แม้นัดเปิดฤดูกาลของลิเวอร์พูลกำลังจะเริ่มขึ้นเย็นนี้ แต่ความสนใจที่ควรมีกลับพุ่งเป้าไปที่การขอขึ้นบัญชีย้ายทีมของนักเตะตัวสำคัญอย่างคูตินโญ่เกือบหมด อารมณ์คล้ายๆเหมือนกับว่าอนาคตของลิเวอร์พูลนั้น ได้จบสิ้นลงแล้ว ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่ง
ถึงแฟนลิเวอร์พูลหลายคนอาจไม่ชอบข่าวนี้ ไม่ชอบสถานการณ์ที่ทีมกำลังจะเสียผู้เล่นตัวสำคัญ ผมเองก็เคยเป็นเช่นกัน แต่สำหรับข่าวขอย้ายทีมของคูตินโญ่นั้น ผมกลับชอบนะที่เขากล้าออกปากบอกตรงๆ ว่าไม่เหลือใจให้กับทีมแล้ว
ไม่ได้ชอบเพราะรู้สึกดีที่ทีมมีโอกาสจะไปถึงเป้าหมายที่วางไว้อย่าง TOP4 น้อยลง
ไม่ได้ชอบเพราะเกลียดขี้หน้าคูตี้ที่บทจะเล่นดีก็อย่างเทพ แต่บทจะหายก็หายเงียบไปเฉยๆ
ไม่ได้ชอบเพราะทำให้มีกะทู้ถึงลิเวอร์พูลมากมาย ที่อ่านส่วนใหญ่แล้วก็รู้เลยว่าตั้งด้วยความริษยา
แต่ผมชอบข่าวนี้ เพราะมันชี้ให้เห็นชัดๆว่าทีม ยังไม่พร้อมพอจะประสบความสำเร็จ
แม้บาร์เซโลน่าจะเป็นฝันตามข้ออ้างของนักเตะจากอเมริกาใต้ค่อนทวีป แต่หากตัวเองอยู่ในทีมที่มีสถานที่พร้อมจะประสบความสำเร็จและจ่อเป็นตำนานคนต่อไปของทีมที่มีเกียรติประวัติไม่น้อยหน้าใครเช่นกัน การเลือกจะจากไปนั้น มันก็ต้องมีอะไรสักอย่างที่สำคัญมากพอจะฉุดรั้ง และทำให้หนักแน่นพอที่จะปฏิเสธความฝัน
เรื่องเกียรติประวัตินั้น รู้กันดี ว่าลิเวอร์พูลมีอยู่แล้ว ถึงจะย้อนหลังไปไกลจนเกือบจำไม่ได้ก็เถอะ
แต่เรื่องความพร้อมที่จะประสบความสำเร็จครั้งใหม่นั้น ลิเวอร์พูลทำได้ไม่ดีเลย ดูจากการซื้อขายผู้เล่นที่ผ่านมาก็น่าจะมองเห็น ทีมอื่นที่อันดับดีกว่า ก็ยังใช้เงินมากกว่าลิเวอร์พูลในการเสริมทัพสู้ศึกรอบใหม่ ทีมที่ได้อันดับต่ำกว่าก็ซื้อกันโครมๆยังกับยอมขายลูกขายเมียเพื่อเอามาลงทุนก็ยอม แต่ลิเวอร์พูลนั้นกลับเหมือนนิ่งนอนใจราวกับ 3 นักเตะใหม่ที่เข้ามาเพียงพอแล้วที่จะทำให้ทีมประสบความสำเร็จ
ไอ้งบประมาณที่บอกว่ามีๆ จนป่านนี้เพิ่งควักกระเป๋าไปแค่ 30 กว่าล้านเอง ใช้งบมากกว่าทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาพรีเมียร์ลีค อย่าง นิวคาสเซิล ไบรท์ตัน ฮัดเดอร์ฟิล นิดหน่อยเอง
