Rush : อัดเต็มสปีด
" Rush เป็นหนังแข่งรถที่ดีที่สุดที่เคยดูมา "
Rush หนังแข่งรถสูตร 1 ที่จัดได้ว่าเป็นหนังแข่งรถคุณภาพดีที่ไม่ควรพลาด หนังมีเรื่องราวที่น่าประทับใจ มันส์ เข้มข้น เฉือนกันไปมาระหว่างนักแข่งรถผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคน
James Hunt และ
Niki Lauda ซึ่งสำหรับผมแล้วตอนนี้ก็ยกให้ เป็นหนังแข่งรถที่ดีที่สุดที่ผมเคยดูมา จะมีแนวแข่งกันอีกเรื่องหนึ่งที่ดีก็
Seabiscuit (2003) แต่เปลี่ยนเป็นแข่งม้าแทน
[ Rush เข้าชิงลูกโลกทองคำ 2 รางวัลในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ดราม่า) และนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ]
Rush (2013) ได้รับการกำกับโดย
Ron Howard ผู้กำกับหนังชั้นเยี่ยมอย่าง
A Beautiful Mind (2001) และ
Apollo 13 (1995) และเขียนบทโดย
Peter Morgan Rush สร้างมาจากเรื่องจริง มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการแข่งกันชิงตำแหน่งเจ้าโลก Formula 1 ของ
James Hunt และ
Niki Lauda สองนักแข่งผู้ยิ่งใหญ่ในยุคนั้น ทั้งสองห้ำห่ำกันทุกวิถีทาง เพื่อแย่งชิงตำแหน่งแชมป์โลก
(รีวิวมีการเปิดเผยเนื้อหาเรื่อง แล้วก็ยาวหน่อยนะครับ)
์James Hunt VS Niki Lauda : สองนักแข่งที่ตรงกันข้ามสุดขั้ว
Rush มีสไตล์ออกเป็นทางหนังแอ็คชัน - ดราม่า แข่งขันกัน เฉือนกัน หนังมีบทเรื่องที่ดีและสร้างความแตกต่างได้จากเรื่องอื่น ถึงแม้ว่าจะดำเนินเนื้อเรื่องไปตามสูตรหนังบ้าง ที่สำคัญคือ หนังเล่นที่อารมณ์คนได้ถูกจุด หนังแสดงภาพการเฉือนกันไปมาระหว่าง 2 นักแข่งผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งสองมีปรัชญาการแข่งรถที่แตกต่างกัน
James Hunt เน้นใช้สัญชาตญาณทำให้เป็นอัจฉริยะในการแข่งขัน ส่วน
Niki Lauda เป็นแนว Perfectionism ที่ต้องการความสมบูรณ์แบบ ใช้สมองคำนวณทุกๆอย่าง รวมทั้งฝึกฝนอย่างขะมักเขม้นเสมอ ทำให้ทั้งคู่ดูเป็นศัตรูที่มีปรัชญาการแข่งที่ตรงกันข้ามอย่างชัดเจน จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นสไตล์นิสัยตรงกันข้ามในทุกอย่างของทั้งคู่ แถมยังไม่ชอบหน้ากันอย่างรุนแรง (แต่เรื่องจริงไม่รู้นะว่าเกลียดกันขนาดนี้เปล่า)
นิกิคิดแบบอัจริยะ Perfectionist ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบ เกลียดความสุขสบาย ต้องการเพียงความสำเร็จเท่านั้น ทำให้เขาค่อนข้างมีมนุษย์สัมพันธ์ย่ำแย่ ส่วนเจมส์อัจริยะจากสัญชาตญาณ วินัยในตัวเองสู้นิกิไม่ได้ อาศัยความเก่งแบบพรสวรรค์เข้าช่วย เป็นคนที่บ้ากล้าเสี่ยงตัวเองเสมอ นิสัยออกแนวเป็นกันเอง สนิทกับคนง่าย มีความเป็นซูเปอร์สตาร์ ทำให้มีคนเป็นแฟนคลับมากมาย
" Happiness is your biggest enemy. It weakens you. Puts doubts in your mind. Suddenly you have something to lose."
