สวัสดีค่ะนี้เป็นกระทู้แรกของเรา อาจจะมีเขียนผิดๆถูกๆ ข้อความ เรื่องราวไม่ค่อยต่อเนื่องกันบ้างนะคะ
หลังจากเรียนจบก็คุยกับเพื่อน "เฮ้ยจะไปเที่ยวที่ไหนดี" สรุปกันว่าไปสังขะบุรี ทริปครั้งนี้เป็นทริปที่ 5 คืน 4 วัน เดินทางด้วยรถไฟฟรี ทั้งไปและกลับ
เริ่มต้นการเดินทางด้วยรถไฟที่จังหวัดขอนแก่น ตอนแรกไปสถานีเก่าที่กำลังปรับปรุง ในใจตายแล้วววว.. ลืมไปว่าเขาย้ายไปหลังโลตัสจะไปทันไหมเนี่ย เลยต้องนั่งรถสองแถวไป ไปถึงก็เย็นๆท้องฟ้ากำลังสีสวยเลย
จากนั้นก็ขอตั๋วฟรีแล้วก็ไปเดินรอห้างรอ มีกับข้าวลดราคาอีก มื้อนี้ราคาถูกจริงๆ กลับไปรอขึ้นรถไฟ เจ้าหน้าที่ประกาศ "รถไฟขบวนที่เรานั่งมาช้า" ในใจคิดอีกเเล้วจะทันรถไฟไปกาญจนบุรีทันไหม เพราะรถไฟที่จะไปกาญเราต้องขึ้นรอบเช้าเท่านั้น แต่ก็รอจนได้
เช้ามารถไฟมาถึงสถานีหัวลำโพงตรงเวลา เรารีบไปขึ้นแท๊กซี่ต่อไปสถานีธนบุรี (จากสถานีหัวลำโพงไม่มีขบวนรถไปจังหวัดกาญจนบุรี)
คุณลุงคนขับไม่รู้เส้นทางพาหลงแต่สุดท้ายก็ถึงจนได้ด้วยค่ารถ 90 บาทจาก 100 บาท ถึงที่หมายเราก็ไปขอตั๋วรถไฟไปสถานีน้ำตก วันหนึ่งจะมีรถ 2 รอบคือเช้าและบ่าย สถานีน้ำตกเป็นสถานีสุดท้ายของรถไฟขบวนนี้ วิวระหว่างทางสวยมากยิ่งตั้งแต่สถานีกาญจนบุรียิ่งสวย (แต่เราถ่ายไม่ค่อยสวย)
ระหว่างทางเห็นภูเขาเป็น background ตลอด
ถึงสถานีน้ำตกแล้วก็ต่อด้วยรถสองแถว มาลงที่หน้าน้ำตกไทรโยคน้อยด้วยราคา 20 บาท
คุณลุงคนขับรถถามว่าพวกเราจะไปที่ไหนต่อเราบอกไปสังขะบุรี ลุงบอกว่ารถมาชั่วโมงละคัน รออยู่สักพักหนึ่งอดใจเสียงของน้ำตกไม่ไหวเลยเดินเข้าไปในน้ำตกเดินข้ามถนนเดินๆขึ้นๆบันไดก็จะเห็นน้ำตก น้ำใสๆเย็นๆ
จากนั้นลงมารอรถเมล์สีแดงที่เดิม คุณ้ากระเป๋ารถบัสบอกว่านี่เป็นรถรอบสุดท้ายจะจอดรอรับนักเรียนหลังเลิกเรียนด้วย ค่าตั๋ว 130 บาท นั่งรถไปสักพักหนึ่งก็จะมีคนมาขอดูบัตรประชาชน รถรถไปเรื่อยๆ เห็นวิวภูเขา แม่น้ำ น้ำตก ถ้ำ วัดสวยๆทั้งนั้น ตลอดการเดินทางฝนตกหนักบ้าง เบาบ้างระหว่างทางก็เป็นทางชันๆ พอถึงที่นั่นเราต่อวินมอไซค์ไปส่งที่ P - Guesthouse ราคา 20 บาท เราพักห้องราคา 400 บาท/คืน พักทั้งหมด 2 วัน เย็นวันนี้วางแผนว่าจะเดินสะพานมอญแต่ก็ต้องเสียใจเพราะว่าฝนตกลงมาไม่หยุดสักที ทำให้วันนี้เป็นวันที่ต้องนอนเร็วที่สุดเพราะ 5 ปีที่ผ่านมาไม่เคยนอนเร็วเลยแต่วันนี้ ต้องนอนเพราะว่าไม่มีอะไรทำ
