สืบเนื่องมาจากช่วงหลังๆ ผมเห็นกระทู้แนะนำหลายๆกระทู้ จะมาในแนว คุณพ่อบ้าน ตัดพ้อ น้อยใจภรรยา
เช่น ภรรยาให้เงินวันละ...บาท ทำไงถึงจะขอเพิ่มได้, ได้เงินจากภรรยาวันละ...บาท แต่ภรรยาซื้อของเล่นให้ลูก....บาท, ฯลฯ
กระทู้นี้ ผมเลยอยากจะขอเล่าในมุมมองจากประสบการณ์ส่วนตัว และ จากที่ได้เคยเห็นตัวอย่างมาบ้าง
เผื่อจะเป็นกระบอกเสียงให้กับเหล่าพ่อบ้าน ....เอ๊ย... ไม่ใช่ครับ เผื่อว่าคุณแม่บ้านจะได้เข้าใจถึงจิตใจของผู้ชายที่อยู่ข้างๆคุณ
หรือที่เดี๋ยวนี้เริ่มมีกลุ่มเรียกตัวเองกันแล้วว่า พ่อบ้านใจกล้า .....
มาเริ่มกันที่จากระดับพื้นฐานทางกายภาพก่อนนะครับ หลายปีก่อนผมเคยอ่านหนังสือแนวจิตวิทยาและเสียดสีนิดๆ ชื่อเก๋ไก๋ว่า
Mens Are From Mars, Women are from Venus เนื้อหาหลักๆของหนังสือได้กล่าวไว้เกี่ยวกับความแตกต่าง ของ ช.และ ญ.
ซึ่งโดยทางกายภาพแล้ว นับตั้งแต่ยุคหิน เพศชายจะมีหน้าที่ออกไปล่าสัตว์ หาอาหารมาเลี้ยงครอบครัว กายภาพของผู้ชายจึงจะต้อง
แข็งแรง บึกบึนกว่าผู้หญิง โดยในปัจจุบัน แม้ว่าความแข็งแรงทางกายภาพอาจจะไม่ได้สำคัญสำหรับการหาเลี้ยงชีพ แต่ลักษณะโดย
รวมของผู้ชาย ระดับฮอร์โมนในร่างกายก็ยังคงจะแตกต่างกับ ผู้หญิง อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากการที่มนุษย์เพศ ชาย ต้องแก่งแย่ง
ออกไปหาอาหาร ล่าสัตว์ ความต้องการในขั้นเบสิกของการดำรงชีพอยู่ทำให้เพศชายมักจะคิดและทำอะไรต่างๆตามสัญชาติญาณ
มากกว่าการหาเหตุผลประกอบ ในทางกลับกัน ตั้งแต่สมัยยุคหิน ผู้หญิงจะอยู่ที่บ้านเป็นฝ่ายหุงหาอาหาร จัดการกับอาหาที่ผู้ชายหากลับมาได้
ผู้หญิง ต้องตั้งท้อง คลอดลูก เลี้ยงลูก การทำงานของผู้หญิง ส่วนมากจะเป็นงานในเรื่องละเอียดอ่อน ระบบการคิดของผู้หญิงจึงมีระดับ
ความละเอียดอ่อนมากกว่าผู้ชายมาก สิ่งเหล่านี้สืบทอดต่อมาจากบรรพบุรุษ จนถึงปัจจุบันแม้สถานะทางสังคมของ เพศ ชาย และ หญิง
จะไม่แตกต่างกันมากแล้วก็จริง แต่เราก็ต้องยอมรับว่า ความแตกต่างทางกายภาพนั้นยังคงมีอยู๋จนถึงปัจจุบัน
เขียนเกริ่นนำมายาว เดี๋ยวจะกลายเป็นกระทู้จิตวิทยาไป ผมขอกลับเข้าเรื่อง ระหว่างพ่อบ้าน และ แม่บ้านต่อ
เมื่อเราเข้าใจ ว่าความแตกต่างทางกายภาพของผู้หญิงและผู้ชายนั้นต่างกันในหลายด้าน
เราก็จะเข้าใจได้ง่ายขึ้นเมื่อมองถึงมุมมองในระดับจิตใจ หรือ ระดับความนึกคิด ผมขออ้างอิงการทำแบบทดลองอีกนิด
เนื่องจากผมเห็นว่ามันน่าสนใจ และ สามารถสื่อถึงวิธีการที่ผมจะอธิบายได้ดี โดยเขาให้ผู้เข้าร่วมทดลอง แบ่งเป็น ช. ญ.
