ทริปนี้เริ่มจากที่เราและเพื่อนอยากหาที่เที่ยวแบบใกล้ๆกรุงเทพ ขับรถแค่ 2-3 ชั่วโมงถึง เลยมาลงตัวที่กาญจนบุรี และโปรแกรมของทริปกาญนี้ ก็มี เมืองมัลลิกา รวมอยู่ในลิสต์สถานที่ท่องเที่ยวของเราในครั้งนี้ด้วย เมืองมัลลิกา เริ่มเปิดให้บริการกับนักท่องเที่ยวมาตั้งแต่ ปลายปีที่แล้ว หลังจากที่เราเล็งๆที่นี่ไว้อยู่นาน ก็ได้มาซักที
เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124 ก่อตั้งบนพื้นที่ 60 ไร่ ของ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ที่นี่จำลองสิ่งต่างๆที่อยู่ในปลายยุคสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5 ) ทรงประกาศให้มีการเลิกทาส ทรงออก "พระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ.124 " ให้ลูกทาสเป็นไท เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2448
การเดินทาง
เมืองมัลลิกา ตั้งอยู่ที่ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ถ้าขับรถส่วนตัวมาก็ไม่ยาก ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 323 กาญจนบุรี-ไทรโยค ขับตรงมาเรื่อยๆจะเจอกับที่ตั้งเมืองมัลลิกา จุดสังเกตุคืออยู่ติดกับปั้มน้ำมันบางจากเลย ใกล้กับทางเข้าประสาทเมืองสิงห์
แผนที่
เมื่อมาถึงเมืองมัลลิกา ร.ศ.124 จะพบกับกำแพงเมืองสีขาวสูงเด่นเป็นตระหง่าน คู่กับประตูบานใหญ่สีแดง มองลอดเข้าไปจะเหมือนหลุดไปอีกยุคนึงเลย
ชมบรรยากาศในเมืองแบบคลิปวีดีโอกันก่อน
ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท
ค่าเข้าชม+ สำรับเย็น+ชมการแสดง 700 บาท (โปรโมชั่นลด 10%)
แต่ก่อนจะเข้าชมสถานที่ เราก็ต้องแต่งกายให้กลมกลืนกับสถานที่กันซะก่อน โดยการใส่ชุดไทย ซึ่งที่นี่จะมีบริการให้เช่าเตรียมไว้ให้พร้อม หรือใครที่มีชุดไทยก็สามารถนำมาเองก็ได้ค่ะ
อัตราค่าเช่าชุด
ผู้หญิง
แบบที่ 1 : ผ้าสไบ โจงกระเบน เครื่องประดับ และร่ม ราคา 200 บาท
แบบที่ 2 : เสื้อลูกไม้หรือเสื้อแขนหมูแฮม แบบสมัย ร.5 พร้อมผ้าแพรสะพาย โจงกระเบน เครื่องประดับและร่ม ราคา 300 บาท
ผู้ชาย
แบบที่ 1 : เสื้อกุยเฮง โจงกระเบน ผ้าคาดเอว ราคา 100 บาท
แบบที่ 2 : เสื้อราชปะแตน โจงกระเบน ราคา 300 บาท
เด็ก
เสื้อคอกระเช้าสำหรับเด็กผู้หญิง และ เสื้อกุยเฮงสำหรับเด็กผู้ชาย ราคา 50 บาท
