เล่าประสบการณ์พ่อแม่บริหารจัดการเรื่องเงินแบบ หมุนเงินไปมา สุดท้ายกลายเป็นเราที่ต้องตามจัดการทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อส่วนบุคคล กู้บ้าน กู้รถ หนี้นอกระบบ หมดไปหลายแสน
ปี 2551 ; เราสอบติดมหาลัยดัง 1ใน 3K ตอนนั้นเด็กมากแล้วก็ดีใจมากที่ทำได้ แต่พ่อแม่จัดการให้เรากู้ กรอ. (คล้ายๆ กยศ. แต่ไม่ได้ได้เงินช่วยเหลือทุกเดือน) ตอนนั้นในใจคิดแต่ว่าไม่อยากเป็นหนี้ เลยบอกไปว่ายอมเรียนรามก็ได้นะ แต่พ่อไม่ยอม แล้วก็พอเข้าใจว่าพวกเขาต้องค้าขาย ต้องหมุนเงิน เลยยอมเป็นหนี้การศึกษาก้อนแรกในชีวิต
สถานะ : ปิดบัญชีไปเมื่อ พ.ค. 2560 ใช้เวลา 5-6 ปี โดยการจ่ายเดือนละ 2-3000 ทุกเดือน จนสุดท้ายก็โป๊ะก้อนสุดท้ายประมาณ 7หมื่นกว่า แล้วก็จบไป
ปี 2554 ; เรียนจบ พ่อจะให้รางวัลโดยการซื้อรถให้ โดยโครงการรถคันแรก เด็กน้อยมากดีใจมาก พ่อจับให้เซ็นอะไรก็เซ็น ถามพ่อว่าผ่อนกี่ปี พ่อบอก5ปี (มารู้ทีหลังว่า 7ปี) พ่อบอกพ่อดาวน์ให้ ผ่อนให้ระยะแรกๆ แล้วต่อไปต้องผ่อนเองนะ โดยโอนมาที่พ่อเดี๋ยวพ่อไปจ่ายให้ โอเค ดีล ไม่ติดใจอะไร
สถานะ : พลาดมาก เวลามีน้องที่รุ้จักเพิ่งจบจะบอกเลยว่าอย่าเด็ดขาด!! อย่าเพิ่งซื้อรถ รถ=ลด พ่อผ่อนให้เราแค่แรกจริงๆ หลังจากนั้นเราผ่อนเอง โดยโอนไปให้พ่อ แล้วให้พ่อไปจ่าย
พ่อเอาก้อนนี้ไปหมุนบ้าง ไปจ่ายบ้าง จ่ายล่าช้าตลอดตั้งแต่ปี 2555 จนมีล่าสุดเรามารู้ความจริงปี 2560 จนท. โทรมาว่ามีค้างชำระ และมีค่าทวงถามโผล่มาจากไหนไม่รุ้อีก 6000+ ว่าบาท คือความจริงแล้วต้องจ่ายไม่เกินวันที่9 แต่พ่อเราไปจ่ายวันสิ้นเดือนถัดไป ยันปัจจุบัน อะคิดดู แล้วพ่อก็มาโกรธจนท. ว่าเขาโทรมาบอกเราทำไม พ่อก็โทรเข้า call center ธนาคารไปด่า สงสารจนท.มาก เขาแค่ทำตามหน้าที่ พอรู้ความจริง เลยตัดสินใจเอาเงินเก็บที่มีไปจ่าย
ให้หมดเลย (ได้ลดดอกเบี้ย50%)
ปี 2555 ; ทำงานปีแรก พอผ่านโปร6เดือนแรก พ่อมาบอกว่า แม่มีหนี้นอกระบบเยอะ เกิดจากการหมุนเงินไปค้าขาย แล้วหนี้นอกระบบมีดอกเบี้ยแพงมาก พ่อเลยอยากให้ทำบัตรเครดิตให้ แล้วจะได้เอาเงินจากบัตรเครดิตไปจ่ายนอกระบบแทน พ่อพาไปทำมา ทั้งหมด 4ใบ แม่เอาไปใช้3ใบ พ่อเอาไป1ใบ ตอนนั้นยอมรับว่าเด็กมาก เพิ่งเรียนจบ ไม่มีความรู้อะไรเรื่องการเงินเลย รู้แต่ว่าอยากช่วยพ่อแม่ แล้วคิดว่าพ่อแม่จะจัดการได้ ไว้ใจ ไม่น่ามีปัญหา
จะเรียกว่าโง่ก็ได้ มันคือจุดเริ่มต้นของความหายนะของชีวิตเรา
สถานะ : มีหนี้สินเชื่อเงินสด 4 บัตร ยอดทั้งหมดประมาณ2แสนกว่า สมมติ
บัตร A = 50000 // บัตร B = 30000 // บัตร C = 20000 >>> อันนี้แม่ใช้ล้วนๆ รวมแล้วประมาณ1แสน
บัตร D = 100000 กว่า (มี2ยอด ทั้งยอดจากสินเชื่อเงินสด+รูดปื๊ดๆ) >>> อันนี้พ่อใช้ แล้วตอนเปิดใจคุยนางไม่ยอมรับว่าใช้ด้วยนะ