และการจะอ้างว่ามีเป้าหมายที่จะซื้อแล้วแต่เขาไม่ยอมขาย มันก็อ้างได้ในส่วนของวิธีการทำงาน แต่มันก็อ้างไม่ได้เลยสำหรับการวางแผน เพราะมันแสดงให้เห็นเลยว่าไม่ได้คิดล่วงหน้าไว้เลยว่าจะทำยังไงต่อหากพลาดจากนักเตะเป้าหมาย แผนสองแผนสามมีไหม หรือดีแต่ล้มตัวลงชักดิ้นชักงอแหกปากว่า “
หนูจะเอา หนูจะเอา” อย่างเดียว
ซึ่งเรื่องแบบนี้เอง ก็ไม่ใช่เพิ่งเคยเกิดขึ้นกับทีม ตอเรสจากไปเพราะอะไร ซัวเรสทำไมเลือกที่จะไมอยู่ต่อ สเตอร์ลิ่งชิ่งหนีเพราะอะไร ถึงจะมีเหตุผลมากมายในการตัดสินใจของสตาร์ดังที่จากไปเหล่านั้น
แต่หนึ่งในนั้นที่ต้องมีรวมอยู่ด้วยแน่ๆ คือ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเตรียมความพร้อมของทีม
ผมไม่รู้ว่าบทสรุปเรื่องนี้จะจบอย่างไร จะรั้งตัวคูตี้ให้อยู่ต่อไปได้หรือเปล่า
แต่ผมรู้แน่ๆอยู่อย่างหนึ่งว่า วันข้างหน้าหากมีสตาร์ดังคนใหม่ขึ้นมาในทีม ปัญหาแบบนี้ก็เกิดขึ้นอีกแน่ๆ
หากการกลับมาทวงความยิ่งใหญ่นั้น ใช้แค่ปากพูดเฉยๆ แต่ไม่แสดงออกถึงการกระทำหรือการเตรียมความพร้อมเพื่อไปให้ถึงในสิ่งที่ตนเองพูดเลย
เวลาในตลาดซื้อ-ขายยังเหลืออยู่ ก็หวังว่าใครบางคนจะรู้ตัวรู้ซึ้งถึงบทเรียนแบบนี้กันหน่อย
หรือจะปล่อยให้เป็นเรื่องที่ต้องทำใจและเตรียมใจไว้ว่าเจออีกแน่ๆ
อีกไม่ถึงเดือน คงได้รู้กัน
Liverpoor คูตินโญ่ กับความพร้อมของทีม บทเรียนราคาแพง ยาแรงกระชากสติ
ถึงแฟนลิเวอร์พูลหลายคนอาจไม่ชอบข่าวนี้ ไม่ชอบสถานการณ์ที่ทีมกำลังจะเสียผู้เล่นตัวสำคัญ ผมเองก็เคยเป็นเช่นกัน แต่สำหรับข่าวขอย้ายทีมของคูตินโญ่นั้น ผมกลับชอบนะที่เขากล้าออกปากบอกตรงๆ ว่าไม่เหลือใจให้กับทีมแล้ว
ไม่ได้ชอบเพราะรู้สึกดีที่ทีมมีโอกาสจะไปถึงเป้าหมายที่วางไว้อย่าง TOP4 น้อยลง
ไม่ได้ชอบเพราะเกลียดขี้หน้าคูตี้ที่บทจะเล่นดีก็อย่างเทพ แต่บทจะหายก็หายเงียบไปเฉยๆ
ไม่ได้ชอบเพราะทำให้มีกะทู้ถึงลิเวอร์พูลมากมาย ที่อ่านส่วนใหญ่แล้วก็รู้เลยว่าตั้งด้วยความริษยา
แต่ผมชอบข่าวนี้ เพราะมันชี้ให้เห็นชัดๆว่าทีม ยังไม่พร้อมพอจะประสบความสำเร็จ
แม้บาร์เซโลน่าจะเป็นฝันตามข้ออ้างของนักเตะจากอเมริกาใต้ค่อนทวีป แต่หากตัวเองอยู่ในทีมที่มีสถานที่พร้อมจะประสบความสำเร็จและจ่อเป็นตำนานคนต่อไปของทีมที่มีเกียรติประวัติไม่น้อยหน้าใครเช่นกัน การเลือกจะจากไปนั้น มันก็ต้องมีอะไรสักอย่างที่สำคัญมากพอจะฉุดรั้ง และทำให้หนักแน่นพอที่จะปฏิเสธความฝัน