ถ้าไม่แต่งชุดไทยจะสามารถเข้าชมที่นี่ได้ไม๊ จริงๆไม่ใส่ก็เข้าได้ค่ะ แต่เราว่าไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว ใส่ให้กลมกลืนกันหมดจะดูสวยงามและรู้สึกเหมือนเราหลุดย้อนยุคเข้าไปในสมัยนั้นจริงๆค่ะ เพราะที่นี่ทุกคนในเมืองจะแต่งชุดไทยกันหมด และพูด ขอรับ, เจ้าค่ะ ใช้วาจาแบบสมัยก่อนกันจริงๆ
เรากับเพื่อนเลือกเป็นชุด เสื้อลูกไม้ แบบสมัย ร.5 ดูให้อารมณ์เหมือนเป็นท่านหญิงดี
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เค้าจะมีล็อคเกอร์จัดเตรียมไว้ให้สำหรับเก็บเสื้อผ้าของใช้
ก่อนจะเข้าภายในเมืองเราก็ต้องแลกเงินกันก่อน เพราะในเมืองจะไม่ใช้เงินบาท จะเป็นเงินสตางค์หรือ
"เงินรู" ที่เหรียญจะเป็นรูๆค่ะ อัตราแลกเปลี่ยน 1 สตางค์ = 5 บาท โดยจุดแลกเงินจะมีทั้งด้านนอกตรงข้างที่จำหน่ายตั๋ว และด้านในเมืองที่แบงก์สยามกัมมาจล
หลังจากแลกเงินเรียบร้อยแล้ว เราจะพาเข้าไปชมในเมืองกันค่ะ
การเข้าชมเมืองสามารถเดินเท้าเข้าไป หรือถ้าใครอยากนั่งรถลาก(รถเจ๊ก)รอบเมืองเค้าก็มีให้บริการ ในราคา 50 บาท หรือจะแค่นั่งถ่ายรูปเฉยๆก็ไม่เสียค่าใช้จ่ายนะคะ
จุดแรกหลังจากที่เดินผ่านเข้าประตูไปจะพบกับ
"สะพานหัน" ซึ่งจำลองมาแบบในอดีต ชื่อเรียกสะพานหันเพราะในสมัยก่อน ตัวสะพานจะเป็นไม้แผ่นเดียวพาดข้ามคลอง ปลายข้างนึงตรึงแน่นกับที่ ส่วนอีกข้างไม่ตอกติด จับหันไปหันมาเพื่อสะดวกในการให้เรือแล่นผ่าน จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนเป็นสะพานไม้โค้งกว้าง สองฝั่งสะพานมีห้องแถวเล็กๆให้เช่าขายของ ตรงกลางเป็นทางเดิน
สองฟากของสะพานจะมีร้านค้าเป็นห้องแถวเล็กๆ ให้ขายของ ตรงกลางเป็นทางเดิน
สะพานนี้รัชกาลที่ 5 ชอบเสด็จประพาสเพื่อซื้อผลไม้แห้ง ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่นลูกพลับแห้ง และผลไม้ต่างๆ เราถือโอกาส ลองเป็นแม่ค้าดูซักหน่อย แถมได้ลองชิมผลไม้แห้ง คือเปลือกส้มโอ ด้วย
ข้ามจากสะพานหันถัดไปก็จะเจอกับ ตึกสีสันสดใส หรือเรียกว่า
"ย่านการค้า" ซึ่งจำลองมาจากย่านถนนแพร่งนรา ในสมัย ร.ศ.124 ซึ่งจะรวมย่านการค้าสำคัญๆในอดีตไว้ ทั้งย่านถนนแพร่งภูธร ย่านถนนแพร่งสรรพศาตร์ ย่านเยาวราช ย่านบางรัก
ย่านนี้จะขายทั้งน้ำดื่ม อาหารทั้งคาว หวาน ขนมแบบไทยๆซึ่งบางอย่างหากินยากแล้วในสมัยนี้ เพราะต้องใช้เวลาในการทำยาวนาน ที่นี่ใช้เตาถ่านในการประกอบอาหารทุกชนิด เราสามารถเดินเข้าไปขอเก็บภาพและบรรยากาศการปรุงอาหารได้เลย หรือจะซื้อมาลองชิมก็ได้ ซึ่งเราชิมไปหลายอย่าง รสชาติอร่อยถูกปากทีเดียว ขนมบางชนิดเราก็เพิ่งเคยกินที่นี่เป็นที่แรก