**พ่อแม่เราใช้วิธีจ่ายแบบ จ่ายขั้นต่ำด้วยนะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น พ่อแม่ทำแบบนี้โดยเก็บจดหมายทั้งหมด และไม่ยอมบอกเราเลย จนเริ่มมี จนท. โทรมาเพราะ
เริ่มมีบางบัตรค้างชำระ เราเลยตัดสินใจไปถามพ่อแม่ ซึ่งก็ยังไม่ยอมบอกยอดทั้งหมดอีก เราต้องเช็คกับ จนท. เอง พอรู้ตัวเลข นี่คือช็อคมาก ยอมรับว่าโกรธมาก ไปคุยกับพ่อแม่ แม่อะยอมรับผิด ขอโทษ แต่พ่อไม่ยอมรับเลย แล้วก็ด่าใส่เรา ว่า
"กรู เป็น พ่อ เมิง!! เมิงไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนกรู" ตอนนั้นเสียใจมาก พ่อแม่ก็ได้แต่บอกว่าที่เป็นหนี้ก็เพราะเอามาใช้จ่ายให้เมิงนี่แหละ ใช้จ่ายในครอบครัวนี่แหละ ก็โอเค สรุปเราผิดเอง บอกพ่อแม่ไปว่าจะจัดการเอง พ่อไม่ยอม บอกว่าถ้าอยากช่วยก็โอนมาเป็นก้อน แล้วเดี๋ยวไปจัดการจ่ายทีละบัตรๆเอง เราก็เชื่อๆ ยอมๆ
ปี 2556-2557 ; เงินเดือนขยับมาที่ 18000 รู้สึกติดขัดมาก รู้สึกมันไม่พอใช้จ่าย ทั้งค่ารถ ค่าบัตรเครดิตทั้งหลายแหล่ที่พ่อแม่ใช้ เลยต้องเปลี่ยนงานใหม่ เงินเดือนขยับมาที่ 22000 ก็ยังพอประทังชีพไปได้ ใช้วันละ 100 อะช่วงนั้น แล้วก็กินมาม่าบ่อยมาก รู้สึกชีวิตไม่มีความสุขเลย พยายามหางานเสริมจากเพื่อน หารายได้เสริม พี่หัวหน้าก็สงสารช่วยคิดหาทางออกเต็มที่ พี่หัวหน้าอีกฝ่ายก็ชวนไปเป็นผู้ช่วยวิทยากร ขอบพระคุณมากจริงๆ ทุกวันนี้ก็ยังซึ้งใจในบุญคุณของพี่ๆหัวหน้าอยู่ที่พี่เค้าเข้าใจ ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เริ่มยิ้มออก เหมือนจะดีขึ้น... แต่!!
เริ่มรู้ความจริงอีกว่า
พ่อและแม่ยังมีกู้นอกระบบที่ยังไม่จบอีกด้วย ไม่ยอมบอกจำนวน ไม่ยอมบอกว่าไปกู้ใครมา รู้แต่ว่าพ่อแม่ค้าขายไม่ค่อยดี จ่ายเริ่มไม่ไหวแล้ว จนบางเดือนเราเห็นพ่อแม่เราไม่ออกไปขายเลยก็มี อยู่บ้านตลอด ภาระทั้งหมดตกที่เราหมด ตอนน้ันต้องจ่าย ค่ารถ 10000 บาท + ค่าบัตร (จ่ายขั้นต่ำ) 4ใบ 10000 = 20000 คือมันเกินกำลังที่มีอยู่แล้วอะ เหลือ2000 มันไม่พอใช้จริงๆ รายได้เสริมที่ช่วยได้ตอนนั้นคือเพื่อนให้ช่วยงาน ส่วนงานที่ไปช่วยพี่หัวหน้าคือมันไม่ได้มีทุกเดือน รู้สึกทำงานตัวเป็นเกลียวมาก เริ่มงานประจำ 9โมง-6โมงเย็น กลับถึงบ้าน2ทุ่ม ต้องทำงานเสริมต่อยันตี1ตี2 ร่างกายล้ามาก ป่วยบ่อยมาก
ปี 2558 ; เพื่อนออกปากชวนไปทำงานด้วยกัน ถึงได้ลืมตาอ้าปากได้ ทำงานได้สักพัก เริ่มมีเงินเก็บ เอาไปปิด บัตรA-C หมด เหลือบัตร D เพราะมันเยอะสุด กลับมาเก็บเงินต่อ
บัตร D กับค่ารถเนี่ยมีปัญหาเพราะพ่อเราเค้าไม่ยอมให้เราไปจ่ายเอง เขาจะไม่ยอมเลย เขาจะต้องเป็นคนไปจ่ายเอง (เราเดาว่าเขาเอาไปหมุนนะ) ทำให้บัตร D มี จนท. โทรมาว่าค้าง3เดือนแล้ว ต้องจ่ายนะ ไม่งั้นจะมีหมายศาลมา เราก็ต่อรองว่ามีส่วนลดไหม ถ้าจะปิดหมดเลย คุยไปคุยมา โอเคเขาลดดอกเบี้ยให้ เลยเอาเงินเก็บที่เหลือไปจ่าย (หมดเกลี้ยงเลยเงินเก็บตอนนั้น)
สถานะ : บัตร A-D ปิดหมดแล้ว แทบกระอักเลือดตาย
