โดนเหยียดบ่อยจังที่เยอรมัน..ไมเป็นงี้อ่ะ (กระทู้เแอบบ่น)

กระทู้นี้แอบบ่นและอยากแลกเปลี่ยนปรึกษาค่ะ เรามีประสบการณ์ใช้ชีวิตต่างประเทศมาตั้งแต่วัยรุ่นไปเรียน พอโตขึ้นก็ย้ายมาอีกประเทศไปทำงาน ทั้งหมดรวมๆ เกือบสิบปีที่อยู่ตปท. ไม่เคยเจอเรื่องการเหยียดผิว ดูกถูกดูหมิ่นเลย ชิวิตเข้ากับสังคมที่ประเทศนั้นได้ค่อนข้างดี ต่อให้หัวดำหน้าหมวยก็ตาม แต่พอย้ายมายรม. culture shock มาก

เราย้ายมาอยู่ ยรม. เพราะแต่งงานได้แปดเดือนแล้วค่ะ พอย้ายมาได้สองเดือนก็โชคดีได้งานทำ หน้าที่การงานเราโอเค ภาษายรม. เราไม่ดีมากแต่ก็พยายามเรียนรู้ อาศัยพูดยรม. บ้างขอโทษและเปลี่ยนเป็นอังกฤษ เวลาไปไหนข้างนอกจะพยายามแต่งตัวและพูดจาดี ยิ้มแย้ม (แต่ตอนนี้เลิกยิ้มแล้ว) แต่ก็ไม่วายโดนคนมองด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรหลยาต่อหลายครั้งคือจ้องมาที่เรานานมาก บางครั้งเราหยุดและถามเป็นภาษาอังกฤษว่ามีอะไรหรอ เรารู้จักกันมั้ย มองอะไร เค้าก็ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ บางครั้งสามีเราเห็นว่ามีคนจ้องเราจริงๆ เค้าก็คอยเตือนสติว่าอย่าไปสนใจ เราก็พยายามไม่สนใจ แต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้

อยู่ที่ทำงานพวกเด็กๆ ในทีมที่เพิ่งเรียนจบเวลา hang out กันก็ชอบมาถามเรื่องโสเภณีบ้าง หมอนวดบ้าง แล้วก็หัวเราะกัน คือเราไม่แคร์อะไรเป็นเรื่องจริงเราก็ยอมรับและเล่าให้ฟังในมุมมองเรา [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ แต่เรื่องของเรื่องคือ เราติดนวดไทยมากเวลาคนถามว่าวีคเอนทำอะไรเราก็จะบอกตลอดว่าไปนวดไทย ก็จะมีไอ้ประเภท เค้ามีบริการ ญ กับ ญ ด้วยหรอ advance มาก เราปวดใจมาก ช้อค ไม่เคยพบเคยเจอ คือ ก่อนหน้านี้เราอยู่อีกประเทศนึงในยุโรปเหมือนกันเราก็เป็นแบบนี้ไปนวดแล้วก็แชร์ให้คนรู้จักฟังแต่ก็ไม่เคยมีใครมาถามอะไร innocence หรือ ตั้งใจจะmake fun เรายังงี้