ความสุขคือศัตรูที่อันตรายที่สุด มันทำให้คุณอ่อนแอ สร้างความไม่แน่นอนให้กับจิตใจ ในไม่ช้าคุณจะต้องสูญเสียอะไรบางอย่างไป
- Niki Lauda (Daniel Brühl)
" The closer you are to death, the more alive you feel. It's a wonderful way to live. It's the only way to drive. "
ยิ่งคุณเข้าใกล้ความตาย คุณจะยิ่งรู้สึกว่ามีชีวิตอยู่ ความตายสร้างเส้นทางชีวิตที่มหัศจรรย์ มันเป็นเพียงหนทางเดียวในการแข่ง
- James Hunt (Chris Hemsworth)
" ดังนั้นแก่นเรื่องของ Rush จริงๆไม่ได้ตั้งใจแสดงการแข่งรถ รถเป็นแค่อาวุธชิ้นหนึ่งที่ทั้งคู่นำมาสู้กันผ่านสนามแข่ง แต่แก่นหนังที่แท้จริงคือ การขับเคี่ยวอันดุเดือดของทั้งสอง ท่ามกลางการแข่งขันที่เสี่ยงด้วยชีวิต ประเภทสามารถตายได้ทุกเมื่อ "
Production & มุมกล้อง Camera on Board เยี่ยมมาก
Rush นอกจากจะทำให้เราเห็นภาพของ James Hunt และ Niki Lauda แล้ว ไฮไลท์ที่ผมว่าเด่นที่สุดในหนังก็คือ ความสมจริงของโปรดักชันหนัง ขอชื่นชมในโปรดักชันและการถ่ายทำมาก หนังทำได้อย่างงดงาม การตัดต่อสลับฉากไปมา มุมกล้อง ฟิลเตอร์สีภาพทั้งหลาย การใช้มุมมองขณะขับ
Camera on Board ช่วยเร่งเร้าอารมณ์หนังได้อย่างดีเยี่ยม หนังทำให้คนดูเหมือนหลุดเข้าไปในการแข่งขันจริงๆได้ การใส่ Sound ก็ทำได้ขยี้ใจ ทั้งเสียงเครื่องฟอร์มูล่าแหลมๆ เสียงที่ออกมาจากท่อไอเสียทำได้ดีจริงๆ และดนตรีประกอบได้รับการประพันธ์โดย
Hans Zimmer ทำได้มันส์มาก
Soundtrack Rush. Hans Zimmer. 23.- Lost but Won
ส่วนการดำเนินเรื่องก็สนุก ดำเนินเรื่องฉับไว ทำได้ลงตัว (แต่ก็เป็นไปตามสูตรหนัง) ตัวละครมีมิติเหมือนคนจริงๆ มีทั้งดีและเลวอยู่ในคนเดียว แล้วแต่คนจะมอง สุดท้ายจนแล้วจนรอดทั้งคู่ก็เป็นศัตรูที่ปะทะกันจนสุดท้ายกลายมาเป็นมิตร ยอมรับในความสามารถอันยอดเยี่ยมของกันและกัน โดยเฉพาะฉากที่เป็นแมตช์สุดท้ายการแข่งขันที่โตเกียว เป็นฉากที่ผมประทับใจมาก ทำได้ลุ้นมากๆ บีบหัวใจสุดๆ
มุมมองในการใช้ชีวิตของ James Hunt และ Niki Lauda
หนังให้มุมมองข้อคิดหลายอย่างเกี่ยวกับการมองเป้าหมายในชีวิต ฉากหนึ่งที่น่าประทับใจมาก คือ ฉากในแมตช์สุดท้ายที่โตเกียวท่ามกลางฝนตกกระหน่ำ มันเป็นการวัดครั้งสุดท้ายของนิกิและเจมส์ว่าใครจะสามารถคว้าแชมป์ไปได้ นิกิสู้อย่างเต็มที่ในสนามนี้ แต่สุดท้ายเพราะฝนและอันตรายจากถนนลื่น นิกิก็เลือกที่จะไม่แข่งต่อ ไม่เสี่ยงอันตราย เพราะ หากแข่งครั้งนี้เขาพลาดเกิดอุบัติเหตุอีกครั้ง อาจจะเป็นจุดจบของชีวิต เขาก็จะไม่ได้อยู่กับคนที่เขารักอีก นิกิจึงเลือกที่จะไม่เสียคนรักดีกว่าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการเป็นแชมป์ ตรงกันข้ามกับเจมส์ที่ไม่เคยได้แชมป์มาก่อนเลยในชีวิต เจมส์ก็เลือกที่จะวัดใจเสี่ยงตัวเองทั้งๆที่โอกาสชนะเหลือน้อยมาก แต่ก็สามารถทำมันสำเร็จคว้าแชมป์จนได้
" A wise man can learn more from his enemies than a fool from his friends. "