เข้าทำการบันทึกคะแนนของการกระทำที่เราได้ทำให้กับของคู่ครอง หรือ ครอบครัว ของตัวเอง
โดยแต่ละการกระทำจะมีระดับคะแนน สูงต่ำ ต่างกันไป ถ้าเราพึงพอใจกับการกระทำนั้นๆ เราก็ให้คะแนนสูง
บทสรุปของการทดลองทำแบบสอบถามนั้นแสดงให้เห็นถึงความพอใจในแต่ละเรื่องที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ฝ่ายผู้หญิง จะให้คะแนนตนเองแก่เรื่องที่ทำเล็กๆน้อยๆ แต่มีความสม่ำเสมอ เช่นการดูแลอาหารให้สามีและลูกๆ ในแต่ละวัน
การซื้อเสื้อผ้าให้ลูกๆ ซื้อเนคไทให้สามี ฯลฯ
ส่วนฝ่ายผู้ชาย จะให้คะแนนกับตนเองสูงมาก ในสิ่งที่จับต้องได้ เช่น พาครอบครัวไปเที่ยวทริปยาวๆ ซื้อตู้เย็นเครื่องใหม่ ซื้อทีวี ฯลฯ
จะเห็นได้ว่า โดยส่วนมากแล้ว ผู้ชาย จะให้ความสำคัญกับครอบครัวในเรื่องทางวัตถุที่จับต้องได้ มองเห็นได้ง่าย ไม่มีความสลับซับซ้อน
ส่วนฝ่ายหญิง จะดูแลเราถึงระดับจิตใจ และ ความเอาใจใส่ในรายละเอียด ละเมียดละไมกว่าฝ่ายชายเยอะ
พอเราเริ่มเข้าใจขึ้นบ้างถึงความแตกต่าง ระหว่างพื้นฐานของ ชาย และ หญิง ขึ้นมาบ้างแล้ว
ทีนี้มาเข้าถึงเรื่องที่ผมจะมาพูดถึงเลยนะครับ (เกริ่นมาตั้งนาน ใครทนอ่านมาถึงตรงนี้ได้ ปรบมือให้ตัวเองเลยนะครับ ....55)
จากที่ผมได้ปูพื้นมา ในความเห็นแบบผู้ชายของผมนะครับ ผมเสนอว่า คุณแม่บ้านต่างๆต้องมองพวกพ่อบ้านแบบไม่ต้องคิดให้มากเลยครับ
คิดแบบง่ายๆเข้าไว้นะครับ สังเกตุ สิ่งที่ผมได้กล่าวมา จะสอดคล้องกับกระทู้ที่เหล่าพวกพ่อบ้านมาบ่นกันครับ
ส่วนมาจะเป็นสิ่งที่จับต้องได้ และพอมองเห็น เช่นเรื่อง เงินให้ใช้ในระหว่างวัน น้อยไป การอยากได้รับความยอมรับจากคนภายนอก
การน้อยใจต่างๆ มักจะมาจากเรื่องที่ไปกระทบต่อสิ่งที่ผู้ชายมองเห็นว่ามันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพวกเขาไงครับ
ถ้าภรรยาท่านใดอยากจะให้สามี หรือ แฟน คุณเกรงใจคุณแบบไม่มีวอกแวกไปไหน ลองดูวิธีเหล่านี้เลยนะครับ