ตอนไปเทรนก่อนเริ่มทำงานที่ปัจจุบัน เรามาถึงห้องเทรนคนแรก เทรนเนอร์คน ยรม. ถามว่าเราเป็นใครมาจากไหน เราก็บอกไปว่าเรามาจากไทย บลาบลาบลา เค้าก็บอกว่าแปลกใจมากนี่ไม่ใช่นิสัยคนเอเชีย โดยเฉพาะ ปท. ด้อยพัฒนาอย่างไทย เราก็จุกไปคือยังสับสนว่าชมหรือด่าว่ะคะพ่อคูณ เราก็พยายามไนซ์เลยถามเค้าว่าเคยมาไทยมั้ย มันก็ไม่จะด้อยอะไรมากนัก เค้าก็บอกว่าไม่เคยไปแต่ก็ไม่คิดจะไป เกลียด สภณ. และกระเทยแปลงเพศ สกปรก เจอดอกนี้อีกแล้ว ซึ่งมันก็มีจริงๆ อะนะ เราเลยบอกว่า มันก็ไม่ได้จะมีแค่นั้นโว้ยยย ทุกประเทศก็มี stereotype นะ ยรม. ก็มี นี่ถ้าเรา stereotype ยรม. เราคงไม่มาหรอก you know what i mean. หลังจากนั้น เทรนเนอร์ก็เปลี่ยนไปพูดถึงคนอินเดีย และจีน แทนว่าไม่ดียังงัย สกปรก นี่ดีที่อินเดียมี cast ไม่งั้นคงพัฒนามากกว่านี้และอยู่ในบ. เราเต็มไปหมด (บ.เราทำคอนซัลท์ไอทีซึ่งอินเดียเยอะมากๆๆ) แลัวก็ถามความเห็นเราว่าคิดเหมือนกันมั้ย...เอิ่ม....เราไม่เคยเจอการเหยียดชาติอื่นแบบเปิดเผยขนาดนี้มาก่อน หรือว่ามันคือ เรื่องปกติของคนที่นี้เค้าแค่ไม่มี filter อยากพูดไรก็พูดหรอ เราเข้าใจว่าคนเราก็อาจจะมีการตรีตรากันและกันแต่ก็ไม่ควรพูดมันออกมามั้ย ประเด็นคือตรีตราก็ตรีตราไปแต่ก็ไม่ควรเอาการตรีตรานั้นมาเป็นบรรทัดฐานของคนป่ะ แต่นี้ ฮีพูดทุกอย่างที่คิด ทั้งๆที่เพิ่งเจอเราครั้งแรกและไม่ร็สึกว่ามันเป็นการ offend ใครเลยอ่ะ เห้อออ

เวลาไปไหนกับเพ่ื่อนร่วมงานเวลาเจอ คนขับรถช้าก็มันก็จะด่าว่า นี่ refugee หรือ chinese เวลาไปปาร์ตี้ สักพักตามพื้นจะเริ่มสกปรก ก็จะมีมาว่า do you feel at home? garbage everywhere แต่ๆๆๆๆๆๆ เวลาที่คนพูดถึง WWII ไม่ว่าจะ context ไหน คน ยรม. จะโกรธทันที ซึ่งเราเข้าใจว่าคนที่นี้เค้า traumatize เรื่องนี้มาก แต่ก็ไม่ควรขนาดนี้มั้ย เรื่องของเรื่องคือ เรามีเทรนเรื่อง coding เทรนเนอร์ชาวดัชท์ เล่าถึงประวัติการ code การส่งสัญญาน เรื่อยเปื่อยมาจนกระทั่ง เทรนเนอร์คนนี้นึกชื่อเครื่องเข้าและถอดรหัสสมัยWWII ไม่ออก เลยถาม พวกเราที่เทรนอยู่ซึ่ง 90% เป็น ยรม. ว่าเครื่องชื่ออะไรนะที่พวกยูใช้ตอน WWII เท่านั้นแหละ ประมาณสามสี่คนเริ่มทยอยออกจากห้อง บางคนบอกว่าไม่ตลกนะ...เทรนเนอร์ เรา และคนที่เหลือ งง มาก เพราะตอนนั้นมันไม่มีอะไรที่แสดงให้เห็นถึงความตลก หรือดูหมิ่นเลย เทรนเนอร๋เค้าก็นึกชื่อไม่ออกจริงๆ ซึ่งเค้าก็เสียใจมากไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่