อัจฉริยะสามารถเรียนรู้จากศัตรูของเขาได้มากกว่าคำพูดประจบสอพลอจากมิตรสหาย
- Niki Lauda (Daniel Brühl)
" What's the point of having a million of medals, cups and planes if you don't have any fun? And how is that winning? "
ต่อให้นายได้เหรียญ ได้ถ้วยแชมป์เป็นล้านอัน แต่นายไม่ได้สนุก มันจะไปมีความหมายอะไร
- James Hunt (Chris Hemsworth)
ในตอนท้ายเรื่อง หนังจบเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม ผมชอบมากหนังสร้างบทสรุปได้ลงตัว ท้ายเรื่องหนัง เล่าถึงชีวิตจริงของ James Hunt และ Niki Lauda เจมส์ร่ำรวยมากมายจากการได้แชมป์ แต่ก็มีอายุที่ไม่ยืนยาวนัก เขาตายตอนอายุ 45 ด้วยอาการหัวใจวาย (ซึ่งก็ไม่น่าแปลกหากเราได้ดูการใช้ชีวิตของเขาในเรื่อง) ส่วน Niki Lauda ได้หันเหไปทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ เจ้าของสายการบิน Lauda Air
ฉากสุดท้าย
Niki Lauda ตัวจริงได้มาบอกเล่าชีวิตและมุมมองของเขา เขายังได้บอกอีกด้วยว่า ...เจมส์เป็นเพียงไม่กี่คนที่เขายกย่อง แล้วก็อิจฉาด้วย
" Of course he didn't listen to me. For James, one world title was enough. He had proved what he needed to prove. To himself and anyone who doubted him. And two years later, he retired. When I saw him next in London, seven years later, me as a champion again, him as broadcaster, he was barefoot on a bicycle with a flat tire, still living each day like his last. When I heard he died age 45 of a heart attack, I wasn't surprised. I was just sad. People always think of us as rivals but he was among the very few I liked and even fewer that I respected. He remains the only person I envied."
" แน่นอนว่าเขาไม่ได้ฟังผม สำหรับเจมส์แค่ชื่อ One World ก็เพียงพอแล้ว เขาได้พิสูจน์ในสิ่งที่เขาต้องการพิสูจน์ ทั้งกับตัวเองและทุกคนที่ยังกังขาในตัวเขา สองปีต่อมาเจมส์เลิกแข่ง เมื่อผมเห็นเขาอีกครั้งในลอนดอน เจ็ดปีต่อมาผมเป็นแชมป์อีกครั้ง ส่วนเขาไปเป็นพิธีกรทีวี เขาคือเท้าเปล่าบนจักรยานยางแบนๆ ใช้ชีวิตในในแต่ละวันเหมือนวันสุดท้าย เมื่อผมได้ยินเขาตายตอนอายุ 45 ปี จากอาการหัวใจวาย ผมไม่แปลกใจ ผมเศร้าแค่นั้น ...คนทั้งหลายมักคิดว่าเราเป็นคู่แข่งกัน แต่จริงๆเขาเป็นหนึ่งคนไม่กี่คนที่ผมชอบและผมยกย่อง เขายังคงเป็นคนเดียวที่ผมอิจฉา "
- Niki Lauda
อีกอย่างที่ประทับใจในหนังเรื่องนี้คือ หลังจากจบฉากสุดท้าย พอได้เห็นภาพตัวจริง ผมรู้สึกว่าทีมงานแคสต์ตัวละครได้โหดมาก หน้าโคตรคล้ายตัวจริง 555
James Hunt รับบทโดย
Chris Hemsworth (พี่ธอร์เรานั่นเอง) ส่วน
Niki Lauda แสดงโดย
Daniel Bruhl นักแสดงมากฝีมือ ถือว่าแสดงได้โดดเด่นและได้เข้าชิงลูกโลกทองคำด้วย
สรุป
สำหรับผม ผมให้คะแนน
