ต้นเหตุของทริปนี้เกิดจากบทความ Bangkok Hidden Treasure ของ Lonely Planet ซึ่งแนะนำวัดน่าสนใจในกรุงเทพ สะดุดตากับ “วัดเครือวัลย์” อ๊ะ ไม่รู้จัก ขอไปดูซะหน่อย
พอดีกับข่าวว่าวัดอรุณฯ บูรณะเสร็จ เจ้าเสานั่งร้านแสนกวนใจจะหายไป ได้ถ่ายภาพแสงเย็นสวยๆ กะเค้ามั่ง เตรียมขาตั้งกล้องไปอย่างดี ไม่หนักเพราะอาเจ้ถือ มุมมหาชนที่สวนนาคราภิรมย์นี่หละเด็ด พระอาทิตย์ตกแล้วเจอกัน
กระทู้นี้แบ่งเป็นสองส่วน คือ ส่วนหมีเป็ดโม้ กับส่วนข้อมูล ใครอยากได้เนื้อๆ เลื่อนลงไปข้างล่างเลยจ้า
ทริปนี้เราจอดรถที่ลานจอดรถราชนาวีสโมสร ค่าจอด 2 ชม. แรก 20 บาท ชม. ต่อไป 30 บาท ถ้าเกิน 4 ชม. ก็ 100 บาท ถูกมากกกกก
จากนั้นเดินไปท่าเตียน นั่งเรือข้ามฟาก เมินพระรองอย่างวัดอรุณ และพระเอกอย่างวัดเครีอวัลย์ไปก่อน กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราจึงตรงไปร้านสราญจิต ร้านเก่าแก่ที่เปิดมากว่า 50 ปี ตั้งห่างจากปากซอย วังเดิม 5 ไม่กี่สิบเมตร แต่แทบไม่มีอะไรสะดุดตานอกจากป้ายเล็กจิ๋ว
เราเดินเข้าไปในช่วงไม่มีลูกค้า พนักงงานกำลังจับกลุ่มกินข้าวเที่ยง ใจคอไม่ค่อยดี เพราะไปขัดจังหวะนาง พวกนางจะเหวี่ยงเอารึเปล่า แต่ไม่เลยครับ ทันทีที่อาเจ้ถามว่าร้านเปิดรึเปล่าคะ สาวๆ ก็หันมายิ้มแฉ่ง ไร้รังสีอมหิตอย่างสิ้นเชิง
หลังจากนั้นทุกครั้งที่พนักงานมาเสิร์ฟอาหารก็ยิ้ม เราสั่งอาหารก็ยิ้ม เห็นน้ำเราหมดก็วิ่งมาเติมให้ และเค้าก็กินข้าวกันอย่างรวดเร็ว แยกย้ายกันไปเงียบๆ ทิ้งไว้แค่โต๊ะที่เช็ดสะอาดสะอ้าน
ผมกับอาเจ้ นั่งกินไม่นานก็มีฝรั่งเดินเข้าร้านคู่หนึ่ง
“โอ๊ะ มีฝรั่งมาด้วย” ผมคิด หันไปมองหน้าพนักงาน พนักงานยิ้มตอบ อารมณ์ดีมาก ประทับใจ
อีกไม่กี่นาทีถัดมาก็มีชาวต่างชาติเข้าร้านมาอีกคู่ ทั้งที่ไม่มีป้ายภาษาอังกฤษซักตัว และร้านก็ดูธรรมด๊าธรรมดา เค้ารู้ได้ยังไงนะว่าจะต้องมาที่นี่
ท้องอิ่มเราก็เริ่มนึกถึงพระเอก นั่นคือวัดเครือวัลย์ เดินฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงเกือบหนึ่งกิโลเมตร ก็ถึงวัดเล็กๆ เงียบสงบ บนต้นไม้มีป้ายเชิญชวนให้สักการะพระประธานปางห้ามญาติ ในพระอุโบสถ พร้อมชมจิตกรรมผาผนังพระพุทธเจ้า 500 ชาติ ที่นี่แหละ ไม่ผิดแน่