เราเลยงงมากว่า ทำไมคนที่นี้ถึงเมคฟัน ดูหมิ่นกับเรื่องsensitiveของคนอื่น ในขณะที่ ตัวเองก็มีเรื่องsensitiveแต่คนอื่นแตะไมได้ ถึงแม้จะบังเอิญไปสกิดใจโดยไม่ตั้งใจก็ตาม เรารู้ว่าเราต้องเจอพวกนี้อีกเยอะแน่ๆ ตอนนี้ไปข้างนอกเราหน้าเป็นตรูดให้เหมือนคนที่นี้ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ งานเราต้องเดินทางเยอะ พอจะต้องกลับ ยรม. ทีนี่รู้สึกแปลกๆ คืออยากกลับบ้านไปพักผ่อนนะเจอสามี แต่ไม่อยากกลับบ้านไปเจอสังคม เพื่อนร่วมงานยังงี้ ที่ผ่านมาเราเองยังเอะใจว่า เคสที่เราเจอนี่ เราสามารถ report racism ได้มั้ย คนที่เคยอยู่ ยรม. มานานมีใครเคยเจอแบบเรามั้ยคะ ช่วยแนะนำแลกเปลี่ยนวิธีรับมือหรือ วิธีการเปลี่ยนทัศนคติของตัวเราเองให้ปล่อยวางกับคนประเภทนี้ก็ได้ค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
เรื่องฮิตเลอร์นี่แหละค่ะ ที่เด็กไทยใส่ยูนิฟอร์ม SS เดินขบวนกีฬาสีโดนฝรั่ง+คนไทยชังชาติ ด่าซะจนไม่มีดี  แต่พอถึงเรื่องโสเภณี ประเทศไทยก็จะโดนฝรั่งถล่ม+คนไทยชังชาติบอกให้ยอมรับความจริง แต่ไม่เคยมีคนไทยชังชาติคนไหนไปบอกให้ฝรั่งยอมรับความจริงบ้างว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ เลิกโกรธเลิกถือได้แล้ว

วิธีแก้  จขกท ยักไหล่ใส่แล้วเดินผ่านเลยค่ะ  เราก็โดนค่ะ ฝรั่งเหมือนกัน เป็นมาตลอดหลายปี แต่เรายักไหล่ใส่ และพวกเค้าก้ทำอะไรไม่ได้  เพราะเราเฉย  วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือเฉยค่ะ  ได้ผลดีมาก  ว่างๆนั่งสมาธินะคะ  ไม่ต้องใส่หรอกค่ะ แว่นดำน่ะ  คนแบบนี้เดินเชิดใส่ก็พอ ไม่ต้องไปสร้างกรรมเพิ่ม ให้เค้าทำฝ่ายเดียว ไม่ต้องสนใจว่าใครจะพูดอะไร กรรมมันอยู่ที่เขา อย่าเอามาใส่ใจ


ปล. ถ้ามีลูกเป็นผู้ชายเราจะให้ชื่อว่า Enigma
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ของเราทำงานเป็นพยาบาลอยู่ในแวนคูเวอร์เคยเจอผู้ช่วยพยาบาลเกาหลีซึ่งต้องทำงานด้วยกัน เพิ่งรู้จักกัน และพอรู้ว่าเรามาจากเมืองไทย ก็มาทำท่าองค์บากใส่ พร้อมทั้งจะให้สอนมวย เราก็บอกมัน
Not all Thai people practice Muay Thai.

นางยิงคำถามต่อเลย
I heard there are many ladyboys in your country, do you want to be one of them?

เราเลยตอบมันไปว่า
I heard people in your country are obsessed with plastic surgery to cover up the ugly faces, are you interested in it?

นางก็บอกว่า
You generalize my people
เราก็ถามมันกลับ
How about u, dude?
มันก็เลยจ๋อยเลย แถมต้องขอโทษเราด้วย
คนบางคนพูดไปโดยคะนองปากและไม่รู้ตัว ต้องให้คนอื่นคอยกระตุ้นเตือน นานไปพงวกนี้จะกลายเป็นพวก ignorant โดยไม่รู้ตัว
ความคิดเห็นที่ 12
วิธีดีลกับคนพวกนี้ คือ ไม่ต้องลดตัว ไม่ต้องสนใจ  ทำให้มันเป็นธาตุอากาศ ถ้าต้องดีลกับมัน ก็ทำในทางบวก แบบคนที่เจริญแล้ว
เช่น บอกให้มันไปหาความรู้รอบตัว ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ไม่จำเป็นต้องต่อล้อต่อเถียง ไม่ต้องลับฝีปากให้เสียเวลา

