สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 16
เคยขับบ่อยๆ Nissan Teana J32, Camry HV ตัวปัจจุบัน, E Klass W211
ที่เคยลองขับ Accord Hybrid, E 220D ตัวใหม่, BMW F10 520D, BMW G30 520D, Volvo S90 D4
ที่ว่าไว้ด้านล่างนี้คือ การเปรียบเทียบ Teana J32, Camry, Accord รุ่นท๊อป (hybrid) ราคาเกือบสองล้าน กับ รถยุโรป D segment รุ่นเริ่มต้นราคาประมาณ 3 ต้นๆ ถึง 3 กลางๆ เท่าที่มีขายในประเทศ
*** เพราะถ้าเทียบ C Klass กับ Camry, Teana, Accord ผมยังไม่เห็นเลยครับว่า มันจะชนะยังไง ถ้าไม่นับเรื่องหน้าตา ***
ด้านความปลอดภัย
ผมเชื่อตามผลทดสอบของ Euro NCAP ดั้งนั้นตอบได้ว่าไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญหรอก พวกนี้ได้ 5 ดาวกันเกือบหมด
พวกที่ชอบบอกว่าจ่ายเงินซื้อความปลอดภัย ผมว่าไม่จริง ไม่ได้คุ้มค่าเงินที่จ่ายไปเหมือนที่คิดไว้
ด้านสมรรถนะ
ถ้าเราให้ความหมายของคำว่าสมรรถนะคือ ความเร็ว อัตราเร่ง และถ้าหมายถึงการขับขี่ปกติ คือใช้ความเร็วแบบสุภาพชน เช่น ต่างจังหวัดก็ 100- 130 Km/hr หรือจะวิ่งไปเกิน 150 Km/hr บ้างในช่วงสั้นๆ ผมเชื่อว่า Camry Hybrid, Accord Hybrid ไม่ได้แพ้แต่อย่างไร แต่ถ้าเอาไปอัดแข่งกันอย่างนั้นคงจะแพ้ แต่เผอิญเราซื้อรถมาใช้งาน และการแข่งรถในทางเป็นเรื่องผิดกฏหมาย และน่าจะได้รับการประณามเพราะสร้างความเดือนร้อนให้ชาวบ้าน ข้อนี้ผมจึงให้พอๆ กัน
การเกาะถนน
ยุโรปเหนือกว่าครับ แต่ไม่ได้มากมายมหาศาลขนาดนั้น
คือที่โค้งเดียวกัน อาจจะใส่ได้เร็ว และมั่นใจกว่า แต่ถ้าไปดูขนาดยาง ขนาดล้อก็จะเข้าใจว่ารถยุโรปได้เปรียบไปหลายขุมด้วยเรื่องนี้ ก็ราคายางต่างกันเกือบสองเท่า รถญี่ปุ่นหน้ายาง 215 ขอบ 17 รถเยอรมันรุ่นใหม่ๆ 245 ขอบ 18/19 แล้วมันจะไปเปรียบเทียบกันตรงๆ ได้ไงครับ
บอกตรงๆ ว่าก่อนขับ Teana J32 ไม่ค่อยเชื่อที่ใครจะบอกว่า Teana นิ่ง และเงียบน้องๆ E Klass แต่พอได้ใช้จริงก็เจอว่าส่วนที่ต่างกันนั้นมีน้อยอย่างที่เขาว่าไว้จริงๆ ความเงียบแทบจะไม่ต่างกับ E Klass แต่ Teana โยนกว่านิดหนึ่งแค่นั้นเอง ความกว้าง ความสบายของเบาะหลัง บอกตรงๆ ว่าดีกว่า W211 ชัดเจน และผมมั่นใจว่าดีกว่า E220D ตัวใหม่สุดด้วย
ถ้าให้เลือกนั่งหลับที่เบาะหลัง ผมเลือก Teana J32
สิ่งที่ต่างกันจริงๆ และต่างกันมากคือ ความสุนทรีย์ในการขับขี่
ซึ่งบางครั้งเป็นภาพลวงตา เพราะถ้าเทียบกลับไปเป็นสมรรถนะ หรือความเกาะถนน.... ก็จะเจอว่าไม่ได้ต่างกันเท่าไร
ผมมองว่ารถยุโรปใส่ใจในรายละเอียดของการขับขี่ ถ้านุ่มก็นุ่มหนึบ และไม่โยน ถ้ากระด้างขับสนุกก็ไม่ถึงกับตึงตังจนเสียอาการ เขารู้จักแยกความรู้สึกแพง รู้สึกดี รู้สึกปลอดภัย ออกจากความรู้สึกแค่ว่ามันใช้งานได้ รถยุโรปจึงให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ดีกว่า ถามว่าเข้าโค้งได้เหมือนกันไหม จะตอบว่าเหมือน และเผลอๆ อาจจะหลุดที่ความเร็วใกล้ๆ กับรถญี่ปุ่นด้วย แต่ความรู้สึกว่าเราควบคุมรถได้นั้น ยุโรปกินขาด เราจึงรู้สึกว่าเออมันเข้าโค้งดีเนอะ ขับก็ง่าย....