ตามมาเลยค่ะ เดี๋ยวเราจะพาไปชิม อาหารและ ขนมชาววังที่หาทานยากกัน
หมูสะเต๊ะสูตรชาววัง เนื้อหมูนุ่มหมักมาได้อย่างอร่อยลงตัวทีเดียว
ข้าวเหนียวมูน มีให้เลือก ทั้งหน้าปลาแห้ง หน้ากุ้ง หน้ากระฉีก
ขนมทองเอกและขนมเสน่ห์จันทร์ ซึ่งเป็นขนมไทยที่หาทานยากแล้วในสมัยนี้ เนื่องจากขั้นตอนการทำที่ปราณีตใช้เวลาค่อนข้างนาน เดี๋ยวนี้ส่วนมากจะเจอได้ตามงานมงคล หรืองานสำคัญต่างๆเท่านั้น ใครอยากมาชิมรสชาติ สามารถมาทานได้ที่นี่ เค้ามีขายตลอดทุกวันค่ะ หรือจะมาทดลองทำดูก็ได้น๊า
ขนมชั้นเป็นอีกหนึ่งขนมไทยที่นิยมกันมาก สมัยนี้ก็ยังหาทานได้ทั่วไป แต่จะมีไม่กี่เจ้าที่ใช้สีจากธรรมชาติมาทำ เช่น สีเขียวจากใบเตย และสีม่วงของดอกอัญชัน เราลองซื้อมาชิมดูถือว่าที่นี่ทำได้อร่อยและหอมมากๆ
ถัดมาที่ขนมหายากอีกอย่างนึงคือ
"บุหลันดั้นเมฆ" ซึ่งสารภาพตามตรงว่าเราก็เพิ่งรู้จักจากที่นี่
ลักษณะของตัวขนมจะใช้แป้งน้ำดอกอัญชันเทลงในถ้วยตะไลรูปทรงคล้ายขนมน้ำดอกไม้และหยอดไข่แดงลงไปตรงกลาง
ร้านนี้จะขายขนมช่อม่วงและลูกชุบ สีสันสดใสซึ่งจะทำมาจากสีธรรมชาติทั้งหมด
ขนมช่อม่วง ขนมไทยที่มีทั้งไส้หมูและกุ้ง เดี๋ยวนี้ก็หากินยากเหมือนกัน ถ้ามีขายก็ค่อนข้างราคาแพง
ลักษณะของขนมทำจากแป้ง ใส่ไส้แล้วปั้นแป้งจับจีบเป็นรูปทรง
ลูกชุบ ทำมาจากถั่วเขียวกวนปั้นเป็นรูปทรงผลไม้ต่างๆ ซึ่งคนไทยนิยมและคุ้นเคยกันอย่างดี
เราลองชิมขนมช่อม่วงดู สำหรับเราคิดว่ารสชาติคล้ายๆสาคูไส้หมูแต่ช่อม่วงไส้จะหวานกว่านิดหน่อย
ขนมลืมกลืน" อีกหนึ่งขนมไทยที่หาทานยากอีกอย่างนึง
ข้าวเหนียวปิ้งสูตรโบราณ ไส้ของข้าวเหนียวด้านในจะนิยมเป็นไส้เผือก หรือไส้ถั่วเหลือง
ทดลองขูดมะพร้าวกันซักหน่อย ให้ความรู้สึกเหมือนย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เพราะสมัยก่อนเราก็เคยช่วยคุณยายขูดมะพร้าวแบบนี้
ขนมถ้วยตะไล หอมหวานใบเตย
และอย่างที่บอกทุกร้านในเมืองจะรับแต่เงินรู เท่านั้นนะคะ
ฉะนั้นถ้ากินเพลินและแลกเงินจากด้านนอกมาไม่พอ ด้านในเมืองยังมี แบงก์สยามกัมมาจล ถึง 2 สาขา ให้แลกเงินเพิ่มกันได้อีกค่ะ
ตึกรามสีสันสดใส
เดินไปเรื่อยๆถ้าเมื่อย เค้าก็มีเก้าอี้ตามจุดต่างๆให้นั่งพักกันนะคะ
หอชมเมือง จำลองมาจากหอคอยคุก เป็นหอคอยสำหรับคอยตรวจตราไม่ให้นักโทษหลบหนี สามารถเดินขึ้นไปชมเมืองกันได้แบบ 360 องศา