ปี 2559 ; เหมือนชีวิตจะดีขึ้น ทำงานกับเพื่อนได้ประสบการณ์ที่เปิดกว้างมาก ได้รู้จักอะไรหลายๆอย่างที่มันสร้างรายได้ๆมากมาย แต่... บ้านกำลังจะโดนยึด พ่อเรา (อีกแล้ว) ในอดึตนางเอาบ้านไปรีไฟแนนซ์หลายรอบ แล้วพอได้เงินส่วนต่างก็เอาไปทำอะไรก็ไม่รู้ แล้วมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ก่อนหน้านี้พ่อเคยให้น้าเราทำเรื่องซื้อบ้านนี้ไปทีนึง แล้วพ่อก็เอาส่วนต่างเนี่ยไปทำทุนค้าขาย พอปัจจุบันที่โดนยึดเพราะก่อนหน้านี้ได้ดอกเบี้ยช่วยเเหลือคนที่ประสบภัยน้ำท่วม ทำให้จ่ายต่อเดือนพอไหว แต่พอถึงตอนนี้ดอกเบี้ยเดิมกลับมา แล้วพ่อแม่เราก็ไม่ยอมทำงานแล้ว เขาก็ไม่จ่ายไม่ทำอะไรแล้ว เลยออกไอเดียให้เรากับน้องชายกู้ซื้อบ้านตัวเอง เราไม่อยากทำเลย พูดจากใจ เพราะตอนนั้นเรามีแพลนจะซื้อบ้านกับแฟน (พูดง่ายๆคือเราไม่ไหวแล้วกับคนบ้านนี้) เราต้องไปทำเรื่องกู้ซื้อบ้านตัวเองตามคำสั่งพ่อ สุดท้ายไม่ผ่าน (ธนาคารน่าจะเห็นเครดิตบูโรเราว่าประวัติดีมากกก...ประชด) พอไม่ผ่านทำไง เราก็ต้องจ่ายค่าบ้านแทนไง อีก 15000 ต่อเดือน ถามว่าน้องชายไม่ช่วยหรอ ตอนนั้นน้องเพิ่งเรียนจบ นางยังไม่มีความสามารถจะทำอะไรได้มาก
เราพยายามปรับทัศนคติกับพ่อ เรื่องการบริหารจัดการเงิน แต่พ่อไม่เคยฟัง เวลาเราแก้ปัญหาทั้งหลายทั้งปวง เรากลับบ้านไปร้องไห้ บอกว่าตังหมดแล้ว แต่ไม่มีใครเข้าใจเรา ไม่มีใครปลอบเรา ไม่มีแม้แต่คำขอโทษ ปล่อยเรานั่งร้องไห้คนเดียวอยู่แบบนั้น ก่อนหน้านี้เราเคยร้องไห้เพราะอยากเรียนโท จะส่งตัวเองเรียนเอง พ่อแม่ก็หาว่าเราเห็นแก่ตัว เราไม่ไหวกับความคิดของคนในบ้านนี้ จนตัดสินใจออกมาอยู่บ้านใหม่ (แฟนกู้คนเดียว) พ่อขู่จะฆ่าแฟนเรา เพราะคิดเองเออเองว่าแฟนเราทำให้เราเปลี่ยนไป แต่ถึงออกมาเราก็ยังส่งเงินเดือนให้พ่อแม่ปกติในทุกๆเดือน พ่อแม่เราก็ไม่ได้ทำงานแล้ว
ปี 2560 ; ชีวิตการเงินเราดีขึ้น แต่เราเป็นโรคซึมเศร้า เราไม่มีความสุข เราร้องไห้บ่อยเพราะรู้สึกไร้ค่า เราแก้ปัญหาทุกอย่างในเรื่องเงินแทนพ่อแม่ทุกเรื่อง ให้เงินเดือนทุกเดือน แต่เขาไม่เคยเห็นค่า มีแต่ด่าเรากลับมา ไม่มีขอบคุณ ไม่มีขอโทษ ไม่มีคำพูดใดๆปลอบใจที่เราหมดตังไปหลายแสนกับ 6-7ปีที่ผ่านมา แต่คนในครอบครัวไม่มีใครเห็นคุณค่าในตัวเราเลย เคยคิดฆ่าตัวตาย แฟนเลยพาไปหาหมอ+กินยา อาการก็ดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังเสียใจอยู่
ที่มาเขียนกระทู้ ไม่ได้ต้องการอะไรหรอกค่ะ แค่อยากมาเล่าประสบการณ์เรื่องการเงิน เงินเราๆต้องดูแลเองนะคะ อย่าเชื่อใคร อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบเรา ช่วยเท่าที่ช่วยได้ แล้วเอาความผิดพลาดของเขามาเป็นแรงผลักดัน ว่าอย่าเป็นแบบนั้น อย่าทำแบบนั้น 6-7 ปีที่ผ่านมา เราจมอยู่กับเรื่องหนี้ของครอบครัว
โดยไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเองเลย จากนี้เราดีใจที่ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไม่ติดลบสักที ขอบคุณค่ะ ;))
.