8.5/10 (เป็นหนังแข่งรถที่ดีที่สุดแล้วที่เคยดูมา) ส่วนตัวผมอาจจะไม่ได้เป็นคนชอบแนวหนังแข่งรถมาก แต่พอดูแล้วก็ต้องชมในคุณภาพหนังจริงๆ ถือเป็นหนังที่ดูสนุก มีเสน่ห์ ดราม่า มันส์ บีบอารมณ์ ถึงจะดำเนินเรื่องตามสูตรก็เถอะ แนวหนังก็จะเอนไปทางสายหนังดราม่า ผมว่าน่าจะดูได้ทุกคน เข้าถึงได้ไม่ยาก (ยกเว้นเด็กห้ามดู เพราะมีฉากโป๊ 555) แต่ก็ไม่ได้เอามันส์แบบสไตล์หนัง Blockbuster นะ หนังค่อนข้างจริงจัง เป็นหนังที่ผมถือว่าชอบใช้ได้ คุ้มแก่การดู ถ้าใครเป็นคนรักรถ ยิ่งดูน่าจะยิ่งชอบ รถฟอร์มูล่ายุคเก่าสวยมาก
" A wise man can learn more from his enemies than a fool from his friends. "
8.5/10
----------------------------------------------------------------------
[CR] (Review) Rush (2013) : การขับเคี่ยวกันของสองนักแข่งรถผู้ยิ่งใหญ่ James Hunt และ Niki Lauda
Rush หนังแข่งรถสูตร 1 ที่จัดได้ว่าเป็นหนังแข่งรถคุณภาพดีที่ไม่ควรพลาด หนังมีเรื่องราวที่น่าประทับใจ มันส์ เข้มข้น เฉือนกันไปมาระหว่างนักแข่งรถผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคน James Hunt และ Niki Lauda ซึ่งสำหรับผมแล้วตอนนี้ก็ยกให้ เป็นหนังแข่งรถที่ดีที่สุดที่ผมเคยดูมา จะมีแนวแข่งกันอีกเรื่องหนึ่งที่ดีก็ Seabiscuit (2003) แต่เปลี่ยนเป็นแข่งม้าแทน
[ Rush เข้าชิงลูกโลกทองคำ 2 รางวัลในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ดราม่า) และนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ]
Rush (2013) ได้รับการกำกับโดย Ron Howard ผู้กำกับหนังชั้นเยี่ยมอย่าง A Beautiful Mind (2001) และ Apollo 13 (1995) และเขียนบทโดย Peter Morgan Rush สร้างมาจากเรื่องจริง มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการแข่งกันชิงตำแหน่งเจ้าโลก Formula 1 ของ James Hunt และ Niki Lauda สองนักแข่งผู้ยิ่งใหญ่ในยุคนั้น ทั้งสองห้ำห่ำกันทุกวิถีทาง เพื่อแย่งชิงตำแหน่งแชมป์โลก (รีวิวมีการเปิดเผยเนื้อหาเรื่อง แล้วก็ยาวหน่อยนะครับ)
์James Hunt VS Niki Lauda : สองนักแข่งที่ตรงกันข้ามสุดขั้ว
Rush มีสไตล์ออกเป็นทางหนังแอ็คชัน - ดราม่า แข่งขันกัน เฉือนกัน หนังมีบทเรื่องที่ดีและสร้างความแตกต่างได้จากเรื่องอื่น ถึงแม้ว่าจะดำเนินเนื้อเรื่องไปตามสูตรหนังบ้าง ที่สำคัญคือ หนังเล่นที่อารมณ์คนได้ถูกจุด หนังแสดงภาพการเฉือนกันไปมาระหว่าง 2 นักแข่งผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งสองมีปรัชญาการแข่งรถที่แตกต่างกัน James Hunt เน้นใช้สัญชาตญาณทำให้เป็นอัจฉริยะในการแข่งขัน ส่วน Niki Lauda เป็นแนว Perfectionism ที่ต้องการความสมบูรณ์แบบ ใช้สมองคำนวณทุกๆอย่าง รวมทั้งฝึกฝนอย่างขะมักเขม้นเสมอ ทำให้ทั้งคู่ดูเป็นศัตรูที่มีปรัชญาการแข่งที่ตรงกันข้ามอย่างชัดเจน จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นสไตล์นิสัยตรงกันข้ามในทุกอย่างของทั้งคู่ แถมยังไม่ชอบหน้ากันอย่างรุนแรง (แต่เรื่องจริงไม่รู้นะว่าเกลียดกันขนาดนี้เปล่า)