นี่คือเสน่ห์ของรถยุโรป
ถ้าจะให้เปรียบให้ถูก ผมคงเปรียบเทียบการใส่สูทตัวละไม่กี่พัน กับสูทตัวละหลายๆ หมื่น ถ้าถามว่ามันให้ประโยชน์ใช้สอยต่างกันไหมผมว่าไม่ต่าง แต่สูทแพงดูแลรักษายากกว่าอีกต่างหาก แต่ความสุนทรีย์เมื่อได้ใส่นั้นต่างกัน ส่องกระจกทีไรก็เห็นว่าดีกว่า นี่ยังไม่นับมูลค่าทางสังคมนะครับ
อนึ่ง ถ้าถามว่าขับคันไหนประทับใจ และสบายใจในภาพรวมที่สุด ผมจะตอบว่า Camry Hybrid ครับ
ผมขับเร็วเป็นเป็นบางเวลา ผมจึงเลือก Camry Hybrid เพราะช่วงล่างไม่ได้น่าเกลียด ถึงจะไม่นุ่ม และไม่เงียบเท่า Teana J32 (จริงๆ แล้ว Camry เก็บเสียงจากขอบประตูได้ค่อนข้างห่วย)แต่ได้เรื่องความแรง ความประหยัด ส่วน W211 นั้นที่บ้านเตรียมค่าซ่อมปีละหลายหมื่นไว้รอทุกปี และรู้ตัวว่าไม่สมควรจะเป็นรถคันหลัก เพราะมีโอกาสได้กินข้าวลิงสูงกว่าคันอื่นๆ
สรุป
ไม่นับเรื่องหน้าตา ภาพลักษณ์
ถ้าคิดจะจ่ายเพื่อความสนุกสนาน ความสุนทรีย์ในการขับขี่ ยอมจ่ายค่าซ่อมบำรุง ยอมรับได้ว่ารถยุโรปนั้น High Performance/High gain แต่ Low Reliability ถ้ารับได้อย่างนั้นก็เชิญ เพราะรถกลุ่มนี้เขาตั้งราคาตามความสามารถในการจ่าย ไม่ใช่ตั้งราคาจากต้นทุนแต่อย่างไร อีกอย่างถ้าคิดจะซื้อรถยุโรป ก็ควรจะซ่อมให้ถึง คือ ซ่อมให้เหมือนใหม่ ได้ความสุนทรีย์เหมือนรถใหม่ๆ ไม่งั้นจะใช้รถยุโรปไปทำไม แต่ถ้าจะซ่อมให้ถึงผมเสนอว่าควรจะเผื่อค่าซ่อมซัก 1.5- 2% ของราคารถใหม่เมื่อพ้นระยะประกันคุณภาพนะครับ รถราคา 3 ล้านก็ปีละ 4-6 หมื่น นี่ยังไม่รวมค่ายางนะครับ
แต่ถ้าคิดเรื่องสมรรถนะที่แท้จริง ไม่สนใจความสุนทรีย์จริงๆ เช่น ไม่ได้สนใจคุณภาพของวัสดุที่ทำคอนโซล ไม่ได้สนใจว่าหนังที่พวงมาลัย หรือหนังที่ใช้ทำเบาะนั่งนั้นนุ่มแตกต่างกัน ไม่ได้เน้นว่าต้องรถต้องนุ่ม แน่น และพร้อมที่จะสาดโค้งแรงๆตลอดเวลา ไม่ได้สนใจว่าช่วงล่างต้องเงียบสนิท ไม่ได้สนใจว่าคุณภาพอากาศในห้องโดยสารต้องดีเลิศ ไม่ได้สนใจเสียงเครื่องยนต์หวานๆ...