มองจากมุมสูงจะสังเกตุเห็นว่าเมืองจะล้อมรอบไปด้วยน้ำ ตามแบบเมืองในสมัยนั้น
[CR][SR] หนีกรุง ไปนุ่งผ้าย้อนยุค ณ เมืองมัลลิกา ร.ศ.124
เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124 ก่อตั้งบนพื้นที่ 60 ไร่ ของ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ที่นี่จำลองสิ่งต่างๆที่อยู่ในปลายยุคสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5 ) ทรงประกาศให้มีการเลิกทาส ทรงออก "พระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ.124 " ให้ลูกทาสเป็นไท เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2448
การเดินทาง
เมืองมัลลิกา ตั้งอยู่ที่ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ถ้าขับรถส่วนตัวมาก็ไม่ยาก ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 323 กาญจนบุรี-ไทรโยค ขับตรงมาเรื่อยๆจะเจอกับที่ตั้งเมืองมัลลิกา จุดสังเกตุคืออยู่ติดกับปั้มน้ำมันบางจากเลย ใกล้กับทางเข้าประสาทเมืองสิงห์
แผนที่
เมื่อมาถึงเมืองมัลลิกา ร.ศ.124 จะพบกับกำแพงเมืองสีขาวสูงเด่นเป็นตระหง่าน คู่กับประตูบานใหญ่สีแดง มองลอดเข้าไปจะเหมือนหลุดไปอีกยุคนึงเลย
ชมบรรยากาศในเมืองแบบคลิปวีดีโอกันก่อน
ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท
ค่าเข้าชม+ สำรับเย็น+ชมการแสดง 700 บาท (โปรโมชั่นลด 10%)
แต่ก่อนจะเข้าชมสถานที่ เราก็ต้องแต่งกายให้กลมกลืนกับสถานที่กันซะก่อน โดยการใส่ชุดไทย ซึ่งที่นี่จะมีบริการให้เช่าเตรียมไว้ให้พร้อม หรือใครที่มีชุดไทยก็สามารถนำมาเองก็ได้ค่ะ
อัตราค่าเช่าชุด
ผู้หญิง
แบบที่ 1 : ผ้าสไบ โจงกระเบน เครื่องประดับ และร่ม ราคา 200 บาท
แบบที่ 2 : เสื้อลูกไม้หรือเสื้อแขนหมูแฮม แบบสมัย ร.5 พร้อมผ้าแพรสะพาย โจงกระเบน เครื่องประดับและร่ม ราคา 300 บาท
ผู้ชาย
แบบที่ 1 : เสื้อกุยเฮง โจงกระเบน ผ้าคาดเอว ราคา 100 บาท
แบบที่ 2 : เสื้อราชปะแตน โจงกระเบน ราคา 300 บาท
เด็ก
เสื้อคอกระเช้าสำหรับเด็กผู้หญิง และ เสื้อกุยเฮงสำหรับเด็กผู้ชาย ราคา 50 บาท
ถ้าไม่แต่งชุดไทยจะสามารถเข้าชมที่นี่ได้ไม๊ จริงๆไม่ใส่ก็เข้าได้ค่ะ แต่เราว่าไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว ใส่ให้กลมกลืนกันหมดจะดูสวยงามและรู้สึกเหมือนเราหลุดย้อนยุคเข้าไปในสมัยนั้นจริงๆค่ะ เพราะที่นี่ทุกคนในเมืองจะแต่งชุดไทยกันหมด และพูด ขอรับ, เจ้าค่ะ ใช้วาจาแบบสมัยก่อนกันจริงๆ