ผมไม่การันตีว่าจะได้ผล 100% แต่ อย่างน้อยรู้ไว้ก่อนก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
1) อยู่นอกบ้านควรยกย่องสามีของคุณให้คนอื่นฟัง พูดชื่นชมเขาในแง่ดีๆ กับลูก หรือ บุคคลอื่นๆบ้าง ภรรยาบางท่านอาจจะบอกว่า
แล้วถ้าไม่มีอะไรดีเลยล่ะ ก็ขอเสนอว่าพยายามหาข้อดีมาพูดนะครับ เช่น สามีรักลูกมาก ขับรถเก่ง ถ้าไม่มีอะไรดีๆพูด ก็อย่าไปด่าว่าเขา
ให้คนอื่นฟังเลยครับ มีปัญหาอะไรไม่พอใจอะไรก็มาคุยกันที่บ้าน จะดีกว่าการที่เราเอาเขาออกไปแฉนอกบ้าน ว่าขี้เกียจทำงานบ้าน ไม่ช่วยงาน
ใช้เงินเปลือง ฯลฯ ผมเชื่อว่าผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วส่วนมากอยากเป็นผู้นำครอบครัวที่ได้รับการยอมรับ ไม่มีใครอยากโดนคนในครอบครัว
ว่าต่อหน้าคนอื่นหรอกครับ ถ้าคุณส่งเสริมเขาตรงนี้ได้ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วครับ
2) ถ้ามีลูกแล้วแม่บ้านควรแบ่งเวลาให้สามีด้วยครับ ผมเห็นหลายครอบครัว พอคุณแม่มีลูกแล้ว เวลาทั้งชีวิตก็ทุ่มให้กับลูกหมดเลยครับ
ทั้งเรื่องกิน นอน การเรียน จนบางครั้งคุณแม่บ้านอาจจะลืม พ่อบ้าน ที่เขาออกไปทำงานนอกบ้าน กลับมาอาจจะอยากได้รับการเอาใจใส่
บ้าง บางครั้งแม่บ้านทำอาหารอย่างดีให้กับลูกๆขงตัวเอง ส่วนพ่อบ้านกลับมาบ้านก็ต้องไปหาข้าวกินเอง แบบนี้ก็ควรปรับนะครับ
ลองคิดดูนะครับ ลูกๆของคุณ เมื่อคุณเลี้ยงดูเขาเติบใหญ่แล้ว ถึงเวลา เขาก็ต้องออกไปนอกบ้านทำงาน มีครอบครัวเป็นของตัวเอง
เมื่อถึงเวลานั้น สุดท้ายแล้ว คนที่จะอยู่เคียงข้างคุณก็ยังเป็นคู่ชีวิตของคุณอยู่เช่นเดิม ดั้งนั้นจะเป็นการฉลาดที่จะหันมาดูแล ความเป็นอยู่ของ
พ่อบ้าน บ้าง กินข้าวหรือยัง มีเสื้อใส่ไหม เสื้อผ้ารีดหรือยัง ฯลฯ หลายๆครั้งผมได้รับการปรับทุกข์จากเพื่อนๆผู้ชายที่มีครอบครัว แล้วภรรยา
คลอดลูก และต้องดูแลลูกอ่อน เพื่อนผมบอกว่า ภรรยาไม่ได้ให้เขาทำการบ้านเลยตั้งแต่ลูกคลอดออกมา เขารู้สึกเหมือนถูกละเลย
นานๆเข้าก็จะออกอาการหงุดหงิด ซึ่งถ้าเรื่องนี้ไม่ได้รับการแก้ไข หากสามีไปเจอสาวๆที่เอาใจใส่เขา ดูแลเขาดีๆ
