สะพายเป้เที่ยว Washington D.C. เมืองหลวงของสหรัฐอเมริกา


เชื่อหรือไม่ครับว่า แรงบันดาลใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้นจะจุดประกายความสนใจใหม่ๆในชีวิตของเราได้อย่างมากทีเดียว หลายปีก่อนคนไทยแห่ไปท่องเที่ยวเกาหลี ทานอาหารเกาหลี และเริ่มเรียนภาษาเกาหลีกันมากเพราะได้แรงบันดาลใจจากการดูซีรีย์ ทำนองเดียวกัน สำหรับผมแล้วซีรีย์ “House of Cards” เป็นแรงบันดาลใจเริ่มแรกให้ผมเดินทางไปยังกรุง Washington D.C.และคงจะไม่เกินเลยนักหากจะกล่าวว่าที่นี่จุดประกายความสนใจของผมต่อประวัติศาสตร์อเมริกัน รวมทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆได้อย่างดีเยี่ยม ผมใช้เวลา 5 วัน 4 คืน ที่นี่เพื่อสำรวจและทำความเข้าใจถึง “คุณค่า” ที่ชาวสหรัฐฯยึดมั่น เพื่อตอบคำถามว่าเหตุใดชาวอเมริกันจึงเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนหลักของสิทธิ เสรีภาพอย่างยิ่ง? อะไรคือกลไกสำคัญที่ผลักดันให้อเมริกาก้าวทะยานขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลกได้ในเวลาอันสั้น? ในงานเขียนต่อไปนี้ผมจะพยายามนำท่านไปสำรวจสถานที่ต่างๆและค้นหาคำตอบเหล่านี้ด้วยกันนะครับ


ผมใช้เวลาเดินทางราว 4 ชั่วโมง จากนิวยอร์กมาลงที่กลางเมืองวอร์ชิงตัน ดี.ซี. ทันทีที่ก้าวเท้าลงจากรถ เราสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างของทั้งสองเมืองนี้ได้ทันทีครับ นิวยอร์กเป็นเมืองเศรษฐกิจ มีผู้คนหลายชาติหลายภาษารวมกันอยู่อย่างพลุกพล่านจึงหลีกเลี่ยงความรีบร้อน วุ่นวายไม่ได้เลย ในทางกลับกันวอร์ชิงตัน ดี.ซี. (ต่อไปนี้จะเรียกว่า ดี.ซี.นะครับ) เป็นเมืองหลวง เป็นเมืองราชการ ไม่ว่าเราจะมองไปทางไหนก็ดูจะเป็นระเบียบเรียบร้อย ถนนหนทางก็สะอาดสะอ้าน และมีการรักษาความปลอดภัยในสถานที่ต่างๆอย่างเข้มงวดทีเดียวครับ ข้อสำคัญก็คือ เมื่อมาอยู่ที่ ดี.ซี.แล้ว ผมก็รู้สึกเหมือนถูกทิ้งอยู่ในโลกกว้าง เพราะว่ามองไปทางไหนก็มีแต่ฝรั่งตาน้ำข้าว หาคนเอเชียได้ยากจริงๆครับ

ตามที่บอกไปแล้วว่า ดี.ซี. เป็นเมืองราชการ ดังนั้น เมืองจึงประกอบไปด้วยสถานที่ราชการ อนุสาวรีย์ และพิพิธภัณฑ์ครับ ใครนึกภาพเมืองนี้ไม่ออก ให้ลองนึกถึงถนนราชดำเนินบ้านเราดูนะครับ ตลอดเส้นความยาวถนนนั้นจะมีสถานที่ราชการ สถานที่ท่องเที่ยวในเชิงประวัติศาสตร์ และพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้กระจายอยู่ชนิดที่ว่าผมเดิน 5 วันไม่ทั่ว โดยจุดกึ่งกลางของเมืองก็คือ Washington Monument ที่ทำเป็นเสา Obelisk ขนาดสูงมากๆ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่โดยที่มีกฎหมายบังคับอยู่ว่าห้ามมิให้มีการก่อสร้างอาคารใดๆสูงกว่าเจ้าแท่ง Obelisk นี้ นอกจากนั้นสิ่งที่รายล้อมอนุสาวรีย์นี้ก็จะเป็น อาคารรัฐสภา ทำเนียบขาว อนุสาวรีย์ลินคอห์น และพิพิธภัณฑ์จำนวนมากภายใต้การจัดการของ Smithsonion