วิวที่มองจากที่พักตอนค่ำๆ
ตอนเช้า
เช้าวันต่อมาเราเช่ามอไซค์ของ Guesthouse ราคา 200 บาท จุดหมายเเรกของวันนี้คือ สะพานมอญที่เป็นสะพานไม้
ตอนไปถึงมีทัวร์ล่องเรือชมวัดชวน แต่เราไม่ลงไปกัน เเพราะมีคนกลัวน้ำเลยไม่ได้ไปชมวัด (ถ้ามีใครจะไปชมวัด ต้องนั่งเรือเท่านั้น)
วิถีชีวิตของคนแถวนี้ก็น่าจะเหมือนเดิม เรานั่งมองจากสะพานก็ยังเห็นคุณลุงตกปลาจากบนเรือ
มีนักท่องเที่ยวพายเรือบ้าง เสียงเครื่องยนต์ของเรือนำเที่ยวก็ดังบ้างเพราะที่นี่เงียบจริงๆ ถ้ามาคนเดียวน่าจะเหงาๆหน่อย
บรรยายกาศที่นี่ดีมาก อากาศเย็นๆจากที่ฝนตกเมื่อวาน
จากสะพานก็จะมองเห็นวิวภูเขาที่อยู่ด้านหลังสุดแม่น้ำและรีสอร์ททั้งหลายและมองเห็นวัดเจดีย์อีกด้านหนึ่งก็จะมองเห็นสะพานซองกาเลีย
วิวจากสะพานซองกาเลีย
จุดหมายที่ 2 เราไปเจดีย์กันต่อ ด้านข้างของเจดีย์จะมองเห็นแม่น้ำ
ข้างนอกที่อากาศดูร้อนๆ แต่เดินเข้าไปในวัดแล้วอากาศเย็น จากนั้นเราเลือกกินข้าวที่ร้านหน้าเจดีย์มีร้านอาหารอยู่หลาย เราเลือกกินก๋วยเตี๋ยวแล้วก็ส้มตำส้มตำที่นี่จะเป็นปลาร้าดิบ อร่อยไปอีกแบบ อาหารจานละ 30 บาท สำหรับเราถือว่าถูกกว่าที่อื่น
จุดหมายที่ 3 เราขี่รถต่อไปที่วัด ด้านในศาลาจะมีการเพ้นท์ผนังลวดลายสวยงามและเข้าไปในโบสถ์จะเป็นโบสถ์ที่สร้างสระน้ำล้อมรอบโบส์ถ
((ไม่มีรูป ถ้าได้ไป ต้องไปดูกันเอง))
จากนั้นเราไปอุทยานแห่งชาติเขาแหลมต่อ ระยะทางไกลมากจากที่เปิดดูในแผนที่แต่เราก็ไป ขี่รถไปไม่ถึง 10 กิโล ถนนน่ากลัวมากคุยกับเพื่อนว่าจะไปต่อไหมเพื่อนสองจิตสองใจ ก็เลยตกลงกันว่าจะไปต่อระหว่างทางเป็นภูเขาทั้งชัน ทั้งโค้งเยอะ จากที่ดูวิวด้านซ้ายเป็นภูเขาด้านขวาเป็นแม่น้ำ จากที่วิวสวยๆยังแอบน่ากลัวขึ้นมาขี่ไปเรื่อยๆก็ถึงอุทยานแห่งชาติจะอยู่ด้านขวา ชื่อจุดชมวิวป้อมปี่พอไปถึงยังไม่ทันได้จอดรถฝนตกลงมาเราเข้าไปหลบฝนด้านในร้านอาหาร คุยกับเพื่อนว่าถ้าฝนไม่หยุดตกเราคงได้นอนที่นี่ ฝนตกนานประมาณ 1 ชั่วโมงได้ฝนหยุดเราเลยเดินลงมาข้างล่างเป็นบรรยากาศที่สวยฟ้าค่อยๆเริ่มเปิดเริ่มมองเห็นภูเขาบรรยากาศที่นี่ดี เงียบสงบมีนักท่องเที่ยวรวมเราร่าจะ 3 คน น้อยจริงๆ
จากนั้นไม่เย็นมากนักเราก็ขี่รถกลับมาระหว่างทางจอดรถถ่ายรูปนั้นนี่
ถ่ายจากสะพาน(ทางไปสังขระบุรี จำชื่อสะพานไม่ได้)
วิวระหว่างทาง
ฝน ฝนตกอีกแล้ววว...