.
.
.
.
.
.
.
.
โอ้ววว ขอบคุณมากๆค่ะ ขอบคุณจริงๆ สำหรับกำลังใจที่ให้มาอย่างล้นหลามทั้งในกระทู้นี้ และหลังไมค์
ชีวิตตอนนี้เราดีขึ้นแล้วค่ะ พบคุณหมอทุกๆ2เดือน ทานยาต่อเนื่อง วางแผนการเงิน วางแผนเกษียร ใช้ชีวิตแบบปกติอะค่ะ แต่ก็มีบ้างที่ยังมีอาการเศร้าอยู่ ซึ่งก็พยายามหาอย่างอื่นทำ เช่น อ่านหนังสือ Money Coach (ชื่นชอบมากๆค่ะ) ดูซีรีส์ Game of Thrones บลาๆ.... ไปรับคุณแม่และน้องหมามาบ้านเราทุกๆวันศุกร์ เพื่อใช้เวลาอยู่ด้วยกันช่วงวันหยุด ส่วนพ่อมันเหมือนมีกำแพงบางอย่างที่เรารู้สึกว่า เราทำหน้าที่ของเราละกัน เราให้เงินต่อเดือนไปแล้ว พ่อกับแม่จะไปใช้ทำอะไรก็สุดแล้วแต่ท่าน...
หลังจากเราออกมาแล้ว อัพเดตสถานการณ์ทางบ้านตอนนี้ก็ เนื่องจากบ้านเดิมเนี่ยมีถนนเส้นใหม่ตัดผ่านหน้าบ้านเลย ทำให้บ้านมีราคาสูงขึ้น พ่อเลยตัดสินใจขายบ้าน แล้วให้น้องชาย+แฟน กู้ซื้อบ้านใหม่ แน่นอนว่าภาระบ้านใหม่ตกไปอยู่กับ2คนนี้ บ้านที่ขายได้ หลังจากไปหักยอดหนี้ก็ยังมีกำไรราวๆ1ล้านกว่าๆ เห็นว่าพ่อซื้อทองไปแล้ว และกำลังจะซื้อรถใหม่ ให้ญาติยืม บลาๆ... รายละเอียดย่อยๆเราไม่ทราบค่ะ ทราบเท่านี้ ได้แต่ฝากคุณอาไปบอกว่าให้เก็บๆไว้บ้าง ถ้าเราไปพูดพ่อไม่มีทางฟัง เลยฝากคุณอาละกัน
ขอบคุณทุกๆท่านอีกครั้ง และขอให้กำลังใจอีกหลายๆคนที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกับเรา ท่องไว้นะคะ... สู้ค่ะ ทำไปเรื่อยๆอย่างมีการวางแผน สักวันมันจะหมด มันจะมีวันที่เราหลุดออกมาจากวังวนนั้นได้นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^
ปล. เจตนาของกระทู้นี้แค่แชร์เรื่องราวของการเป็นหนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะประจาน เรารักพ่อแม่ทั้งสองนะคะ ยังไงก็พ่อกับแม่ ก็ต้องช่วยเหลือและดูแลกันต่อไป ซึ่งเราก็ทำมาโดยตลอดจนปัจจุบัน
เพิ่มเติมนะคะ จะได้ไม่เข้าใจผิด พ่อเราไม่ได้มีเรื่องการพนันเข้ามาเกี่ยวข้องค่ะ เป็นเรื่องของการหมุนเงิน กู้หนี้ยืมสินนอกระบบล้วนๆ
เคยถูกพ่อแม่หักหลังเรื่องเงิน ครั้งแล้วครั้งเล่าไหม?