เรากับเพื่อนเลือกเป็นชุด เสื้อลูกไม้ แบบสมัย ร.5 ดูให้อารมณ์เหมือนเป็นท่านหญิงดี
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เค้าจะมีล็อคเกอร์จัดเตรียมไว้ให้สำหรับเก็บเสื้อผ้าของใช้
ก่อนจะเข้าภายในเมืองเราก็ต้องแลกเงินกันก่อน เพราะในเมืองจะไม่ใช้เงินบาท จะเป็นเงินสตางค์หรือ "เงินรู" ที่เหรียญจะเป็นรูๆค่ะ อัตราแลกเปลี่ยน 1 สตางค์ = 5 บาท โดยจุดแลกเงินจะมีทั้งด้านนอกตรงข้างที่จำหน่ายตั๋ว และด้านในเมืองที่แบงก์สยามกัมมาจล
หลังจากแลกเงินเรียบร้อยแล้ว เราจะพาเข้าไปชมในเมืองกันค่ะ
การเข้าชมเมืองสามารถเดินเท้าเข้าไป หรือถ้าใครอยากนั่งรถลาก(รถเจ๊ก)รอบเมืองเค้าก็มีให้บริการ ในราคา 50 บาท หรือจะแค่นั่งถ่ายรูปเฉยๆก็ไม่เสียค่าใช้จ่ายนะคะ
จุดแรกหลังจากที่เดินผ่านเข้าประตูไปจะพบกับ"สะพานหัน" ซึ่งจำลองมาแบบในอดีต ชื่อเรียกสะพานหันเพราะในสมัยก่อน ตัวสะพานจะเป็นไม้แผ่นเดียวพาดข้ามคลอง ปลายข้างนึงตรึงแน่นกับที่ ส่วนอีกข้างไม่ตอกติด จับหันไปหันมาเพื่อสะดวกในการให้เรือแล่นผ่าน จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนเป็นสะพานไม้โค้งกว้าง สองฝั่งสะพานมีห้องแถวเล็กๆให้เช่าขายของ ตรงกลางเป็นทางเดิน
สองฟากของสะพานจะมีร้านค้าเป็นห้องแถวเล็กๆ ให้ขายของ ตรงกลางเป็นทางเดิน
สะพานนี้รัชกาลที่ 5 ชอบเสด็จประพาสเพื่อซื้อผลไม้แห้ง ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่นลูกพลับแห้ง และผลไม้ต่างๆ เราถือโอกาส ลองเป็นแม่ค้าดูซักหน่อย แถมได้ลองชิมผลไม้แห้ง คือเปลือกส้มโอ ด้วย
ข้ามจากสะพานหันถัดไปก็จะเจอกับ ตึกสีสันสดใส หรือเรียกว่า "ย่านการค้า" ซึ่งจำลองมาจากย่านถนนแพร่งนรา ในสมัย ร.ศ.124 ซึ่งจะรวมย่านการค้าสำคัญๆในอดีตไว้ ทั้งย่านถนนแพร่งภูธร ย่านถนนแพร่งสรรพศาตร์ ย่านเยาวราช ย่านบางรัก
ย่านนี้จะขายทั้งน้ำดื่ม อาหารทั้งคาว หวาน ขนมแบบไทยๆซึ่งบางอย่างหากินยากแล้วในสมัยนี้ เพราะต้องใช้เวลาในการทำยาวนาน ที่นี่ใช้เตาถ่านในการประกอบอาหารทุกชนิด เราสามารถเดินเข้าไปขอเก็บภาพและบรรยากาศการปรุงอาหารได้เลย หรือจะซื้อมาลองชิมก็ได้ ซึ่งเราชิมไปหลายอย่าง รสชาติอร่อยถูกปากทีเดียว ขนมบางชนิดเราก็เพิ่งเคยกินที่นี่เป็นที่แรก
ตามมาเลยค่ะ เดี๋ยวเราจะพาไปชิม อาหารและ ขนมชาววังที่หาทานยากกัน