ระหว่างทางฝนก็ตกหนักมากๆแต่ก็ไม่แคร์ค่ะ ขี่กลับมาได้อย่างเปียกปอน หิวข้าวสุดๆ เราเลยแวะมากินที่ตลาดกินข้าวกะเพราราคา 40 บาท เดินเข้าไปในตลาดเห็นเมนูเขียนว่ายำข้าวซอยเราก็นึกว่าจะเหมือนข้าวซอยที่เชียงใหม่แต่พอสั่งแล้วจะเป็นเหมือนเส้นสปาเกตตี้เอามายำอร่อยมากราคา 20 บาทได้เยอะอิ่มกินไม่หมดเลยค่ะ คุณป้าคนข้าวก็ใจดีบรรยายสรรพคุณของวัตถุดิบนั้นนี้ (ลืมถ่ายรูปยำข้าวซอย แต่ถ้าใครได้ไปต้องลอง)
กลับมาอาบน้ำรอฝนเบาลง เราก็กลับไปตลาดอีกครั้ง ครั้งนี้เราจะไปลองหมูจุ่ม
ทางร้านจะมีถ้วยมาให้ซดน้ำด้วย ตอนแรกก็เค็มๆหน่อย แต่เอามาเติมก็จะรสชาติพอดีๆเค็มๆนัวร์ๆ
จากนั้นกลับมานอนวันนี้หมดสภาพเลย เหนื่อยมาก เหมือนจะเป็นไข้กันทั้ง 2 คน
ตื่นเช้ามาไม่เป็นไรจ้าสบายดี เราก็ขี่รถออกมากินข้าวที่ตลาด วันนี้ลองกินเมนูใหม่บ้างกินขนมจีนน้ำกะทิรสชาติของน้ำซุปเราว่าเหมือนมาม่าช้างน้อยรสข้าวโพดที่เคยกินตอนเด็กขนมจีนน้ำกะทิราคา 10 บาท
แล้วเราก็ซื้อขนมต่อจะเป็นขนมเหมือนโดนัทที่จะเป็นแป้งเหนียวๆมีน้ำตาลเคลือบน้ำตาลจะแข็งๆหวานๆแต่ดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลืออกิน เอ่าไม่ใช่แล้วๆ โดยรวมแล้วอร่อย เราซื้อขนมปอเปี๊ยะอันนี้ก็อร่อยเหมือนกันจะเป็นขนมเจที่ร้านเขาบอกมาจะมีซอสให้จิ้มด้วย (ดูรูปแล้วอย่าคิดไปไกล)
กินเสร็จแล้วขี่รถกลับที่พักเอารถคืนแล้วจัดกระเป๋าเวลาเหลือเยอะเราเลยเดินจากที่พักไปสะพานมอญเพราะว่าเมื่อวานลืมซื้อยาดม ซื้อโปสการ์ด
พอซื้อเสร็จก็กลับมาที่พักและเช็คเอาท์ เราโทรเรียกวินมอไซในราคา 20 บาทไปส่งที่ท่ารถพอไปถึงคุณลุงก็บอกว่ารถออกบ่ายโมง เราก็รอ รอ รอ แล้วถึงบ่ายโมงก็ขึ้นรถบัสสีแดงเหมือนเดิมราคา 130 บาทส่งที่ตัวกาญจนบุรี
ไปถึงกาญจนบุรีเราก็แวะกินข้าว แถวขนส่งจากนั้นเราก็เดินไปที่พักอยู่แถวสุสานพอไปถึงก็เย็นๆแล้ว เราก็เช่ามอไซค์ต่อด้วยราคา 200 บาทเอาของไปเก็บในห้องแล้วเราก็ไปสะพานข้ามแม่น้ำแคว เขาจะเปิดไฟถึงประมาณสี่ทุ่ม
วันต่อมาเราขี่มอไซค์ไปพิพิธภัณฑ์ 2 ที่
ที่แรก