คนที่มีสติปัญญาต่ำ ความรู้รอบตัวต่ำ สังคมต่ำ ความคิดต่ำ กิริยาต่ำ คำพูดต่ำ เราก็ต้องวางเขา ปล่อยเขาเอาไว้ในที่ของเขา
คือ ที่ต่ำ ที่เหมาะสมกับพื้นฐานในด้านต่างๆ ของเขานั่นเอง

จงวางตนเองเอาไว้ในที่ที่สูงกว่า ทำตนเองให้สูงกว่า เป็นบัวที่โผล่พ้นน้ำแล้ว แล้วมองพวกมันที่เป็นบัวที่อยู่ในที่ต่ำใต้โตลนตมใต้พื้นผิวน้ำ
มองมันลงมาจากที่ที่เราอยู่ในที่ที่สูงกว่า มองสู่ที่ต่ำอย่างสมเพช  แต่มองด้วยความเมตตา มองด้วยความเข้าใจ

มองแบบเข้าใจว่า จิตใจมันแคบ การศึกษาหาความรู้น้อย ความเข้าใจในเรื่องคนต่างชาติมีน้อย ความรู้เรื่องต่างประเทศของมันมีน้อย  
เพราะสมองของมันมีขนาดเล็กนั่นเอง และ มันอาศัยอยู่หลังเขาวงกต จึงเข้าถึงแหล่งความรู้ได้ยาก
หรือ อาจะเข้าถึง แต่ขาดสติปัญญาในการเรียนรู้

ตามที่ จขกท เล่ามา คือ จขกท เผอิญต้องไปอยู่ในสังคมที่ยังไม่เปิดกว้าง ระดับล่าง ไม่อินเตอร์ เป็นสังคมที่โลกทัศน์แคบ ไม่หลากหลาย

การที่บังเอิญต้องไปอยู่ในสังคมแบบนี้ ต้องฝึกทำจิตใจให้เข้มแข็งมากๆ อยู่กับจุดยืนของตนเอง รู้ว่าตนเองคือใคร ทำอะไร ต้องการอะไร

เอาใจไปจดจ่อกับเป้าหมาย กับความสำเร็จของตนเอง คิดแต่ทางบวก ดูแลตนเอง จัดบ้านให้สวยๆ น่าอยู่ ตั้งใจทำงาน เที่ยวต่างประเทศ
ฝึกภาษาให้เก่งๆ เดินทางเยอะๆ ออกกำลังกาย ทำสมาธิ อ่านหนังสือดีๆ ดูข่าว ทำอาหารทำขนมเก่งๆ แต่งตัวให้เป็น ลับสมองให้ฉลาด
ฝึกฝนตนเองให้เป็นคนคิดบวกมากๆ  ทำสิ่งต่างๆ นาๆ ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตนเอง

เช่น เอาสิ่งที่คุณกลัวมาเป็นแรงผลักดันในการพัฒนาตนเองให้เหนือพวกมันยิ่งๆ ขึ้นไป
ใช้ชีวิตแบบที่ดึงดูดให้คนดีๆ สติปัญญาดีๆ มีสังคมดีๆ พื้นฐานดีๆ เข้ามาคบหาสมาคม
พาตนเองไปอยู่ในสังคมดีๆ วันๆ ทำแต่เรื่องดีๆ คิดดี พูดดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีเสน่ห์ น่าคบหา แล้วชีวิตจะดีเอง


คนที่จิตใจไม่ดี คิดแต่เรื่องไม่ดี ความคิดและจิตใจจะสะสมแต่พลังงานทางลบ แล้วจะมาแสดงออกที่การกระทำ ที่หน้าตา
ทำให้บุคลิกภาพไม่ดี ทัศนคติไม่ดี ไม่มีเสน่ห์ ไม่น่าคบหา ปล่อยให้พวกมันแพ้พิษภัยของตนเองไป ส่วนตัวเราเองอย่าพาตัวไปอยู่ในสังคมแบบนั้น