หมูสะเต๊ะสูตรชาววัง เนื้อหมูนุ่มหมักมาได้อย่างอร่อยลงตัวทีเดียว
ข้าวเหนียวมูน มีให้เลือก ทั้งหน้าปลาแห้ง หน้ากุ้ง หน้ากระฉีก
ขนมทองเอกและขนมเสน่ห์จันทร์ ซึ่งเป็นขนมไทยที่หาทานยากแล้วในสมัยนี้ เนื่องจากขั้นตอนการทำที่ปราณีตใช้เวลาค่อนข้างนาน เดี๋ยวนี้ส่วนมากจะเจอได้ตามงานมงคล หรืองานสำคัญต่างๆเท่านั้น ใครอยากมาชิมรสชาติ สามารถมาทานได้ที่นี่ เค้ามีขายตลอดทุกวันค่ะ หรือจะมาทดลองทำดูก็ได้น๊า
ขนมชั้นเป็นอีกหนึ่งขนมไทยที่นิยมกันมาก สมัยนี้ก็ยังหาทานได้ทั่วไป แต่จะมีไม่กี่เจ้าที่ใช้สีจากธรรมชาติมาทำ เช่น สีเขียวจากใบเตย และสีม่วงของดอกอัญชัน เราลองซื้อมาชิมดูถือว่าที่นี่ทำได้อร่อยและหอมมากๆ
ถัดมาที่ขนมหายากอีกอย่างนึงคือ"บุหลันดั้นเมฆ" ซึ่งสารภาพตามตรงว่าเราก็เพิ่งรู้จักจากที่นี่
ลักษณะของตัวขนมจะใช้แป้งน้ำดอกอัญชันเทลงในถ้วยตะไลรูปทรงคล้ายขนมน้ำดอกไม้และหยอดไข่แดงลงไปตรงกลาง
ร้านนี้จะขายขนมช่อม่วงและลูกชุบ สีสันสดใสซึ่งจะทำมาจากสีธรรมชาติทั้งหมด
ขนมช่อม่วง ขนมไทยที่มีทั้งไส้หมูและกุ้ง เดี๋ยวนี้ก็หากินยากเหมือนกัน ถ้ามีขายก็ค่อนข้างราคาแพง
ลักษณะของขนมทำจากแป้ง ใส่ไส้แล้วปั้นแป้งจับจีบเป็นรูปทรง
ลูกชุบ ทำมาจากถั่วเขียวกวนปั้นเป็นรูปทรงผลไม้ต่างๆ ซึ่งคนไทยนิยมและคุ้นเคยกันอย่างดี
เราลองชิมขนมช่อม่วงดู สำหรับเราคิดว่ารสชาติคล้ายๆสาคูไส้หมูแต่ช่อม่วงไส้จะหวานกว่านิดหน่อย
ขนมลืมกลืน" อีกหนึ่งขนมไทยที่หาทานยากอีกอย่างนึง
ข้าวเหนียวปิ้งสูตรโบราณ ไส้ของข้าวเหนียวด้านในจะนิยมเป็นไส้เผือก หรือไส้ถั่วเหลือง
ทดลองขูดมะพร้าวกันซักหน่อย ให้ความรู้สึกเหมือนย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เพราะสมัยก่อนเราก็เคยช่วยคุณยายขูดมะพร้าวแบบนี้
ขนมถ้วยตะไล หอมหวานใบเตย
และอย่างที่บอกทุกร้านในเมืองจะรับแต่เงินรู เท่านั้นนะคะ
ฉะนั้นถ้ากินเพลินและแลกเงินจากด้านนอกมาไม่พอ ด้านในเมืองยังมี แบงก์สยามกัมมาจล ถึง 2 สาขา ให้แลกเงินเพิ่มกันได้อีกค่ะ
ตึกรามสีสันสดใส
เดินไปเรื่อยๆถ้าเมื่อย เค้าก็มีเก้าอี้ตามจุดต่างๆให้นั่งพักกันนะคะ
หอชมเมือง จำลองมาจากหอคอยคุก เป็นหอคอยสำหรับคอยตรวจตราไม่ให้นักโทษหลบหนี สามารถเดินขึ้นไปชมเมืองกันได้แบบ 360 องศา
มองจากมุมสูงจะสังเกตุเห็นว่าเมืองจะล้อมรอบไปด้วยน้ำ ตามแบบเมืองในสมัยนั้น
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น