ปี 2551 ; เราสอบติดมหาลัยดัง 1ใน 3K ตอนนั้นเด็กมากแล้วก็ดีใจมากที่ทำได้ แต่พ่อแม่จัดการให้เรากู้ กรอ. (คล้ายๆ กยศ. แต่ไม่ได้ได้เงินช่วยเหลือทุกเดือน) ตอนนั้นในใจคิดแต่ว่าไม่อยากเป็นหนี้ เลยบอกไปว่ายอมเรียนรามก็ได้นะ แต่พ่อไม่ยอม แล้วก็พอเข้าใจว่าพวกเขาต้องค้าขาย ต้องหมุนเงิน เลยยอมเป็นหนี้การศึกษาก้อนแรกในชีวิต
สถานะ : ปิดบัญชีไปเมื่อ พ.ค. 2560 ใช้เวลา 5-6 ปี โดยการจ่ายเดือนละ 2-3000 ทุกเดือน จนสุดท้ายก็โป๊ะก้อนสุดท้ายประมาณ 7หมื่นกว่า แล้วก็จบไป
ปี 2554 ; เรียนจบ พ่อจะให้รางวัลโดยการซื้อรถให้ โดยโครงการรถคันแรก เด็กน้อยมากดีใจมาก พ่อจับให้เซ็นอะไรก็เซ็น ถามพ่อว่าผ่อนกี่ปี พ่อบอก5ปี (มารู้ทีหลังว่า 7ปี) พ่อบอกพ่อดาวน์ให้ ผ่อนให้ระยะแรกๆ แล้วต่อไปต้องผ่อนเองนะ โดยโอนมาที่พ่อเดี๋ยวพ่อไปจ่ายให้ โอเค ดีล ไม่ติดใจอะไร
สถานะ : พลาดมาก เวลามีน้องที่รุ้จักเพิ่งจบจะบอกเลยว่าอย่าเด็ดขาด!! อย่าเพิ่งซื้อรถ รถ=ลด พ่อผ่อนให้เราแค่แรกจริงๆ หลังจากนั้นเราผ่อนเอง โดยโอนไปให้พ่อ แล้วให้พ่อไปจ่าย พ่อเอาก้อนนี้ไปหมุนบ้าง ไปจ่ายบ้าง จ่ายล่าช้าตลอดตั้งแต่ปี 2555 จนมีล่าสุดเรามารู้ความจริงปี 2560 จนท. โทรมาว่ามีค้างชำระ และมีค่าทวงถามโผล่มาจากไหนไม่รุ้อีก 6000+ ว่าบาท คือความจริงแล้วต้องจ่ายไม่เกินวันที่9 แต่พ่อเราไปจ่ายวันสิ้นเดือนถัดไป ยันปัจจุบัน อะคิดดู แล้วพ่อก็มาโกรธจนท. ว่าเขาโทรมาบอกเราทำไม พ่อก็โทรเข้า call center ธนาคารไปด่า สงสารจนท.มาก เขาแค่ทำตามหน้าที่ พอรู้ความจริง เลยตัดสินใจเอาเงินเก็บที่มีไปจ่ายให้หมดเลย (ได้ลดดอกเบี้ย50%)
ปี 2555 ; ทำงานปีแรก พอผ่านโปร6เดือนแรก พ่อมาบอกว่า แม่มีหนี้นอกระบบเยอะ เกิดจากการหมุนเงินไปค้าขาย แล้วหนี้นอกระบบมีดอกเบี้ยแพงมาก พ่อเลยอยากให้ทำบัตรเครดิตให้ แล้วจะได้เอาเงินจากบัตรเครดิตไปจ่ายนอกระบบแทน พ่อพาไปทำมา ทั้งหมด 4ใบ แม่เอาไปใช้3ใบ พ่อเอาไป1ใบ ตอนนั้นยอมรับว่าเด็กมาก เพิ่งเรียนจบ ไม่มีความรู้อะไรเรื่องการเงินเลย รู้แต่ว่าอยากช่วยพ่อแม่ แล้วคิดว่าพ่อแม่จะจัดการได้ ไว้ใจ ไม่น่ามีปัญหา
จะเรียกว่าโง่ก็ได้ มันคือจุดเริ่มต้นของความหายนะของชีวิตเรา
สถานะ : มีหนี้สินเชื่อเงินสด 4 บัตร ยอดทั้งหมดประมาณ2แสนกว่า สมมติ
บัตร A = 50000 // บัตร B = 30000 // บัตร C = 20000 >>> อันนี้แม่ใช้ล้วนๆ รวมแล้วประมาณ1แสน
บัตร D = 100000 กว่า (มี2ยอด ทั้งยอดจากสินเชื่อเงินสด+รูดปื๊ดๆ) >>> อันนี้พ่อใช้ แล้วตอนเปิดใจคุยนางไม่ยอมรับว่าใช้ด้วยนะ