อย่าใส่ใจ แยกตัวออกมา ถ้าใส่ใจมาก ถ้ายังอยู่ในสังคมแบบนั้น สิ่งลบๆ ต่างๆ จะเข้ามีอิทธิพลเหนือชีวิตของคุณ
อย่าเปิดโอกาสให้มันมาบั่นทอนมาควบคุมครอบงำคุณ

ขอให้จำเอาไว้ว่า ปัญหาของคนอื่น พื้นฐานของคนอื่น ระดับสติปัญญาของคนอื่น เป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับตัวเรา
ในโลกของธุรกิจ อะไรที่ไม่ก่อให้เกิดกำไรเขาไม่ทำกัน ส่วนในชีวิตของคนเรา อะไรที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ก็อย่ารับเข้ามา

อย่าเอาเวลาอันมีค่าของเราที่มี วันละ 24 ชั่วโมงเท่าๆ กับมัน และ เท่าๆ กับคนอื่นๆ ในโลกนี้ ไปเสียให้กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง
แต่เอาเวลามาให้กับตัวเรา ให้กับคนรัก ให้กับครอบครัว ให้กับเพื่อนดีๆ และ ให้กับงานดีกว่า

ส่วนประโยคนี้ เราเจอมาจากในพันทิปนี่แหละ  "จงอย่าอิจฉาชีวิตของคนอื่น แต่จงทำชีวิต และ ใช้ชีวิตของเราให้คนอิจฉา"
(คำไม่เป๊ะเหมือนของเขาทุกคำนะ แต่เป็นประโยคดีๆ ที่เป็นความจริง แนวนี้แหละ)


วิธีที่จะกดพวกมันให้ต่ำ คือ ไม่ต้องพูดอะไร แค่หมั่นฝึกฝนตนเอง ยกระดับของตนเองให้สูงกว่ามันในทุกๆ ด้าน ดียิ่งๆ ขึ้นทุกด้าน
และ หาเงินให้ได้เยอะกว่ามัน มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีชีวิตที่สะดวกสบาย ที่คนอื่นๆ โดยเฉพาะพวกที่ไม่หวังดีต้องมาอิจฉา

ถ้ามันรู้สึกด้อยกว่ามากๆ มันจะไม่กล้ามารังแกคุณ ส่วนคุณก็ได้กด ได้เหยียดมัน โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรสักคำ แค่ทำชีวิตให้ดีๆ แค่นั้นเอง
ทำให้มันต่ำต้อย ด้วยวิธีคิดบวกๆ แบบนี้ ตัวเรามีแต่ได้กับได้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกทั้งฝูง


การปกป้องความเป็นคนไทย และ การปกป้องประเทศไทย ในระดับนานาชาติ คือ การทำตนเองให้ดี ให้เท่าเทียมเขา
ให้เหนือกว่าเขา อย่าทำให้ภาพพจน์ของคนไทย และ ภาพพจน์ของประเทศไทยแย่กว่าเดิม อะไรที่ไม่ดีอย่าทำ
เพราะถ้าจะตอบแบบไม่โลกสวย ก็คือ สิ่งที่เขาว่ามันจริง คนไทยบางกลุ่มในหลายๆ ประเทศเป็นแบบนั้นจริง
มันเป็นปัญหาโลกแตก ที่มีรากฐานของปัญหามาจากหลายๆ อย่าง


ที่คุณเจอมานี่ ยังแค่เบาะๆ แค่พื้นฐานของการเหยียดเบื้องต้น ในบางสังคม ในบางประเทศ สังคมโหดกว่านี้
เถื่อนกว่านี้เยอะ

ฝึกเอาไว้ แล้วคุณจะแกร่งเอง การอยู่ในโลกทุนนิยมในสมัยปัจจุบันนี้ให้รอด ไม่ต้องใช้ปากเก่งนำ ปากเก่งได้ในบางสถานะการณ์
ถ้าหากต้องพูดจริงๆ ก็ต้องพูดให้ตรงประเด็น พูดให้เฉียบคม ชัดเจน สุภาพ พูดด้วยข้อเท็จจริง