นิกิคิดแบบอัจริยะ Perfectionist ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบ เกลียดความสุขสบาย ต้องการเพียงความสำเร็จเท่านั้น ทำให้เขาค่อนข้างมีมนุษย์สัมพันธ์ย่ำแย่ ส่วนเจมส์อัจริยะจากสัญชาตญาณ วินัยในตัวเองสู้นิกิไม่ได้ อาศัยความเก่งแบบพรสวรรค์เข้าช่วย เป็นคนที่บ้ากล้าเสี่ยงตัวเองเสมอ นิสัยออกแนวเป็นกันเอง สนิทกับคนง่าย มีความเป็นซูเปอร์สตาร์ ทำให้มีคนเป็นแฟนคลับมากมาย
" ดังนั้นแก่นเรื่องของ Rush จริงๆไม่ได้ตั้งใจแสดงการแข่งรถ รถเป็นแค่อาวุธชิ้นหนึ่งที่ทั้งคู่นำมาสู้กันผ่านสนามแข่ง แต่แก่นหนังที่แท้จริงคือ การขับเคี่ยวอันดุเดือดของทั้งสอง ท่ามกลางการแข่งขันที่เสี่ยงด้วยชีวิต ประเภทสามารถตายได้ทุกเมื่อ "
Production & มุมกล้อง Camera on Board เยี่ยมมาก
Rush นอกจากจะทำให้เราเห็นภาพของ James Hunt และ Niki Lauda แล้ว ไฮไลท์ที่ผมว่าเด่นที่สุดในหนังก็คือ ความสมจริงของโปรดักชันหนัง ขอชื่นชมในโปรดักชันและการถ่ายทำมาก หนังทำได้อย่างงดงาม การตัดต่อสลับฉากไปมา มุมกล้อง ฟิลเตอร์สีภาพทั้งหลาย การใช้มุมมองขณะขับ Camera on Board ช่วยเร่งเร้าอารมณ์หนังได้อย่างดีเยี่ยม หนังทำให้คนดูเหมือนหลุดเข้าไปในการแข่งขันจริงๆได้ การใส่ Sound ก็ทำได้ขยี้ใจ ทั้งเสียงเครื่องฟอร์มูล่าแหลมๆ เสียงที่ออกมาจากท่อไอเสียทำได้ดีจริงๆ และดนตรีประกอบได้รับการประพันธ์โดย Hans Zimmer ทำได้มันส์มาก
ส่วนการดำเนินเรื่องก็สนุก ดำเนินเรื่องฉับไว ทำได้ลงตัว (แต่ก็เป็นไปตามสูตรหนัง) ตัวละครมีมิติเหมือนคนจริงๆ มีทั้งดีและเลวอยู่ในคนเดียว แล้วแต่คนจะมอง สุดท้ายจนแล้วจนรอดทั้งคู่ก็เป็นศัตรูที่ปะทะกันจนสุดท้ายกลายมาเป็นมิตร ยอมรับในความสามารถอันยอดเยี่ยมของกันและกัน โดยเฉพาะฉากที่เป็นแมตช์สุดท้ายการแข่งขันที่โตเกียว เป็นฉากที่ผมประทับใจมาก ทำได้ลุ้นมากๆ บีบหัวใจสุดๆ
มุมมองในการใช้ชีวิตของ James Hunt และ Niki Lauda
หนังให้มุมมองข้อคิดหลายอย่างเกี่ยวกับการมองเป้าหมายในชีวิต ฉากหนึ่งที่น่าประทับใจมาก คือ ฉากในแมตช์สุดท้ายที่โตเกียวท่ามกลางฝนตกกระหน่ำ มันเป็นการวัดครั้งสุดท้ายของนิกิและเจมส์ว่าใครจะสามารถคว้าแชมป์ไปได้ นิกิสู้อย่างเต็มที่ในสนามนี้ แต่สุดท้ายเพราะฝนและอันตรายจากถนนลื่น นิกิก็เลือกที่จะไม่แข่งต่อ ไม่เสี่ยงอันตราย เพราะ หากแข่งครั้งนี้เขาพลาดเกิดอุบัติเหตุอีกครั้ง อาจจะเป็นจุดจบของชีวิต เขาก็จะไม่ได้อยู่กับคนที่เขารักอีก นิกิจึงเลือกที่จะไม่เสียคนรักดีกว่าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการเป็นแชมป์ ตรงกันข้ามกับเจมส์ที่ไม่เคยได้แชมป์มาก่อนเลยในชีวิต เจมส์ก็เลือกที่จะวัดใจเสี่ยงตัวเองทั้งๆที่โอกาสชนะเหลือน้อยมาก แต่ก็สามารถทำมันสำเร็จคว้าแชมป์จนได้