ต่อให้คนที่มีความรักครอบครัวที่เป็นทุนอยู่แล้ว ถ้าเจอแบบนี้ก็อาจจะทำให้เกิดอาการวอกแวกไปได้
ถ้าคุณเอาใจใส่เขาตรงนี้ได้ อย่างน้อยๆคุณก็มีเรื่องต้องห่วงว่าเขาจะวอกแวกได้น้อยลงไปหนึ่งเรื่อง
3) สุดท้าย ขอแนะนำว่าถ้าคุณแม่บ้านอยากให้พ่อบ้าน ทำอะไร ไม่ทำอะไร ควรคุยกันอย่างง่ายๆ จะดีกว่าการเสนอแนะแบบเป็นนัยๆ
หรือ การเจาะลึกเข้าไปถึงปัญหา เพราะบางทีผู้ชาย (โดยส่วนมาก) ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนเลยจริงๆครับ ขออ้างอิงจากหนังสือที่ผมได้เกริ่นไว้อีกหน่อยนะครับ ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ ในหนังสือมีกล่าวถึงประมาณว่า ผู้ชายจะรู้สึกว่าเมื่อผู้หญิงตั้งคำถามขึ้นมาอย่างหนึ่ง เมื่อผู้ชายหาคำตอบให้แก่คำถามนั้นแล้ว
ทุกอย่างก็คือจบ แต่สำหรับผู้หญิง อาจจะต้องการมากกว่าปัญหาที่ได้รับการแก้ไขแล้ว นอกเหนือจากการแก้ปัญหานั้นแล้ว
ผู้หญิงต้องการที่จะพูดถึงปัญหานั้นต่อไปอีกว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำไม เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้น
จะเห็นว่า ถ้าเกิดปัญหาเช่นทำไมกลับบ้านดึก อาจจะเพราะไปดื่มกินกับเพื่อน ฝ่ายชายก็อยากจะขอโทษ คราวหลังจะไม่ทำแล้วนะ จบ
แต่ฝ่ายหญิง จะมองว่า คราวที่แล้วก็พูดแบบนี้ แล้วก็กลับดึกอีก แล้วถ้าคราวหน้าเป็นอีกจะทำอย่างไร ซึ่งก็เข้าใจที่ควรจะกล่าวถึง
แต่จะดีกว่าถ้าบอกไปเลยว่าให้กลับบ้านได้ไม่ควรเกินกี่โมง ฯลฯ
ขอปิดสุดท้ายด้วยอีกตัวอย่างที่เชื่อว่าเคยเจอกันบ่อยๆเลยแล้วกันนะครับ
ขณะกำลังเดินห้างอยู่ ....
ช. เย็นนี้กินอะไรที่รัก
ญ. อะไรก็ได้ (ยิ้มอ่อน)
ช. งั้นกิน พิซซ่า ไหม
ญ. ไม่เอาอ่ะ เราลดความอ้วนอยู่
ช. งั้นกินอาหารญี่ปุ่น...ไหม
ญ. ไม่เอาอ่ะ ไม่ชอบ
ช. งั้นกิน สุกี้....ไหม เบาๆดี
ญ. ไม่เอาอ่ะ คิวยาว
ช. งั้นจะกินอะไรดีอ่ะ เรานึกไม่ออกแล้วอ่ะ
ญ. อะไรก็ได้ ...
ช. ??!!! ....