**พ่อแม่เราใช้วิธีจ่ายแบบ จ่ายขั้นต่ำด้วยนะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น พ่อแม่ทำแบบนี้โดยเก็บจดหมายทั้งหมด และไม่ยอมบอกเราเลย จนเริ่มมี จนท. โทรมาเพราะเริ่มมีบางบัตรค้างชำระ เราเลยตัดสินใจไปถามพ่อแม่ ซึ่งก็ยังไม่ยอมบอกยอดทั้งหมดอีก เราต้องเช็คกับ จนท. เอง พอรู้ตัวเลข นี่คือช็อคมาก ยอมรับว่าโกรธมาก ไปคุยกับพ่อแม่ แม่อะยอมรับผิด ขอโทษ แต่พ่อไม่ยอมรับเลย แล้วก็ด่าใส่เรา ว่า "กรู เป็น พ่อ เมิง!! เมิงไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนกรู" ตอนนั้นเสียใจมาก พ่อแม่ก็ได้แต่บอกว่าที่เป็นหนี้ก็เพราะเอามาใช้จ่ายให้เมิงนี่แหละ ใช้จ่ายในครอบครัวนี่แหละ ก็โอเค สรุปเราผิดเอง บอกพ่อแม่ไปว่าจะจัดการเอง พ่อไม่ยอม บอกว่าถ้าอยากช่วยก็โอนมาเป็นก้อน แล้วเดี๋ยวไปจัดการจ่ายทีละบัตรๆเอง เราก็เชื่อๆ ยอมๆ
ปี 2556-2557 ; เงินเดือนขยับมาที่ 18000 รู้สึกติดขัดมาก รู้สึกมันไม่พอใช้จ่าย ทั้งค่ารถ ค่าบัตรเครดิตทั้งหลายแหล่ที่พ่อแม่ใช้ เลยต้องเปลี่ยนงานใหม่ เงินเดือนขยับมาที่ 22000 ก็ยังพอประทังชีพไปได้ ใช้วันละ 100 อะช่วงนั้น แล้วก็กินมาม่าบ่อยมาก รู้สึกชีวิตไม่มีความสุขเลย พยายามหางานเสริมจากเพื่อน หารายได้เสริม พี่หัวหน้าก็สงสารช่วยคิดหาทางออกเต็มที่ พี่หัวหน้าอีกฝ่ายก็ชวนไปเป็นผู้ช่วยวิทยากร ขอบพระคุณมากจริงๆ ทุกวันนี้ก็ยังซึ้งใจในบุญคุณของพี่ๆหัวหน้าอยู่ที่พี่เค้าเข้าใจ ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เริ่มยิ้มออก เหมือนจะดีขึ้น... แต่!!
เริ่มรู้ความจริงอีกว่า พ่อและแม่ยังมีกู้นอกระบบที่ยังไม่จบอีกด้วย ไม่ยอมบอกจำนวน ไม่ยอมบอกว่าไปกู้ใครมา รู้แต่ว่าพ่อแม่ค้าขายไม่ค่อยดี จ่ายเริ่มไม่ไหวแล้ว จนบางเดือนเราเห็นพ่อแม่เราไม่ออกไปขายเลยก็มี อยู่บ้านตลอด ภาระทั้งหมดตกที่เราหมด ตอนน้ันต้องจ่าย ค่ารถ 10000 บาท + ค่าบัตร (จ่ายขั้นต่ำ) 4ใบ 10000 = 20000 คือมันเกินกำลังที่มีอยู่แล้วอะ เหลือ2000 มันไม่พอใช้จริงๆ รายได้เสริมที่ช่วยได้ตอนนั้นคือเพื่อนให้ช่วยงาน ส่วนงานที่ไปช่วยพี่หัวหน้าคือมันไม่ได้มีทุกเดือน รู้สึกทำงานตัวเป็นเกลียวมาก เริ่มงานประจำ 9โมง-6โมงเย็น กลับถึงบ้าน2ทุ่ม ต้องทำงานเสริมต่อยันตี1ตี2 ร่างกายล้ามาก ป่วยบ่อยมาก
ปี 2558 ; เพื่อนออกปากชวนไปทำงานด้วยกัน ถึงได้ลืมตาอ้าปากได้ ทำงานได้สักพัก เริ่มมีเงินเก็บ เอาไปปิด บัตรA-C หมด เหลือบัตร D เพราะมันเยอะสุด กลับมาเก็บเงินต่อ บัตร D กับค่ารถเนี่ยมีปัญหาเพราะพ่อเราเค้าไม่ยอมให้เราไปจ่ายเอง เขาจะไม่ยอมเลย เขาจะต้องเป็นคนไปจ่ายเอง (เราเดาว่าเขาเอาไปหมุนนะ) ทำให้บัตร D มี จนท. โทรมาว่าค้าง3เดือนแล้ว ต้องจ่ายนะ ไม่งั้นจะมีหมายศาลมา เราก็ต่อรองว่ามีส่วนลดไหม ถ้าจะปิดหมดเลย คุยไปคุยมา โอเคเขาลดดอกเบี้ยให้ เลยเอาเงินเก็บที่เหลือไปจ่าย (หมดเกลี้ยงเลยเงินเก็บตอนนั้น)
สถานะ : บัตร A-D ปิดหมดแล้ว แทบกระอักเลือดตาย