แต่ที่สำคัญกว่าคือต้องอยู่ให้รอดด้วยสติปัญญา ไหวพริบ ด้วยความเหนือชั้นกว่า ต้องใช้ความอดทนอดกลั้นขั้นสูงสุด
แล้วเปลี่ยนมันให้เป็นพลังบวกที่เป็นผลประโยชน์ต่อตนเอง ห้ามลดตัวเด็ดขาด ห้ามอ่อนแอเด็ดขาด

คิดบวก แต่ห้ามโลกสวย จำคำของพี่เอาไว้



ความคิดเห็นที่ 8
เจ้าของกระทู้ครับ อย่าไปสนใจหรือใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ครับ มีทุกที่ในโลกนี้ ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม
สังคมระดับไหนก็ตาม อย่าทำให้กรวดทรายเหล่านี้มาทำให้ชีวิตขุ่นข้องหมองศรีเลยครับ

เมื่อตอนที่เรามาสหรัฐอเมริกาใหม่ๆ มีเพื่อนที่ทำงานคนหนึ่ง เป็นคนที่ชอบพูดจาถากถางคนอื่นประจำ
ถามบนโต๊ะรับประทานอาหารกลางวันกับอีกหลายๆคน ถามว่ามาจากเมืองไทยเหรอ เราก็ตอบว่าใช่ เขา
ก็ถามต่อว่า ที่เมืองไทยยังรับประทานหมาอยู่หรือเปล่า เราก็ตอบว่า ที่เมืองไทยไม่ได้รับประทานหมานะ
เพราะตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นคนไทยรับประทานหมา แต่เห็นคนอเมริกัน ร่วมเพศกับหมา ทุกวันนี้ก็ยัง
เห็นอยู่ เวลาไปร้านขายวีดีโอ มีเป็นชั้นๆเลย คิดว่าตัวคุณเองก็เคยเห็นเหมือนกันแหละ

นี่ขนาดไม่อยากจะสนใจหรือใส่ใจนะ แต่ถ้ามา 100 กลับไปต้อง 200
ความคิดเห็นที่ 15
เราเคยทำงานที่โรงพิมพ์ที่เป็นแบบครอบครัวคือแม่ลูกมาทำงานหมด... มีครั้งหนึ่งที่นั่งเรียงกระดาษกันในกลุ่ม ที่เกณฑ์คนสูงวัยมานั่งเรียง มีแม่เจ้าของโรงพิมพ์ด้วย เขานั่งติดกับเรา... เราไม่รู้จะคุยอะไรกับพวกเขา เพราะเขาอายุมากกว่าเรา และไม่รู้จักสนิทอะไรด้วย เราจึงทำงานไปเงียบๆ และมีบ้างบางครั้งที่แม่เจ้าของชวนเราคุยว่า เขามีลูกสะไภ้ที่ลูกชายอีกคนแต่งงานกับผู้หญิงไทยที่มาจากพัทยา หมายถึงทำงานที่พัทยา... เขาถามเราว่ามาจากไหน (ถามว่ามาจากพัทยา?) เราตอบเขาไปว่า ไม่ได้มาจากพัทยา... เราย้ายมาจากนิวยอร์คไปอยู่ที่เยอรมนี เรียนจบป.ตรีที่นิวยอร์ค ทำงานและแต่งงานกับคเยอรมัน ต่อมาย้ายครอบครัวไปอยู่ที่นั่น... เขาไม่ถามเราต่ออีกเลย เพราะไม่มีอะไรที่จะพูดต่ออีกแล้วเกี่ยวกับลูกสะไภ้ของเขา

ถ้าพูดอังกฤษในเยอรมนี คนเยอรมันส่วนมากจะไม่กล้าลบหลู่ดูแคลน และถ้ามาจากอเมริกา เขาจะชวนคุยว่า อยากมาเที่ยวนิวยอร์ค หรือเคยมาเที่ยวแล้ว ชอบมาก อยากกลับมาเที่ยวอีก... เขาจะพยายามคุยด้วยเป็นภาษาอังกฤษ