จะเห็นว่าปัญหาเล็กๆน้อยเหล่านี้ ถ้าเราเข้าใจในความแตกต่างระหว่าง ชาย และ หญิง ขึ้นมาอีกบ้าง
ก็อาจจะทำให้ หญิง และ ชาย สามารถอยู่ร่วมกันได้ราบรื่น ยิ่งขึ้น และ บางอย่างที่เสนอแนวทางมาไม่ได้ทำได้ยากเลยนะครับ
เพียงแต่ต้องปรับแนวทางให้เหมาะสม กับแนวทางของแต่ละครอบครัว วันนี้นึกเท่านี้ออกก่อน หากมีท่านอื่นๆสนใจไว้จะมาเสริมเพิ่มให้ในวันหลังนะครับ
สุดท้ายนี้ หวังว่าที่เขียนมาจะมีสาระบ้าง บันเทิงบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ หากมีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยครับ
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนจบ ^^
(แฉ) วิธีการง่ายๆมัดใจพ่อบ้าน เชื่อว่าแม่บ้านทุกท่านสามารถทำได้
เช่น ภรรยาให้เงินวันละ...บาท ทำไงถึงจะขอเพิ่มได้, ได้เงินจากภรรยาวันละ...บาท แต่ภรรยาซื้อของเล่นให้ลูก....บาท, ฯลฯ
กระทู้นี้ ผมเลยอยากจะขอเล่าในมุมมองจากประสบการณ์ส่วนตัว และ จากที่ได้เคยเห็นตัวอย่างมาบ้าง
เผื่อจะเป็นกระบอกเสียงให้กับเหล่าพ่อบ้าน ....เอ๊ย... ไม่ใช่ครับ เผื่อว่าคุณแม่บ้านจะได้เข้าใจถึงจิตใจของผู้ชายที่อยู่ข้างๆคุณ
หรือที่เดี๋ยวนี้เริ่มมีกลุ่มเรียกตัวเองกันแล้วว่า พ่อบ้านใจกล้า .....
มาเริ่มกันที่จากระดับพื้นฐานทางกายภาพก่อนนะครับ หลายปีก่อนผมเคยอ่านหนังสือแนวจิตวิทยาและเสียดสีนิดๆ ชื่อเก๋ไก๋ว่า
Mens Are From Mars, Women are from Venus เนื้อหาหลักๆของหนังสือได้กล่าวไว้เกี่ยวกับความแตกต่าง ของ ช.และ ญ.
ซึ่งโดยทางกายภาพแล้ว นับตั้งแต่ยุคหิน เพศชายจะมีหน้าที่ออกไปล่าสัตว์ หาอาหารมาเลี้ยงครอบครัว กายภาพของผู้ชายจึงจะต้อง
แข็งแรง บึกบึนกว่าผู้หญิง โดยในปัจจุบัน แม้ว่าความแข็งแรงทางกายภาพอาจจะไม่ได้สำคัญสำหรับการหาเลี้ยงชีพ แต่ลักษณะโดย
รวมของผู้ชาย ระดับฮอร์โมนในร่างกายก็ยังคงจะแตกต่างกับ ผู้หญิง อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากการที่มนุษย์เพศ ชาย ต้องแก่งแย่ง
ออกไปหาอาหาร ล่าสัตว์ ความต้องการในขั้นเบสิกของการดำรงชีพอยู่ทำให้เพศชายมักจะคิดและทำอะไรต่างๆตามสัญชาติญาณ
มากกว่าการหาเหตุผลประกอบ ในทางกลับกัน ตั้งแต่สมัยยุคหิน ผู้หญิงจะอยู่ที่บ้านเป็นฝ่ายหุงหาอาหาร จัดการกับอาหาที่ผู้ชายหากลับมาได้
ผู้หญิง ต้องตั้งท้อง คลอดลูก เลี้ยงลูก การทำงานของผู้หญิง ส่วนมากจะเป็นงานในเรื่องละเอียดอ่อน ระบบการคิดของผู้หญิงจึงมีระดับ
ความละเอียดอ่อนมากกว่าผู้ชายมาก สิ่งเหล่านี้สืบทอดต่อมาจากบรรพบุรุษ จนถึงปัจจุบันแม้สถานะทางสังคมของ เพศ ชาย และ หญิง
จะไม่แตกต่างกันมากแล้วก็จริง แต่เราก็ต้องยอมรับว่า ความแตกต่างทางกายภาพนั้นยังคงมีอยู๋จนถึงปัจจุบัน
เขียนเกริ่นนำมายาว เดี๋ยวจะกลายเป็นกระทู้จิตวิทยาไป ผมขอกลับเข้าเรื่อง ระหว่างพ่อบ้าน และ แม่บ้านต่อ
เมื่อเราเข้าใจ ว่าความแตกต่างทางกายภาพของผู้หญิงและผู้ชายนั้นต่างกันในหลายด้าน
เราก็จะเข้าใจได้ง่ายขึ้นเมื่อมองถึงมุมมองในระดับจิตใจ หรือ ระดับความนึกคิด ผมขออ้างอิงการทำแบบทดลองอีกนิด
เนื่องจากผมเห็นว่ามันน่าสนใจ และ สามารถสื่อถึงวิธีการที่ผมจะอธิบายได้ดี โดยเขาให้ผู้เข้าร่วมทดลอง แบ่งเป็น ช. ญ.