ผมเดินไปที่โบสถ์ ผลักประตู อ่าว... ล็อค ไหนลองวนไปอีกด้านซิ ผลก็เหมือนเดิม ยังไงหละทีนี้ ในหนังสือก็ไม่เห็นบอกว่าต้องมาเวลาไหน ถอยมาตั้งหลักเก้ๆ กังๆ ใต้ร่มไม้ จนหลวงพี่เดินผ่านมา
“หลวงพี่ครับ สวัสดีครับ”
หลวงพี่หันมามอง เหมือนกับจะถามในใจว่า “อะไรรึโยม”
“ผมอยากเข้าไปดูข้างในโบสถ์ ไม่ทราบว่าปกติเปิดกี่โมงครับ”
“ปกติโบสถ์เปิดราวสองสามโมงเช้า แล้วอีกทีก็เย็นๆ ห้าโมงครึ่งถึงซักสามทุ่มนะโยม”
“ถ้าอยากดูตอนนี้ ไปหาเจ้าอาวาสเลย ตรงนั้น” หลวงพี่ชี้ไปที่กุฏิเจ้าอาวาส
“โห ถึงเจ้าอาวาสเลยเหรอ...” ผมคิดในใจ
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากครับหลวงพี่”
ดูนาฬิกา สรุปว่าต้องรอ 2 ชม. โอเค I will be back
เราเดินกลับไปวัดอรุณ ซึ่งถึงการบูรณะองค์พระปรางค์จะเสร็จสิ้นแล้ว แต่รอบๆ ยังมีการซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างอื่นต่อไป
ผมเคยมาที่นี่หลายปีก่อน เศร้าใจเมื่อเห็นสีกระดำกระด่าง เห็นกระเบื้องบางส่วนแตกหัก รู้สึกว่าวัดคู่บ้านคู่เมืองแห่งนี้ทรุดโทรมไปมากเหลือเกิน
แต่ความรู้สึกในวันนี้ คือวัดอรุณกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เห็นฝรั่งถ่ายรูปกันฉับๆ บางคนตากเดินจนตัวแดงเป็นลูกตำลึง ก็ยังคงยิ้มร่าโพสท่าเซฟฟี่ไม่หยุด เมื่อนักท่องเที่ยวมีความสุข ผมซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าบ้านก็รู้สึกภูมิใจไปด้วย ไงหละๆ นี่หละประเทศไทย
กลับถึงบ้านถึงเห็นดราม่าวัดอรุณ หมีเป็ดเสียงแตก อาเจ้ชอบแบบเก่า ผมโอเคกับแบบใหม่
เรากลับไปวัดเครือวัลย์ราว 17.00 มีพระผู้ใหญ่กำลังทำความสะอาดพื้นรอบๆ พระอุโบสถ รอไม่นานประตูก็เปิดออก พร้อมชายหนุ่มแต่งตัวคล้ายทหารเรือถือดอกไม้พานพุ่มเข้าไปข้างใน ผมรีบตามเข้าไป
และได้รู้ว่าที่ต้องปิดประตูแบบนี้ เพราะมีคนเข้ามาขโมยของ จะเปิดเมื่อมีการใช้งานเท่านั้น น่าเสียดายมาก
เดินเล่นมานาน เรื่องสุดท้ายของวันนี้คือถ่ายรูปแสงสวยๆ กับวัดอรุณ ข้ามฟากกลับมาฝั่งพระนคร รีบหาทำเลดีๆ ก่อนคนเยอะ...