ปี 2559 ; เหมือนชีวิตจะดีขึ้น ทำงานกับเพื่อนได้ประสบการณ์ที่เปิดกว้างมาก ได้รู้จักอะไรหลายๆอย่างที่มันสร้างรายได้ๆมากมาย แต่... บ้านกำลังจะโดนยึด พ่อเรา (อีกแล้ว) ในอดึตนางเอาบ้านไปรีไฟแนนซ์หลายรอบ แล้วพอได้เงินส่วนต่างก็เอาไปทำอะไรก็ไม่รู้ แล้วมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ก่อนหน้านี้พ่อเคยให้น้าเราทำเรื่องซื้อบ้านนี้ไปทีนึง แล้วพ่อก็เอาส่วนต่างเนี่ยไปทำทุนค้าขาย พอปัจจุบันที่โดนยึดเพราะก่อนหน้านี้ได้ดอกเบี้ยช่วยเเหลือคนที่ประสบภัยน้ำท่วม ทำให้จ่ายต่อเดือนพอไหว แต่พอถึงตอนนี้ดอกเบี้ยเดิมกลับมา แล้วพ่อแม่เราก็ไม่ยอมทำงานแล้ว เขาก็ไม่จ่ายไม่ทำอะไรแล้ว เลยออกไอเดียให้เรากับน้องชายกู้ซื้อบ้านตัวเอง เราไม่อยากทำเลย พูดจากใจ เพราะตอนนั้นเรามีแพลนจะซื้อบ้านกับแฟน (พูดง่ายๆคือเราไม่ไหวแล้วกับคนบ้านนี้) เราต้องไปทำเรื่องกู้ซื้อบ้านตัวเองตามคำสั่งพ่อ สุดท้ายไม่ผ่าน (ธนาคารน่าจะเห็นเครดิตบูโรเราว่าประวัติดีมากกก...ประชด) พอไม่ผ่านทำไง เราก็ต้องจ่ายค่าบ้านแทนไง อีก 15000 ต่อเดือน ถามว่าน้องชายไม่ช่วยหรอ ตอนนั้นน้องเพิ่งเรียนจบ นางยังไม่มีความสามารถจะทำอะไรได้มาก
เราพยายามปรับทัศนคติกับพ่อ เรื่องการบริหารจัดการเงิน แต่พ่อไม่เคยฟัง เวลาเราแก้ปัญหาทั้งหลายทั้งปวง เรากลับบ้านไปร้องไห้ บอกว่าตังหมดแล้ว แต่ไม่มีใครเข้าใจเรา ไม่มีใครปลอบเรา ไม่มีแม้แต่คำขอโทษ ปล่อยเรานั่งร้องไห้คนเดียวอยู่แบบนั้น ก่อนหน้านี้เราเคยร้องไห้เพราะอยากเรียนโท จะส่งตัวเองเรียนเอง พ่อแม่ก็หาว่าเราเห็นแก่ตัว เราไม่ไหวกับความคิดของคนในบ้านนี้ จนตัดสินใจออกมาอยู่บ้านใหม่ (แฟนกู้คนเดียว) พ่อขู่จะฆ่าแฟนเรา เพราะคิดเองเออเองว่าแฟนเราทำให้เราเปลี่ยนไป แต่ถึงออกมาเราก็ยังส่งเงินเดือนให้พ่อแม่ปกติในทุกๆเดือน พ่อแม่เราก็ไม่ได้ทำงานแล้ว
ปี 2560 ; ชีวิตการเงินเราดีขึ้น แต่เราเป็นโรคซึมเศร้า เราไม่มีความสุข เราร้องไห้บ่อยเพราะรู้สึกไร้ค่า เราแก้ปัญหาทุกอย่างในเรื่องเงินแทนพ่อแม่ทุกเรื่อง ให้เงินเดือนทุกเดือน แต่เขาไม่เคยเห็นค่า มีแต่ด่าเรากลับมา ไม่มีขอบคุณ ไม่มีขอโทษ ไม่มีคำพูดใดๆปลอบใจที่เราหมดตังไปหลายแสนกับ 6-7ปีที่ผ่านมา แต่คนในครอบครัวไม่มีใครเห็นคุณค่าในตัวเราเลย เคยคิดฆ่าตัวตาย แฟนเลยพาไปหาหมอ+กินยา อาการก็ดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังเสียใจอยู่
ที่มาเขียนกระทู้ ไม่ได้ต้องการอะไรหรอกค่ะ แค่อยากมาเล่าประสบการณ์เรื่องการเงิน เงินเราๆต้องดูแลเองนะคะ อย่าเชื่อใคร อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบเรา ช่วยเท่าที่ช่วยได้ แล้วเอาความผิดพลาดของเขามาเป็นแรงผลักดัน ว่าอย่าเป็นแบบนั้น อย่าทำแบบนั้น 6-7 ปีที่ผ่านมา เราจมอยู่กับเรื่องหนี้ของครอบครัว
โดยไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเองเลย จากนี้เราดีใจที่ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไม่ติดลบสักที ขอบคุณค่ะ ;))
.