วิวที่มองจากพิพิธภัณฑ์
ที่ที่ 2 เราไปพิพิธภัณฑ์รถไฟค่าเข้า 100 บาทในพิพิธภัณฑ์จะบอกถึง ประวัติการสร้างทางรถไฟสายมรณะ (ที่นี่ห้ามถ่ายรูป) จากนั้นเราเดินมาด้านข้างไป สุสาน
มีทหารที่เป็นคนต่างชาติมาวางดอกไม้ด้วย
เวลาประมาณ 11:00 น. แล้วก็ไปเช็คเอาท์แล้วเอารถเช่าไปคืนเดินไปยังสถานีรถไฟ ซื้อตั๋ว(ฟรี)จากกาญจนบุรีไปสถานีธนบุรี (กรุงเทพ)
มาถึงสถานีธนบุรีหาแท็กซี่ยากมาก มากจริงๆ ก็เลยลองถามราคารถตุ๊กตุ๊ก รถตุ๊กตุ๊กบอกว่าไปหัวลำโพง 200 บาทวินมอเตอร์ไซค์คนละ 150 บาท เราเลยรอแท๊กซี่ดีกว่า พอได้รถแท๊กซี่ไปถึงหัวลำโพง 80 บาท ถูกกว่าตอนมากอีก จากนั้นไปซื้อตั๋ว (ฟรีอีกตามเคย) รอรถไฟมาเลยออกมากินข้าวหน้าสถานีหัวลำโพง
ท้องฟ้าครึ้มไปด้วยเมฆฝน รีบกินข้าวแล้วเข้าไปในสถานีและฝนก็ตกลงมาที่ๆเรานั่ง หลังคารั่วด้วย จากนั้นไม่นานก็ถึงเวลาเราก็ขึ้นรถไฟ
กลับขอนแก่นโดยสวัสดิภาพ
สรุป ที่สังขละบุรีเป็นสถานที่ ที่สงบ ร่มรื่น บรรยายกาศดี (แต่ช่วงเทศกาลอาจจะไม่ เราไปวันศุกร์ เสาร์ คนน้อยมาก)
ถ้าใครชอบวิถีสโลไลฟ์ แนะนำให้มาที่นี่
ราคาอาหารที่นี่ถือว่าถูกมาก และอร่อย (ทุกร้านที่เรากิน)
สถานที่เที่ยวระหว่างทางเยอะมาก
บันทึกการเดินทางที่สังขละบุรี
หลังจากเรียนจบก็คุยกับเพื่อน "เฮ้ยจะไปเที่ยวที่ไหนดี" สรุปกันว่าไปสังขะบุรี ทริปครั้งนี้เป็นทริปที่ 5 คืน 4 วัน เดินทางด้วยรถไฟฟรี ทั้งไปและกลับ
เริ่มต้นการเดินทางด้วยรถไฟที่จังหวัดขอนแก่น ตอนแรกไปสถานีเก่าที่กำลังปรับปรุง ในใจตายแล้วววว.. ลืมไปว่าเขาย้ายไปหลังโลตัสจะไปทันไหมเนี่ย เลยต้องนั่งรถสองแถวไป ไปถึงก็เย็นๆท้องฟ้ากำลังสีสวยเลย
จากนั้นก็ขอตั๋วฟรีแล้วก็ไปเดินรอห้างรอ มีกับข้าวลดราคาอีก มื้อนี้ราคาถูกจริงๆ กลับไปรอขึ้นรถไฟ เจ้าหน้าที่ประกาศ "รถไฟขบวนที่เรานั่งมาช้า" ในใจคิดอีกเเล้วจะทันรถไฟไปกาญจนบุรีทันไหม เพราะรถไฟที่จะไปกาญเราต้องขึ้นรอบเช้าเท่านั้น แต่ก็รอจนได้
เช้ามารถไฟมาถึงสถานีหัวลำโพงตรงเวลา เรารีบไปขึ้นแท๊กซี่ต่อไปสถานีธนบุรี (จากสถานีหัวลำโพงไม่มีขบวนรถไปจังหวัดกาญจนบุรี)