และถ้าคุณปรับตัวได้กับรถหลายๆคัน หลายๆ ประเภท คือ ปรับการขับขี่ให้เข้ากันได้กับประเภทของรถที่เปลี่ยนไป ขับรถเล็กก็รู้ว่าขับรถเล็กจึงขับตามศักยภาพรถ ขับรถใหญ่ก็รู้ว่านี่คือรถใหญ่ก็ขับตามนั้น เมื่อปรับได้ขับคันไหนๆ คุณก็ได้รับความเพลิดเพลินพอๆ กัน เพราะคุณเข้าใจรถทุกคัน
ผมขับรถตู้มาทำงานบ่อยๆ ถามผมว่าขับแล้วทรมานเมื่อเทียบกับ W211 ไหม ผมจะตอบว่าไม่ เพราะผมรู้ว่ามันเป็นรถตู้ ผมก็ขับมันเหมือนรถตู้ คือ ขับช้าลง เมื่อเจอเนิน เจอหลุมก็ชะลอให้มากขึ้น... ก็แค่นั้นเอง
ถ้าคุณเป็นแบบผม ผมก็แนะนำให้ซื้อรถญี่ปุ่นครับ เพราะเขาทำมาเพื่อประโยชน์มหาชนครับ
คำว่า Luxury Car นั้นเหมาะกับรถยุโรปแล้วครับ เพราะคุณจ่ายเพื่อความหรูหราล้วนๆ
เอ่อ ยกเว้นว่าถ้าคุณพอจะรู้ช่องทางในการซ่อม และรับการใช้รถมือสองได้ การซื้อรถยุโรปมือสองสภาพดีๆ ก็จะให้ ความสุนทรีย์ในราคาพอๆ (ทั้งราคาค่าตัว รวมถึงราคาค่าบำรุงรักษา) เมื่อเทียบกับการซื้อรถญี่ปุ่นมือหนึ่ง ถ้าอย่างทำได้อย่างนี้ก็จะได้ทั้งความสุนทรีย์ และประหยัดเงินไปในตัว
ที่เคยลองขับ Accord Hybrid, E 220D ตัวใหม่, BMW F10 520D, BMW G30 520D, Volvo S90 D4
ที่ว่าไว้ด้านล่างนี้คือ การเปรียบเทียบ Teana J32, Camry, Accord รุ่นท๊อป (hybrid) ราคาเกือบสองล้าน กับ รถยุโรป D segment รุ่นเริ่มต้นราคาประมาณ 3 ต้นๆ ถึง 3 กลางๆ เท่าที่มีขายในประเทศ
*** เพราะถ้าเทียบ C Klass กับ Camry, Teana, Accord ผมยังไม่เห็นเลยครับว่า มันจะชนะยังไง ถ้าไม่นับเรื่องหน้าตา ***
ด้านความปลอดภัย
ผมเชื่อตามผลทดสอบของ Euro NCAP ดั้งนั้นตอบได้ว่าไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญหรอก พวกนี้ได้ 5 ดาวกันเกือบหมด
พวกที่ชอบบอกว่าจ่ายเงินซื้อความปลอดภัย ผมว่าไม่จริง ไม่ได้คุ้มค่าเงินที่จ่ายไปเหมือนที่คิดไว้
ด้านสมรรถนะ
ถ้าเราให้ความหมายของคำว่าสมรรถนะคือ ความเร็ว อัตราเร่ง และถ้าหมายถึงการขับขี่ปกติ คือใช้ความเร็วแบบสุภาพชน เช่น ต่างจังหวัดก็ 100- 130 Km/hr หรือจะวิ่งไปเกิน 150 Km/hr บ้างในช่วงสั้นๆ ผมเชื่อว่า Camry Hybrid, Accord Hybrid ไม่ได้แพ้แต่อย่างไร แต่ถ้าเอาไปอัดแข่งกันอย่างนั้นคงจะแพ้ แต่เผอิญเราซื้อรถมาใช้งาน และการแข่งรถในทางเป็นเรื่องผิดกฏหมาย และน่าจะได้รับการประณามเพราะสร้างความเดือนร้อนให้ชาวบ้าน ข้อนี้ผมจึงให้พอๆ กัน
การเกาะถนน
ยุโรปเหนือกว่าครับ แต่ไม่ได้มากมายมหาศาลขนาดนั้น
