไม้อยู่รูปหนึ่งตั้งอยู่ในห้องนอน เป็นรูปของหม่อนผู้หญิง (เเม่ของทวดของฉันอีกที) ทุกๆปีในวันสำคัญหรือสงกราณ์ เราจะนำรูปของตา ของน้า หรือของญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปของเรา มาทำบุญรดน้ำดำหัวเหมือนพวกเขายังมีชีวิตอยู่ เราทำเเบบนั้นทุกปี วันนั้นก็เช่นกัน ฉันจำได้ว่า วันนั้น เราทำบุญที่รูปหม่อน เเละยายของฉันท่านวางขันใส่น้ำมนต์ไว้ข้างๆรูป จากนั้นท่านก็ออกไปพร้อมกับฉันเพื่อไปทำบุญที่อื่น ตกเย็นเรากลับมาถึงบ้าน ฉันเป็นคนเเรกที่เข้าไปในบ้านนั้น เเละฉันก็เห็นว่า ขันน้ำมนต์หกอยู่ เเต่รูปก็ยังตั้งอยู่เช่นเดิม พอยายมาเห็นเขา ฉันจึงรีบเเก้ตัวว่าฉันไม่รู้เรื่อง ยายของฉันก็ไม่ว่าอะไรฉันเเละเดินไปจัดการทำความสะอาดขัน ฉันได้เเต่ยืนงงเเละสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหตุใดขันถึงตกลงมาจากเเท่นวาง ทั้งที่มันก็วางอย่างมั่นคงเเล้วเเท้ๆ ฉันสับสนอยู่ชั่วครูก็สะบัดความคิดนั้นออไปเเละคิดว่าคงไม่มีอะไร
หลายเดือนผ่านไป ตกหัวค่ำ ยายของฉันได้วานฉันให้ไปเปิดไฟที่บ้าน เพราะท่านจะดูทีวีที่บ้านของพ่อเเม่(ทีวีบ้านท่านเสีย) ฉันรับปากเเละรีบลุกขึ้นเเละวิ่งไปที่บ้าน เวลานั้นมืดมากพอสมควรเเล้ว ฉันล้วงกุญเเจออกจากกระเป๋าเเละไขประตูหลังบ้าน จากนั้นก็เข้าไปเเละปิดประตูตาม ห้องครัวหลังบ้านนั้นมืดมาก มีหน้าต่างเพียงบานเดียวเท่านั้ที่มีเเสงลอดจากรถยนต์ เเสงลอดผ่านได้ไม่นานห้องนั้นก็กลับสู้ความมืดอีกครั้ง ฉันรู้สึกไม่ดีกับความมืดเป็นทุนเดิมอยู่เเล้วจึงทำใจดีสู้เสือเดินดุ่มๆเข้าไปที่ข้างประตูห้องเพื่องมหาสวิตท์ไฟในความมืด หากฉันจะอธิบายความมืดเป็นเช่นไร ฉันคงต้องบอกว่า มันมืดเท่ากับฉันหลับตาหรือลืมตามีค่าเท่ากัน ฉันยืดเเขนไปข้าหน้าเเละเดินฝ่าความมืดนั้นไป ฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันยืนอยู่หน้าประตูห้องถัดไปของบ้าน เเละข้างนั้นมีสวิตท์ไฟอยู่ ขณะที่ฉันกำลังเดินไปหามัน จู้ฉันก็มองเห็นอะไรบางอย่างลอยมา มันอยู่สูงจากฉันมาก ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไรด้วยซ้ำตอนเเรก มันลอยมาหาฉันกึ่งช้ากึ่งเร็ว มันเหมือนผ้า เป็นผ้าที่มัน เบา สีขาว เเละสว่างมาก ท่าไหนที่อ่านถึงตรงนี้อาจไม่สังเกตุ เเต่ตอนนั้นฉันเริ่มกลัวขึ้นมาบ้าง เพราผ้าผืนนั้นนอกจากมันจะลอยเหมือนถูเเขวนด้วยบางอย่างเเล้ว มันยังสว่างมีเเสงด้วยตัวมันเองด้วย ผ้าผืนนั้นค่อยลอยมา ฉันถอยไปไหนไม่ได้ในห้องเเคบๆ มันลอยมาใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จากนั้น มันก็ลอบพาดบนใบหน้าของฉันด้านซ้าย ฉันยังจำความรู้สึกของมันได้ มันเรียบ สบาย เบากว่าผ้าใดๆที่ฉันเคยเจอหรือสัมผัสมา