ในตอนท้ายเรื่อง หนังจบเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม ผมชอบมากหนังสร้างบทสรุปได้ลงตัว ท้ายเรื่องหนัง เล่าถึงชีวิตจริงของ James Hunt และ Niki Lauda เจมส์ร่ำรวยมากมายจากการได้แชมป์ แต่ก็มีอายุที่ไม่ยืนยาวนัก เขาตายตอนอายุ 45 ด้วยอาการหัวใจวาย (ซึ่งก็ไม่น่าแปลกหากเราได้ดูการใช้ชีวิตของเขาในเรื่อง) ส่วน Niki Lauda ได้หันเหไปทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ เจ้าของสายการบิน Lauda Air
ฉากสุดท้าย Niki Lauda ตัวจริงได้มาบอกเล่าชีวิตและมุมมองของเขา เขายังได้บอกอีกด้วยว่า ...เจมส์เป็นเพียงไม่กี่คนที่เขายกย่อง แล้วก็อิจฉาด้วย
" Of course he didn't listen to me. For James, one world title was enough. He had proved what he needed to prove. To himself and anyone who doubted him. And two years later, he retired. When I saw him next in London, seven years later, me as a champion again, him as broadcaster, he was barefoot on a bicycle with a flat tire, still living each day like his last. When I heard he died age 45 of a heart attack, I wasn't surprised. I was just sad. People always think of us as rivals but he was among the very few I liked and even fewer that I respected. He remains the only person I envied."
" แน่นอนว่าเขาไม่ได้ฟังผม สำหรับเจมส์แค่ชื่อ One World ก็เพียงพอแล้ว เขาได้พิสูจน์ในสิ่งที่เขาต้องการพิสูจน์ ทั้งกับตัวเองและทุกคนที่ยังกังขาในตัวเขา สองปีต่อมาเจมส์เลิกแข่ง เมื่อผมเห็นเขาอีกครั้งในลอนดอน เจ็ดปีต่อมาผมเป็นแชมป์อีกครั้ง ส่วนเขาไปเป็นพิธีกรทีวี เขาคือเท้าเปล่าบนจักรยานยางแบนๆ ใช้ชีวิตในในแต่ละวันเหมือนวันสุดท้าย เมื่อผมได้ยินเขาตายตอนอายุ 45 ปี จากอาการหัวใจวาย ผมไม่แปลกใจ ผมเศร้าแค่นั้น ...คนทั้งหลายมักคิดว่าเราเป็นคู่แข่งกัน แต่จริงๆเขาเป็นหนึ่งคนไม่กี่คนที่ผมชอบและผมยกย่อง เขายังคงเป็นคนเดียวที่ผมอิจฉา "
อีกอย่างที่ประทับใจในหนังเรื่องนี้คือ หลังจากจบฉากสุดท้าย พอได้เห็นภาพตัวจริง ผมรู้สึกว่าทีมงานแคสต์ตัวละครได้โหดมาก หน้าโคตรคล้ายตัวจริง 555 James Hunt รับบทโดย Chris Hemsworth (พี่ธอร์เรานั่นเอง) ส่วน Niki Lauda แสดงโดย Daniel Bruhl นักแสดงมากฝีมือ ถือว่าแสดงได้โดดเด่นและได้เข้าชิงลูกโลกทองคำด้วย
สรุป
สำหรับผม ผมให้คะแนน 8.5/10 (เป็นหนังแข่งรถที่ดีที่สุดแล้วที่เคยดูมา) ส่วนตัวผมอาจจะไม่ได้เป็นคนชอบแนวหนังแข่งรถมาก แต่พอดูแล้วก็ต้องชมในคุณภาพหนังจริงๆ ถือเป็นหนังที่ดูสนุก มีเสน่ห์ ดราม่า มันส์ บีบอารมณ์ ถึงจะดำเนินเรื่องตามสูตรก็เถอะ แนวหนังก็จะเอนไปทางสายหนังดราม่า ผมว่าน่าจะดูได้ทุกคน เข้าถึงได้ไม่ยาก (ยกเว้นเด็กห้ามดู เพราะมีฉากโป๊ 555) แต่ก็ไม่ได้เอามันส์แบบสไตล์หนัง Blockbuster นะ หนังค่อนข้างจริงจัง เป็นหนังที่ผมถือว่าชอบใช้ได้ คุ้มแก่การดู ถ้าใครเป็นคนรักรถ ยิ่งดูน่าจะยิ่งชอบ รถฟอร์มูล่ายุคเก่าสวยมาก