คือที่โค้งเดียวกัน อาจจะใส่ได้เร็ว และมั่นใจกว่า แต่ถ้าไปดูขนาดยาง ขนาดล้อก็จะเข้าใจว่ารถยุโรปได้เปรียบไปหลายขุมด้วยเรื่องนี้ ก็ราคายางต่างกันเกือบสองเท่า รถญี่ปุ่นหน้ายาง 215 ขอบ 17 รถเยอรมันรุ่นใหม่ๆ 245 ขอบ 18/19 แล้วมันจะไปเปรียบเทียบกันตรงๆ ได้ไงครับ
บอกตรงๆ ว่าก่อนขับ Teana J32 ไม่ค่อยเชื่อที่ใครจะบอกว่า Teana นิ่ง และเงียบน้องๆ E Klass แต่พอได้ใช้จริงก็เจอว่าส่วนที่ต่างกันนั้นมีน้อยอย่างที่เขาว่าไว้จริงๆ ความเงียบแทบจะไม่ต่างกับ E Klass แต่ Teana โยนกว่านิดหนึ่งแค่นั้นเอง ความกว้าง ความสบายของเบาะหลัง บอกตรงๆ ว่าดีกว่า W211 ชัดเจน และผมมั่นใจว่าดีกว่า E220D ตัวใหม่สุดด้วย
ถ้าให้เลือกนั่งหลับที่เบาะหลัง ผมเลือก Teana J32
สิ่งที่ต่างกันจริงๆ และต่างกันมากคือ ความสุนทรีย์ในการขับขี่
ซึ่งบางครั้งเป็นภาพลวงตา เพราะถ้าเทียบกลับไปเป็นสมรรถนะ หรือความเกาะถนน.... ก็จะเจอว่าไม่ได้ต่างกันเท่าไร
ผมมองว่ารถยุโรปใส่ใจในรายละเอียดของการขับขี่ ถ้านุ่มก็นุ่มหนึบ และไม่โยน ถ้ากระด้างขับสนุกก็ไม่ถึงกับตึงตังจนเสียอาการ เขารู้จักแยกความรู้สึกแพง รู้สึกดี รู้สึกปลอดภัย ออกจากความรู้สึกแค่ว่ามันใช้งานได้ รถยุโรปจึงให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ดีกว่า ถามว่าเข้าโค้งได้เหมือนกันไหม จะตอบว่าเหมือน และเผลอๆ อาจจะหลุดที่ความเร็วใกล้ๆ กับรถญี่ปุ่นด้วย แต่ความรู้สึกว่าเราควบคุมรถได้นั้น ยุโรปกินขาด เราจึงรู้สึกว่าเออมันเข้าโค้งดีเนอะ ขับก็ง่าย....
นี่คือเสน่ห์ของรถยุโรป
ถ้าจะให้เปรียบให้ถูก ผมคงเปรียบเทียบการใส่สูทตัวละไม่กี่พัน กับสูทตัวละหลายๆ หมื่น ถ้าถามว่ามันให้ประโยชน์ใช้สอยต่างกันไหมผมว่าไม่ต่าง แต่สูทแพงดูแลรักษายากกว่าอีกต่างหาก แต่ความสุนทรีย์เมื่อได้ใส่นั้นต่างกัน ส่องกระจกทีไรก็เห็นว่าดีกว่า นี่ยังไม่นับมูลค่าทางสังคมนะครับ
อนึ่ง ถ้าถามว่าขับคันไหนประทับใจ และสบายใจในภาพรวมที่สุด ผมจะตอบว่า Camry Hybrid ครับ
ผมขับเร็วเป็นเป็นบางเวลา ผมจึงเลือก Camry Hybrid เพราะช่วงล่างไม่ได้น่าเกลียด ถึงจะไม่นุ่ม และไม่เงียบเท่า Teana J32 (จริงๆ แล้ว Camry เก็บเสียงจากขอบประตูได้ค่อนข้างห่วย)แต่ได้เรื่องความแรง ความประหยัด ส่วน W211 นั้นที่บ้านเตรียมค่าซ่อมปีละหลายหมื่นไว้รอทุกปี และรู้ตัวว่าไม่สมควรจะเป็นรถคันหลัก เพราะมีโอกาสได้กินข้าวลิงสูงกว่าคันอื่นๆ
สรุป