“เอ้ยยย แก๊ สวนปิดอ๊ะ” ผมโวยวาย
“มันก็ปิดตั้งแต่ขามาแล้วนะ” มีความแปลกใจในน้ำเสียง กำแพงสูงขนาดนี้ ไม่เห็นได้ไงอ๊ะ
ไม่เป็นไร ถ่ายลอดรั้วก็ได้ (ฮือ)
ทริปเดินเที่ยว - วัดเครือวัลย์ แวะวัดอรุณฯ กินอร่อยที่ร้านสราญจิต
ต้นเหตุของทริปนี้เกิดจากบทความ Bangkok Hidden Treasure ของ Lonely Planet ซึ่งแนะนำวัดน่าสนใจในกรุงเทพ สะดุดตากับ “วัดเครือวัลย์” อ๊ะ ไม่รู้จัก ขอไปดูซะหน่อย
พอดีกับข่าวว่าวัดอรุณฯ บูรณะเสร็จ เจ้าเสานั่งร้านแสนกวนใจจะหายไป ได้ถ่ายภาพแสงเย็นสวยๆ กะเค้ามั่ง เตรียมขาตั้งกล้องไปอย่างดี ไม่หนักเพราะอาเจ้ถือ มุมมหาชนที่สวนนาคราภิรมย์นี่หละเด็ด พระอาทิตย์ตกแล้วเจอกัน
กระทู้นี้แบ่งเป็นสองส่วน คือ ส่วนหมีเป็ดโม้ กับส่วนข้อมูล ใครอยากได้เนื้อๆ เลื่อนลงไปข้างล่างเลยจ้า
ทริปนี้เราจอดรถที่ลานจอดรถราชนาวีสโมสร ค่าจอด 2 ชม. แรก 20 บาท ชม. ต่อไป 30 บาท ถ้าเกิน 4 ชม. ก็ 100 บาท ถูกมากกกกก
จากนั้นเดินไปท่าเตียน นั่งเรือข้ามฟาก เมินพระรองอย่างวัดอรุณ และพระเอกอย่างวัดเครีอวัลย์ไปก่อน กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราจึงตรงไปร้านสราญจิต ร้านเก่าแก่ที่เปิดมากว่า 50 ปี ตั้งห่างจากปากซอย วังเดิม 5 ไม่กี่สิบเมตร แต่แทบไม่มีอะไรสะดุดตานอกจากป้ายเล็กจิ๋ว
เราเดินเข้าไปในช่วงไม่มีลูกค้า พนักงงานกำลังจับกลุ่มกินข้าวเที่ยง ใจคอไม่ค่อยดี เพราะไปขัดจังหวะนาง พวกนางจะเหวี่ยงเอารึเปล่า แต่ไม่เลยครับ ทันทีที่อาเจ้ถามว่าร้านเปิดรึเปล่าคะ สาวๆ ก็หันมายิ้มแฉ่ง ไร้รังสีอมหิตอย่างสิ้นเชิง
หลังจากนั้นทุกครั้งที่พนักงานมาเสิร์ฟอาหารก็ยิ้ม เราสั่งอาหารก็ยิ้ม เห็นน้ำเราหมดก็วิ่งมาเติมให้ และเค้าก็กินข้าวกันอย่างรวดเร็ว แยกย้ายกันไปเงียบๆ ทิ้งไว้แค่โต๊ะที่เช็ดสะอาดสะอ้าน
ผมกับอาเจ้ นั่งกินไม่นานก็มีฝรั่งเดินเข้าร้านคู่หนึ่ง
“โอ๊ะ มีฝรั่งมาด้วย” ผมคิด หันไปมองหน้าพนักงาน พนักงานยิ้มตอบ อารมณ์ดีมาก ประทับใจ
อีกไม่กี่นาทีถัดมาก็มีชาวต่างชาติเข้าร้านมาอีกคู่ ทั้งที่ไม่มีป้ายภาษาอังกฤษซักตัว และร้านก็ดูธรรมด๊าธรรมดา เค้ารู้ได้ยังไงนะว่าจะต้องมาที่นี่
ท้องอิ่มเราก็เริ่มนึกถึงพระเอก นั่นคือวัดเครือวัลย์ เดินฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงเกือบหนึ่งกิโลเมตร ก็ถึงวัดเล็กๆ เงียบสงบ บนต้นไม้มีป้ายเชิญชวนให้สักการะพระประธานปางห้ามญาติ ในพระอุโบสถ พร้อมชมจิตกรรมผาผนังพระพุทธเจ้า 500 ชาติ ที่นี่แหละ ไม่ผิดแน่