เข้าทำการบันทึกคะแนนของการกระทำที่เราได้ทำให้กับของคู่ครอง หรือ ครอบครัว ของตัวเอง
โดยแต่ละการกระทำจะมีระดับคะแนน สูงต่ำ ต่างกันไป ถ้าเราพึงพอใจกับการกระทำนั้นๆ เราก็ให้คะแนนสูง
บทสรุปของการทดลองทำแบบสอบถามนั้นแสดงให้เห็นถึงความพอใจในแต่ละเรื่องที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ฝ่ายผู้หญิง จะให้คะแนนตนเองแก่เรื่องที่ทำเล็กๆน้อยๆ แต่มีความสม่ำเสมอ เช่นการดูแลอาหารให้สามีและลูกๆ ในแต่ละวัน
การซื้อเสื้อผ้าให้ลูกๆ ซื้อเนคไทให้สามี ฯลฯ
ส่วนฝ่ายผู้ชาย จะให้คะแนนกับตนเองสูงมาก ในสิ่งที่จับต้องได้ เช่น พาครอบครัวไปเที่ยวทริปยาวๆ ซื้อตู้เย็นเครื่องใหม่ ซื้อทีวี ฯลฯ
จะเห็นได้ว่า โดยส่วนมากแล้ว ผู้ชาย จะให้ความสำคัญกับครอบครัวในเรื่องทางวัตถุที่จับต้องได้ มองเห็นได้ง่าย ไม่มีความสลับซับซ้อน
ส่วนฝ่ายหญิง จะดูแลเราถึงระดับจิตใจ และ ความเอาใจใส่ในรายละเอียด ละเมียดละไมกว่าฝ่ายชายเยอะ
พอเราเริ่มเข้าใจขึ้นบ้างถึงความแตกต่าง ระหว่างพื้นฐานของ ชาย และ หญิง ขึ้นมาบ้างแล้ว
ทีนี้มาเข้าถึงเรื่องที่ผมจะมาพูดถึงเลยนะครับ (เกริ่นมาตั้งนาน ใครทนอ่านมาถึงตรงนี้ได้ ปรบมือให้ตัวเองเลยนะครับ ....55)
จากที่ผมได้ปูพื้นมา ในความเห็นแบบผู้ชายของผมนะครับ ผมเสนอว่า คุณแม่บ้านต่างๆต้องมองพวกพ่อบ้านแบบไม่ต้องคิดให้มากเลยครับ
คิดแบบง่ายๆเข้าไว้นะครับ สังเกตุ สิ่งที่ผมได้กล่าวมา จะสอดคล้องกับกระทู้ที่เหล่าพวกพ่อบ้านมาบ่นกันครับ
ส่วนมาจะเป็นสิ่งที่จับต้องได้ และพอมองเห็น เช่นเรื่อง เงินให้ใช้ในระหว่างวัน น้อยไป การอยากได้รับความยอมรับจากคนภายนอก
การน้อยใจต่างๆ มักจะมาจากเรื่องที่ไปกระทบต่อสิ่งที่ผู้ชายมองเห็นว่ามันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพวกเขาไงครับ
ถ้าภรรยาท่านใดอยากจะให้สามี หรือ แฟน คุณเกรงใจคุณแบบไม่มีวอกแวกไปไหน ลองดูวิธีเหล่านี้เลยนะครับ
ผมไม่การันตีว่าจะได้ผล 100% แต่ อย่างน้อยรู้ไว้ก่อนก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
1) อยู่นอกบ้านควรยกย่องสามีของคุณให้คนอื่นฟัง พูดชื่นชมเขาในแง่ดีๆ กับลูก หรือ บุคคลอื่นๆบ้าง ภรรยาบางท่านอาจจะบอกว่า