เเต่ความรู้สึกดีนั้นก็ต้องหยุดเมื่อฉันฉุดคิดได้ถึงว่ามันจะมีผ้าอะไรที่สองสว่างขาวเหมือนหิ่งห้อยถูกซักด้วยผงซักฟอก ฉันก็กลัวขึ้นมาจับใจเเละหลับตาปี๋ทันที ฉันพยายามไม่หันไปมองเเละรู้สึกว่าบางย่างอยู่ข้างหลัง ฉันเดินไปไม่กี่ก้าวข้างหน้าเเละใช้ฝ่ามาคลำหาสวิตท์เปิดปิดไฟ ฉันลนลานพอสมควรเพราะอยากจะออกไปจากที่นี่เเล้ว ซักพักฉันก็หาเจอ ฉันนับในใจตั้งเเต่หนึ่งถึงสาม เมื่อนับครบ แํนเปิดไฟเเละจากนั้นรีบหันขวับไปข้างหลัง ฟังดูเหมือนท้าทายกับสิ่งๆนั้น เเต่สิ่งที่ฉันเห็นกลับทำให้ฉันกลัวสิ่งที่เจอทันที ด้านหลังฉันไม่ได้มีผ้าผืนสีขาวเเขวนอยู่เเต่อย่างใด มีเเต่เพียงเเต่ผ้าเช็ดตัวขนหนูสีเเดงเท่านันที่อยู่ด้านหลังของฉันตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันรีบเดินอกจากบ้าน ปิดประตู เเละใส่รองเท้าทันที ฉันรู้สึกดีขึ้นเมือบ้านสว่างขึ้น เเต่เเล้วก่อนจะฉันจะเดินออกจากหน้าประตู ฉันเกิดปวดเบาขึ้นมา ฉันจึงยืนทำธุระส่วนตัวที่หน้าประตูหลังบ้านเเละเหม่อมองท้องไปที่เต็มไปด้วยดาว ท้องฟ้าตอนนั้นเปิด ไม่มีเเสงจันทร์เเทรก มีเพียงเเสงดาวเท่านั้นที่เเข่งกันส่องสว่าง เเต่ระหว่าที่ฉันเหมือมองเเละชื่นชมท้องฟ้าอยู่นั้น จู่ๆฉันก็เห็นบางอย่างที่ผิดปกติบนท้องฟ้า ลูกไฟประหลาด สีเขียว เหมือนลูกบอล ไม่มีหาง เเละมันก็ลอยผ่านหน้าฉันไปในความสูงที่ไม่มากนัก ความกลัวจากคราวที่เเล้วไม่ได้หายไปไหน ของใหม่สดก็ตามหลอกฉันอีกครั้ง ฉันหยุดทำธุระของฉันเเละรีบวิ่งไปขึ้นบ้านพ่อเเม่เเละเล่าเเค่เรื่องเเสงลอยได้
"อาจเป็นดวงเเก้วมณีก็ได้ลูก" พ่อพูด
"มันคืออะไรน่ะ"
"ไม่รู้ เคยได้ยินมาเเต่ก่อน เรียกหลายชื่อ เเก้มมณี เเก้วลอดฟ้า พระธาตุ เเต่ที่เขาว่ามา ใครเห็นเเล้วจะโชคดีนะลูก" พ่อฉันพูดเเละลูบหัวฉัน
"ไม่เเน่ว่า อาจจะเจอเรื่องดีๆต่อจากนี้ก็ได้นะ"
*
เกี่ยวกับเเสงบินได้น้น ฉันก็ได้เจออีกครั้งขณะที่แันเดินเข้าห้องน้ำ(ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเจอรเรื่องเเปลกๆทุกครั้งขณะเข้าห้องน้ำหรือทำธุระส่วนตัวอยู่เรื่อย) เวลานั้นก็เป็นเวลาช่วงปัจจุบัน เเต่เป็นช่วงหลังพฤษภาเเล้ว ฉันยืนมงไปที่ท้องฟ้าเช่นเคยเหมือนสมัยตอนเป้นเด็ก เเละเเสงนั้นก้มาเหนืหัวฉัน ใกล้มา ฉันก้มหลบชะเง้อมองดูอีกครั้ง มองมันจนหายลับสุดสายตาเหมือนตอนเดกไม่มีผิด เพียงเเต่ตอนนั้น ฉันไม่ได้กลัวมันเเล้ว ฉันกลับรูสึกดีที่ฉันได้พบเจอมันอีก ราวกับย้ำเตือนว่า ฉันไม่ได้คิดไปเอง เเละได้เห้นมันถึงสองครั้ง เเม้ว่าฉันจะไม่มีหลักฐาณมาหรือตัวอย่างใดๆที่ช่วยยืนยันว่าที่ฉันพูดนั้นเป็นความจริง(มันเกิดขึ้นเร้วมาก ต่อให้เอากล้องมา ก็ไม่ทันอยู่ดี) เเต่ฉันก้รูสึกดีทีได้เจอ เเละเเอบหวังว่า ฉันจะได้เจออีกในซักวัน