ไม่นับเรื่องหน้าตา ภาพลักษณ์
ถ้าคิดจะจ่ายเพื่อความสนุกสนาน ความสุนทรีย์ในการขับขี่ ยอมจ่ายค่าซ่อมบำรุง ยอมรับได้ว่ารถยุโรปนั้น High Performance/High gain แต่ Low Reliability ถ้ารับได้อย่างนั้นก็เชิญ เพราะรถกลุ่มนี้เขาตั้งราคาตามความสามารถในการจ่าย ไม่ใช่ตั้งราคาจากต้นทุนแต่อย่างไร อีกอย่างถ้าคิดจะซื้อรถยุโรป ก็ควรจะซ่อมให้ถึง คือ ซ่อมให้เหมือนใหม่ ได้ความสุนทรีย์เหมือนรถใหม่ๆ ไม่งั้นจะใช้รถยุโรปไปทำไม แต่ถ้าจะซ่อมให้ถึงผมเสนอว่าควรจะเผื่อค่าซ่อมซัก 1.5- 2% ของราคารถใหม่เมื่อพ้นระยะประกันคุณภาพนะครับ รถราคา 3 ล้านก็ปีละ 4-6 หมื่น นี่ยังไม่รวมค่ายางนะครับ
แต่ถ้าคิดเรื่องสมรรถนะที่แท้จริง ไม่สนใจความสุนทรีย์จริงๆ เช่น ไม่ได้สนใจคุณภาพของวัสดุที่ทำคอนโซล ไม่ได้สนใจว่าหนังที่พวงมาลัย หรือหนังที่ใช้ทำเบาะนั่งนั้นนุ่มแตกต่างกัน ไม่ได้เน้นว่าต้องรถต้องนุ่ม แน่น และพร้อมที่จะสาดโค้งแรงๆตลอดเวลา ไม่ได้สนใจว่าช่วงล่างต้องเงียบสนิท ไม่ได้สนใจว่าคุณภาพอากาศในห้องโดยสารต้องดีเลิศ ไม่ได้สนใจเสียงเครื่องยนต์หวานๆ...
และถ้าคุณปรับตัวได้กับรถหลายๆคัน หลายๆ ประเภท คือ ปรับการขับขี่ให้เข้ากันได้กับประเภทของรถที่เปลี่ยนไป ขับรถเล็กก็รู้ว่าขับรถเล็กจึงขับตามศักยภาพรถ ขับรถใหญ่ก็รู้ว่านี่คือรถใหญ่ก็ขับตามนั้น เมื่อปรับได้ขับคันไหนๆ คุณก็ได้รับความเพลิดเพลินพอๆ กัน เพราะคุณเข้าใจรถทุกคัน
ผมขับรถตู้มาทำงานบ่อยๆ ถามผมว่าขับแล้วทรมานเมื่อเทียบกับ W211 ไหม ผมจะตอบว่าไม่ เพราะผมรู้ว่ามันเป็นรถตู้ ผมก็ขับมันเหมือนรถตู้ คือ ขับช้าลง เมื่อเจอเนิน เจอหลุมก็ชะลอให้มากขึ้น... ก็แค่นั้นเอง
ถ้าคุณเป็นแบบผม ผมก็แนะนำให้ซื้อรถญี่ปุ่นครับ เพราะเขาทำมาเพื่อประโยชน์มหาชนครับ
คำว่า Luxury Car นั้นเหมาะกับรถยุโรปแล้วครับ เพราะคุณจ่ายเพื่อความหรูหราล้วนๆ
เอ่อ ยกเว้นว่าถ้าคุณพอจะรู้ช่องทางในการซ่อม และรับการใช้รถมือสองได้ การซื้อรถยุโรปมือสองสภาพดีๆ ก็จะให้ ความสุนทรีย์ในราคาพอๆ (ทั้งราคาค่าตัว รวมถึงราคาค่าบำรุงรักษา) เมื่อเทียบกับการซื้อรถญี่ปุ่นมือหนึ่ง ถ้าอย่างทำได้อย่างนี้ก็จะได้ทั้งความสุนทรีย์ และประหยัดเงินไปในตัว
แสดงความคิดเห็น
เบนซ์ ราคา 2-3ล้าน กับ accord camry เทียบกัน ไม่สนยี่ห้อภาพลักษณ์ จริงๆแล้ว ใครเหนือกว่าครับ
และจริงๆแล้ว รถญี่ปุ่น ในระดับใกล้เคียงกัน ความปลอดภัย ไม่ได้ด้อยกว่ารถเบนซ์ บีเอ็ม แล้วหรือป่าว?