ผมเดินไปที่โบสถ์ ผลักประตู อ่าว... ล็อค ไหนลองวนไปอีกด้านซิ ผลก็เหมือนเดิม ยังไงหละทีนี้ ในหนังสือก็ไม่เห็นบอกว่าต้องมาเวลาไหน ถอยมาตั้งหลักเก้ๆ กังๆ ใต้ร่มไม้ จนหลวงพี่เดินผ่านมา
“หลวงพี่ครับ สวัสดีครับ”
หลวงพี่หันมามอง เหมือนกับจะถามในใจว่า “อะไรรึโยม”
“ผมอยากเข้าไปดูข้างในโบสถ์ ไม่ทราบว่าปกติเปิดกี่โมงครับ”
“ปกติโบสถ์เปิดราวสองสามโมงเช้า แล้วอีกทีก็เย็นๆ ห้าโมงครึ่งถึงซักสามทุ่มนะโยม”
“ถ้าอยากดูตอนนี้ ไปหาเจ้าอาวาสเลย ตรงนั้น” หลวงพี่ชี้ไปที่กุฏิเจ้าอาวาส
“โห ถึงเจ้าอาวาสเลยเหรอ...” ผมคิดในใจ
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากครับหลวงพี่”
ดูนาฬิกา สรุปว่าต้องรอ 2 ชม. โอเค I will be back
เราเดินกลับไปวัดอรุณ ซึ่งถึงการบูรณะองค์พระปรางค์จะเสร็จสิ้นแล้ว แต่รอบๆ ยังมีการซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างอื่นต่อไป
ผมเคยมาที่นี่หลายปีก่อน เศร้าใจเมื่อเห็นสีกระดำกระด่าง เห็นกระเบื้องบางส่วนแตกหัก รู้สึกว่าวัดคู่บ้านคู่เมืองแห่งนี้ทรุดโทรมไปมากเหลือเกิน
แต่ความรู้สึกในวันนี้ คือวัดอรุณกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เห็นฝรั่งถ่ายรูปกันฉับๆ บางคนตากเดินจนตัวแดงเป็นลูกตำลึง ก็ยังคงยิ้มร่าโพสท่าเซฟฟี่ไม่หยุด เมื่อนักท่องเที่ยวมีความสุข ผมซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าบ้านก็รู้สึกภูมิใจไปด้วย ไงหละๆ นี่หละประเทศไทย
กลับถึงบ้านถึงเห็นดราม่าวัดอรุณ หมีเป็ดเสียงแตก อาเจ้ชอบแบบเก่า ผมโอเคกับแบบใหม่
เรากลับไปวัดเครือวัลย์ราว 17.00 มีพระผู้ใหญ่กำลังทำความสะอาดพื้นรอบๆ พระอุโบสถ รอไม่นานประตูก็เปิดออก พร้อมชายหนุ่มแต่งตัวคล้ายทหารเรือถือดอกไม้พานพุ่มเข้าไปข้างใน ผมรีบตามเข้าไป
และได้รู้ว่าที่ต้องปิดประตูแบบนี้ เพราะมีคนเข้ามาขโมยของ จะเปิดเมื่อมีการใช้งานเท่านั้น น่าเสียดายมาก
เดินเล่นมานาน เรื่องสุดท้ายของวันนี้คือถ่ายรูปแสงสวยๆ กับวัดอรุณ ข้ามฟากกลับมาฝั่งพระนคร รีบหาทำเลดีๆ ก่อนคนเยอะ...
“เอ้ยยย แก๊ สวนปิดอ๊ะ” ผมโวยวาย
“มันก็ปิดตั้งแต่ขามาแล้วนะ” มีความแปลกใจในน้ำเสียง กำแพงสูงขนาดนี้ ไม่เห็นได้ไงอ๊ะ
ไม่เป็นไร ถ่ายลอดรั้วก็ได้ (ฮือ)