แล้วถ้าไม่มีอะไรดีเลยล่ะ ก็ขอเสนอว่าพยายามหาข้อดีมาพูดนะครับ เช่น สามีรักลูกมาก ขับรถเก่ง ถ้าไม่มีอะไรดีๆพูด ก็อย่าไปด่าว่าเขา
ให้คนอื่นฟังเลยครับ มีปัญหาอะไรไม่พอใจอะไรก็มาคุยกันที่บ้าน จะดีกว่าการที่เราเอาเขาออกไปแฉนอกบ้าน ว่าขี้เกียจทำงานบ้าน ไม่ช่วยงาน
ใช้เงินเปลือง ฯลฯ ผมเชื่อว่าผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วส่วนมากอยากเป็นผู้นำครอบครัวที่ได้รับการยอมรับ ไม่มีใครอยากโดนคนในครอบครัว
ว่าต่อหน้าคนอื่นหรอกครับ ถ้าคุณส่งเสริมเขาตรงนี้ได้ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วครับ
2) ถ้ามีลูกแล้วแม่บ้านควรแบ่งเวลาให้สามีด้วยครับ ผมเห็นหลายครอบครัว พอคุณแม่มีลูกแล้ว เวลาทั้งชีวิตก็ทุ่มให้กับลูกหมดเลยครับ
ทั้งเรื่องกิน นอน การเรียน จนบางครั้งคุณแม่บ้านอาจจะลืม พ่อบ้าน ที่เขาออกไปทำงานนอกบ้าน กลับมาอาจจะอยากได้รับการเอาใจใส่
บ้าง บางครั้งแม่บ้านทำอาหารอย่างดีให้กับลูกๆขงตัวเอง ส่วนพ่อบ้านกลับมาบ้านก็ต้องไปหาข้าวกินเอง แบบนี้ก็ควรปรับนะครับ
ลองคิดดูนะครับ ลูกๆของคุณ เมื่อคุณเลี้ยงดูเขาเติบใหญ่แล้ว ถึงเวลา เขาก็ต้องออกไปนอกบ้านทำงาน มีครอบครัวเป็นของตัวเอง
เมื่อถึงเวลานั้น สุดท้ายแล้ว คนที่จะอยู่เคียงข้างคุณก็ยังเป็นคู่ชีวิตของคุณอยู่เช่นเดิม ดั้งนั้นจะเป็นการฉลาดที่จะหันมาดูแล ความเป็นอยู่ของ
พ่อบ้าน บ้าง กินข้าวหรือยัง มีเสื้อใส่ไหม เสื้อผ้ารีดหรือยัง ฯลฯ หลายๆครั้งผมได้รับการปรับทุกข์จากเพื่อนๆผู้ชายที่มีครอบครัว แล้วภรรยา
คลอดลูก และต้องดูแลลูกอ่อน เพื่อนผมบอกว่า ภรรยาไม่ได้ให้เขาทำการบ้านเลยตั้งแต่ลูกคลอดออกมา เขารู้สึกเหมือนถูกละเลย
นานๆเข้าก็จะออกอาการหงุดหงิด ซึ่งถ้าเรื่องนี้ไม่ได้รับการแก้ไข หากสามีไปเจอสาวๆที่เอาใจใส่เขา ดูแลเขาดีๆ
ต่อให้คนที่มีความรักครอบครัวที่เป็นทุนอยู่แล้ว ถ้าเจอแบบนี้ก็อาจจะทำให้เกิดอาการวอกแวกไปได้
ถ้าคุณเอาใจใส่เขาตรงนี้ได้ อย่างน้อยๆคุณก็มีเรื่องต้องห่วงว่าเขาจะวอกแวกได้น้อยลงไปหนึ่งเรื่อง
3) สุดท้าย ขอแนะนำว่าถ้าคุณแม่บ้านอยากให้พ่อบ้าน ทำอะไร ไม่ทำอะไร ควรคุยกันอย่างง่ายๆ จะดีกว่าการเสนอแนะแบบเป็นนัยๆ