ผมเชื่ออยู่ลึกๆว่าความรู้พื้นฐานทางประวัติศาสตร์จะช่วยให้เราสนุกในการท่องเที่ยวที่นั้นๆยิ่งขึ้น ดังนั้น ในโพสต์แรกนี้จึงขอนำเสนอประวัติศาสตร์อเมริกาแบบสั้นๆสุดเพื่อปูพื้นฐานความเข้าใจกันก่อนนะครับ แรกเริ่มทีเดียวสหรัฐฯเป็นการรวมตัวกันของ 13 อาณานิคม ที่ไม่พอใจเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษที่เรียกเก็บภาษีขูดรีดโดยไม่ได้นำเงินดังกล่าวมาพัฒนาท้องที่เลย จึงรวมตัวกันประกาศอิสรภาพเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1776 แล้วก่อตั้งเป็นประเทศใหม่ที่ชื่อว่า “สหรัฐอเมริกา” โดยมีนายพลจอร์จ วอร์ชิงตันเป็นผู้นำทางการทหารในสงครามปฏิวัติต่อสู้ไม่ยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจอังกฤษอีกต่อไป และภายหลังได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกครับ หลังจากนั้น อเมริกาได้สถาปนาระบอบการปกครองรูปแบบใหม่ขึ้นให้ผู้บริหารประเทศมีวาระในการดำรงตำแหน่ง และมาจากการเลือกตั้งจากประชาชน ตามเจตนารมณ์ในคำประกาศอิสรภาพว่า “เราต้องการจะสร้างระบอบการปกครองที่ยอดเยี่ยม” หลังจากนั้นจึงเริ่มมีการขยายพื้นที่ออกไปทางทิศตะวันตกจนครอบคลุมเป็นทวีปอเมริกาในปัจจุบันครับ ในระหว่างทางของประวัติศาสตร์นั้น มีสงครามกลางเมืองที่คนเห็นต่างในประเทศฆ่ากันเองล้มตายเป็นจำนวนมาก มีการต่อสู้เพื่อสิทธิของชาติพันธุ์ การแบ่งแยกสีผิว เกิดความขัดแย้งอีกมากทั้งในประเทศเองและกับต่างประเทศครับ ท่ามกลางเหตุการณ์ความวุ่นวายและความขัดแย้งทั้งปวงชาวอเมริกันได้ค่อยๆเรียนรู้และปรับเปลี่ยนภายใต้หลักการสิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียมกันครับ เช่นในคำประกาศอิสรภาพที่ โททัส เจฟเฟอร์สันได้เขียนไว้ว่า

“เราเชื่อร่วมกันในหลักความจริงที่ว่า มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาเท่าเทียมกัน ภายใต้สิทธิกำเนิดอันชอบธรรมในการใช้ชีวิต การได้รับอิสรภาพ ตลอดจนการแสวงหาความสุข และเพื่อปกป้องสิทธิเหล่านั้น รัฐบาลจึงถูกจัดตั้งขึ้นโดยความยินยอมของปวงชน”

“We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable Rights, that among these are Life, Liberty  and the Pursuit of Happiness. That to secure these rights, Governments are instituted among Men, deriving their just powers from the consent of the governed.”

ฟังแล้วฮืกเหิมดีมั้ยครับ ชาวอเมริกันระลึกถึงคุณงามความดีของนายพลจอร์จ วอร์ชิงตัน และเหล่าบิดาผู้ให้กำเนิดประเทศ (Founding Fathers) จึงมักจะมีการอ้างอิงถึง หรือการสร้างอนุสาวรีย์เพื่อระลึกถึงวีรกรรมดังกล่าวให้เห็นได้ทั่วไปเสมอๆ อย่างเจ้าแท่ง Obelisk นี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกในเวลานั้นไงครับ

พรุ่งนี้จะเล่าให้ฟังต่อเกี่ยวกับ อับราฮัม ลินคอห์น สงครามกลางเมือง และจะพยายามสรุปในส่วนพื้นฐานประวัติศาสตร์โดยสังเขปให้หมด ก่อนจะพาชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆนะครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่