เรื่องเกียรติประวัตินั้น รู้กันดี ว่าลิเวอร์พูลมีอยู่แล้ว ถึงจะย้อนหลังไปไกลจนเกือบจำไม่ได้ก็เถอะ แต่เรื่องความพร้อมที่จะประสบความสำเร็จครั้งใหม่นั้น ลิเวอร์พูลทำได้ไม่ดีเลย ดูจากการซื้อขายผู้เล่นที่ผ่านมาก็น่าจะมองเห็น ทีมอื่นที่อันดับดีกว่า ก็ยังใช้เงินมากกว่าลิเวอร์พูลในการเสริมทัพสู้ศึกรอบใหม่ ทีมที่ได้อันดับต่ำกว่าก็ซื้อกันโครมๆยังกับยอมขายลูกขายเมียเพื่อเอามาลงทุนก็ยอม แต่ลิเวอร์พูลนั้นกลับเหมือนนิ่งนอนใจราวกับ 3 นักเตะใหม่ที่เข้ามาเพียงพอแล้วที่จะทำให้ทีมประสบความสำเร็จ
ไอ้งบประมาณที่บอกว่ามีๆ จนป่านนี้เพิ่งควักกระเป๋าไปแค่ 30 กว่าล้านเอง ใช้งบมากกว่าทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาพรีเมียร์ลีค อย่าง นิวคาสเซิล ไบรท์ตัน ฮัดเดอร์ฟิล นิดหน่อยเอง
และการจะอ้างว่ามีเป้าหมายที่จะซื้อแล้วแต่เขาไม่ยอมขาย มันก็อ้างได้ในส่วนของวิธีการทำงาน แต่มันก็อ้างไม่ได้เลยสำหรับการวางแผน เพราะมันแสดงให้เห็นเลยว่าไม่ได้คิดล่วงหน้าไว้เลยว่าจะทำยังไงต่อหากพลาดจากนักเตะเป้าหมาย แผนสองแผนสามมีไหม หรือดีแต่ล้มตัวลงชักดิ้นชักงอแหกปากว่า “หนูจะเอา หนูจะเอา” อย่างเดียว
ซึ่งเรื่องแบบนี้เอง ก็ไม่ใช่เพิ่งเคยเกิดขึ้นกับทีม ตอเรสจากไปเพราะอะไร ซัวเรสทำไมเลือกที่จะไมอยู่ต่อ สเตอร์ลิ่งชิ่งหนีเพราะอะไร ถึงจะมีเหตุผลมากมายในการตัดสินใจของสตาร์ดังที่จากไปเหล่านั้น แต่หนึ่งในนั้นที่ต้องมีรวมอยู่ด้วยแน่ๆ คือ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเตรียมความพร้อมของทีม
ผมไม่รู้ว่าบทสรุปเรื่องนี้จะจบอย่างไร จะรั้งตัวคูตี้ให้อยู่ต่อไปได้หรือเปล่า
แต่ผมรู้แน่ๆอยู่อย่างหนึ่งว่า วันข้างหน้าหากมีสตาร์ดังคนใหม่ขึ้นมาในทีม ปัญหาแบบนี้ก็เกิดขึ้นอีกแน่ๆ หากการกลับมาทวงความยิ่งใหญ่นั้น ใช้แค่ปากพูดเฉยๆ แต่ไม่แสดงออกถึงการกระทำหรือการเตรียมความพร้อมเพื่อไปให้ถึงในสิ่งที่ตนเองพูดเลย
เวลาในตลาดซื้อ-ขายยังเหลืออยู่ ก็หวังว่าใครบางคนจะรู้ตัวรู้ซึ้งถึงบทเรียนแบบนี้กันหน่อย
หรือจะปล่อยให้เป็นเรื่องที่ต้องทำใจและเตรียมใจไว้ว่าเจออีกแน่ๆ
อีกไม่ถึงเดือน คงได้รู้กัน