หรือ การเจาะลึกเข้าไปถึงปัญหา เพราะบางทีผู้ชาย (โดยส่วนมาก) ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนเลยจริงๆครับ ขออ้างอิงจากหนังสือที่ผมได้เกริ่นไว้อีกหน่อยนะครับ ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ ในหนังสือมีกล่าวถึงประมาณว่า ผู้ชายจะรู้สึกว่าเมื่อผู้หญิงตั้งคำถามขึ้นมาอย่างหนึ่ง เมื่อผู้ชายหาคำตอบให้แก่คำถามนั้นแล้ว
ทุกอย่างก็คือจบ แต่สำหรับผู้หญิง อาจจะต้องการมากกว่าปัญหาที่ได้รับการแก้ไขแล้ว นอกเหนือจากการแก้ปัญหานั้นแล้ว
ผู้หญิงต้องการที่จะพูดถึงปัญหานั้นต่อไปอีกว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำไม เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้น
จะเห็นว่า ถ้าเกิดปัญหาเช่นทำไมกลับบ้านดึก อาจจะเพราะไปดื่มกินกับเพื่อน ฝ่ายชายก็อยากจะขอโทษ คราวหลังจะไม่ทำแล้วนะ จบ
แต่ฝ่ายหญิง จะมองว่า คราวที่แล้วก็พูดแบบนี้ แล้วก็กลับดึกอีก แล้วถ้าคราวหน้าเป็นอีกจะทำอย่างไร ซึ่งก็เข้าใจที่ควรจะกล่าวถึง
แต่จะดีกว่าถ้าบอกไปเลยว่าให้กลับบ้านได้ไม่ควรเกินกี่โมง ฯลฯ
ขอปิดสุดท้ายด้วยอีกตัวอย่างที่เชื่อว่าเคยเจอกันบ่อยๆเลยแล้วกันนะครับ
ขณะกำลังเดินห้างอยู่ ....
ช. เย็นนี้กินอะไรที่รัก
ญ. อะไรก็ได้ (ยิ้มอ่อน)
ช. งั้นกิน พิซซ่า ไหม
ญ. ไม่เอาอ่ะ เราลดความอ้วนอยู่
ช. งั้นกินอาหารญี่ปุ่น...ไหม
ญ. ไม่เอาอ่ะ ไม่ชอบ
ช. งั้นกิน สุกี้....ไหม เบาๆดี
ญ. ไม่เอาอ่ะ คิวยาว
ช. งั้นจะกินอะไรดีอ่ะ เรานึกไม่ออกแล้วอ่ะ
ญ. อะไรก็ได้ ...
ช. ??!!! ....
จะเห็นว่าปัญหาเล็กๆน้อยเหล่านี้ ถ้าเราเข้าใจในความแตกต่างระหว่าง ชาย และ หญิง ขึ้นมาอีกบ้าง
ก็อาจจะทำให้ หญิง และ ชาย สามารถอยู่ร่วมกันได้ราบรื่น ยิ่งขึ้น และ บางอย่างที่เสนอแนวทางมาไม่ได้ทำได้ยากเลยนะครับ
เพียงแต่ต้องปรับแนวทางให้เหมาะสม กับแนวทางของแต่ละครอบครัว วันนี้นึกเท่านี้ออกก่อน หากมีท่านอื่นๆสนใจไว้จะมาเสริมเพิ่มให้ในวันหลังนะครับ
สุดท้ายนี้ หวังว่าที่เขียนมาจะมีสาระบ้าง บันเทิงบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ หากมีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยครับ
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนจบ ^^