.
.
.
.
.
.
.
.
โอ้ววว ขอบคุณมากๆค่ะ ขอบคุณจริงๆ สำหรับกำลังใจที่ให้มาอย่างล้นหลามทั้งในกระทู้นี้ และหลังไมค์
ชีวิตตอนนี้เราดีขึ้นแล้วค่ะ พบคุณหมอทุกๆ2เดือน ทานยาต่อเนื่อง วางแผนการเงิน วางแผนเกษียร ใช้ชีวิตแบบปกติอะค่ะ แต่ก็มีบ้างที่ยังมีอาการเศร้าอยู่ ซึ่งก็พยายามหาอย่างอื่นทำ เช่น อ่านหนังสือ Money Coach (ชื่นชอบมากๆค่ะ) ดูซีรีส์ Game of Thrones บลาๆ.... ไปรับคุณแม่และน้องหมามาบ้านเราทุกๆวันศุกร์ เพื่อใช้เวลาอยู่ด้วยกันช่วงวันหยุด ส่วนพ่อมันเหมือนมีกำแพงบางอย่างที่เรารู้สึกว่า เราทำหน้าที่ของเราละกัน เราให้เงินต่อเดือนไปแล้ว พ่อกับแม่จะไปใช้ทำอะไรก็สุดแล้วแต่ท่าน...
หลังจากเราออกมาแล้ว อัพเดตสถานการณ์ทางบ้านตอนนี้ก็ เนื่องจากบ้านเดิมเนี่ยมีถนนเส้นใหม่ตัดผ่านหน้าบ้านเลย ทำให้บ้านมีราคาสูงขึ้น พ่อเลยตัดสินใจขายบ้าน แล้วให้น้องชาย+แฟน กู้ซื้อบ้านใหม่ แน่นอนว่าภาระบ้านใหม่ตกไปอยู่กับ2คนนี้ บ้านที่ขายได้ หลังจากไปหักยอดหนี้ก็ยังมีกำไรราวๆ1ล้านกว่าๆ เห็นว่าพ่อซื้อทองไปแล้ว และกำลังจะซื้อรถใหม่ ให้ญาติยืม บลาๆ... รายละเอียดย่อยๆเราไม่ทราบค่ะ ทราบเท่านี้ ได้แต่ฝากคุณอาไปบอกว่าให้เก็บๆไว้บ้าง ถ้าเราไปพูดพ่อไม่มีทางฟัง เลยฝากคุณอาละกัน
ขอบคุณทุกๆท่านอีกครั้ง และขอให้กำลังใจอีกหลายๆคนที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกับเรา ท่องไว้นะคะ... สู้ค่ะ ทำไปเรื่อยๆอย่างมีการวางแผน สักวันมันจะหมด มันจะมีวันที่เราหลุดออกมาจากวังวนนั้นได้นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^
ปล. เจตนาของกระทู้นี้แค่แชร์เรื่องราวของการเป็นหนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะประจาน เรารักพ่อแม่ทั้งสองนะคะ ยังไงก็พ่อกับแม่ ก็ต้องช่วยเหลือและดูแลกันต่อไป ซึ่งเราก็ทำมาโดยตลอดจนปัจจุบัน
เพิ่มเติมนะคะ จะได้ไม่เข้าใจผิด พ่อเราไม่ได้มีเรื่องการพนันเข้ามาเกี่ยวข้องค่ะ เป็นเรื่องของการหมุนเงิน กู้หนี้ยืมสินนอกระบบล้วนๆ