ลูกสาวลูกครึ่งไทย/เยอรมัน โตในนิวยอร์ค จนแกร่ง พูดคล่องอังกฤษ เยอรมัน... เมื่อย้ายกลับไปเรียนต่อในเยอรมนี ด้วยที่หน้าตาเอเชียน แต่ตัวสูง และสูงกว่าผู้หญิงเยอรมันหลายคน และความที่หน้าตาเอเชียน จึงโดนเพ่งเล็ง และมีการแสดงออก พูดใส่ แต่ลูกเราทันคนอยู่แล้ว ที่เขาจะโต้กลับด้วยภาษาเยอรมัน(ไม่ใช้คำหยาบ และผิดกฏหมายด้วยถ้าใช้คำหยาบ) ลูกเราพูดใช้เหตุผลจนคนนั้นไปไม่เป็น... ถ้าคนเยอรมันเริ่มก่อน แล้วลูกเราจะโต้กลับและจะไม่หยุดจนกว่าคนนั้นจะต้องเดินจากไปเอง... คนเยอรมันส่วนมากไม่ชอบ confrontation คือตัวเองเริ่มหาเรือ่งก่อน และคิดว่าคนที่ถูกหาเรื่องยอมให้ถูก picked on แต่คนที่ถูก picked on เกิดไม่หยุดล่ะ เขายังไปต่อได้อีกเรื่อยๆ... อยากเริ่มต้นหาเรื่องก่อนนิ

ลูกสาวเล่าให้ฟังว่า ตอนไปชมดวงอาทิตย์กำลังลับฟ้าที่จุดชมวิวแห่งหนึ่งในมิวนิค เขาไปกับเพื่อนผู้หญิงหนึ่งคน มีของกินแซนวิช นั่งคุยกันเบาๆ และมีกลุ่มเยอรมันอื่นๆนั่งชมวิว ปิคนิคนำของกินวางกระจายแบ่งกันกินในกลุ่มของพวกเขา คุยเยอรมันกันดังกว่า... และมีผู้หญิงเยอรมันที่นั่งอ่านหนังสือก่อนหน้านั้น เกิดมาบอกให้ลูกเราหยุดคุยกัน ให้ย้ายไปนั่งที่อื่น เพราะทำลายสมาธิอ่านหนังสือของเขา แต่ผู้หญิงไม่ไปบอกกลุ่มที่ใหญ่กว่าหลายกลุ่มนั่งปิคนิคดื่มไวน์คุยเฮฮากัน... ลูกเราเลยสวนกลับไปว่า ให้เขาไปบอกกลุ่มโน้นสิ ที่คุยเสียงดังกว่ามาก ทำไมถึงไม่กล้าไปห้ามเขาล่ะ... และที่ตรงนี้ไม่ใช่ห้องสมุด ที่จะต้องมานั่งเงียบๆ มาสั่งให้เขาห้ามคุยกัน... อยากมีสมาธิอ่านหนังสือ ก็ควรไปหาที่อื่นๆที่ไม่ใช่จุดชมวิวสาธารณะ ที่คนอื่นๆมานั่งได้เหมือนกัน... ไม่ใช่ที่ของเขาคนเดียว ที่คนอื่นๆต้องเงียบ เพื่อเขาจะได้อ่านหนังสืออย่างสงบ

ผู้หญิงเยอรมันถามว่า ทำไมเขา(ลูกเรา) ถึงไม่หยุด ในเมื่อเขาหยุดแล้ว... ลูกเราโต้กลับว่า เพราะคุณเริ่มต้นก่อนไง ฉันยังไม่พอใจที่จะหยุด ที่คุณมาสั่งให้เขาย้ายไปนั่งที่อื่นไกลๆจากเขา ในเมื่อคนอื่นๆนั่งใกล้ๆกันทั้งนั้น และฉันพอใจที่จะนั่งตรงนี้ เธอไม่พอใจมันเรื่องของเธอ... คราวนี้ลูกเรากับเพื่อนเลยคุยเสียงดังเหมือนคนอื่นๆบ้าง ไม่ต้องออมเสียงกันแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่