คุณลุงคนขับไม่รู้เส้นทางพาหลงแต่สุดท้ายก็ถึงจนได้ด้วยค่ารถ 90 บาทจาก 100 บาท ถึงที่หมายเราก็ไปขอตั๋วรถไฟไปสถานีน้ำตก วันหนึ่งจะมีรถ 2 รอบคือเช้าและบ่าย สถานีน้ำตกเป็นสถานีสุดท้ายของรถไฟขบวนนี้ วิวระหว่างทางสวยมากยิ่งตั้งแต่สถานีกาญจนบุรียิ่งสวย (แต่เราถ่ายไม่ค่อยสวย)
ระหว่างทางเห็นภูเขาเป็น background ตลอด
ถึงสถานีน้ำตกแล้วก็ต่อด้วยรถสองแถว มาลงที่หน้าน้ำตกไทรโยคน้อยด้วยราคา 20 บาท
คุณลุงคนขับรถถามว่าพวกเราจะไปที่ไหนต่อเราบอกไปสังขะบุรี ลุงบอกว่ารถมาชั่วโมงละคัน รออยู่สักพักหนึ่งอดใจเสียงของน้ำตกไม่ไหวเลยเดินเข้าไปในน้ำตกเดินข้ามถนนเดินๆขึ้นๆบันไดก็จะเห็นน้ำตก น้ำใสๆเย็นๆ
จากนั้นลงมารอรถเมล์สีแดงที่เดิม คุณ้ากระเป๋ารถบัสบอกว่านี่เป็นรถรอบสุดท้ายจะจอดรอรับนักเรียนหลังเลิกเรียนด้วย ค่าตั๋ว 130 บาท นั่งรถไปสักพักหนึ่งก็จะมีคนมาขอดูบัตรประชาชน รถรถไปเรื่อยๆ เห็นวิวภูเขา แม่น้ำ น้ำตก ถ้ำ วัดสวยๆทั้งนั้น ตลอดการเดินทางฝนตกหนักบ้าง เบาบ้างระหว่างทางก็เป็นทางชันๆ พอถึงที่นั่นเราต่อวินมอไซค์ไปส่งที่ P - Guesthouse ราคา 20 บาท เราพักห้องราคา 400 บาท/คืน พักทั้งหมด 2 วัน เย็นวันนี้วางแผนว่าจะเดินสะพานมอญแต่ก็ต้องเสียใจเพราะว่าฝนตกลงมาไม่หยุดสักที ทำให้วันนี้เป็นวันที่ต้องนอนเร็วที่สุดเพราะ 5 ปีที่ผ่านมาไม่เคยนอนเร็วเลยแต่วันนี้ ต้องนอนเพราะว่าไม่มีอะไรทำ
วิวที่มองจากที่พักตอนค่ำๆ
ตอนเช้า
เช้าวันต่อมาเราเช่ามอไซค์ของ Guesthouse ราคา 200 บาท จุดหมายเเรกของวันนี้คือ สะพานมอญที่เป็นสะพานไม้
ตอนไปถึงมีทัวร์ล่องเรือชมวัดชวน แต่เราไม่ลงไปกัน เเพราะมีคนกลัวน้ำเลยไม่ได้ไปชมวัด (ถ้ามีใครจะไปชมวัด ต้องนั่งเรือเท่านั้น)
วิถีชีวิตของคนแถวนี้ก็น่าจะเหมือนเดิม เรานั่งมองจากสะพานก็ยังเห็นคุณลุงตกปลาจากบนเรือ
มีนักท่องเที่ยวพายเรือบ้าง เสียงเครื่องยนต์ของเรือนำเที่ยวก็ดังบ้างเพราะที่นี่เงียบจริงๆ ถ้ามาคนเดียวน่าจะเหงาๆหน่อย
บรรยายกาศที่นี่ดีมาก อากาศเย็นๆจากที่ฝนตกเมื่อวาน
จากสะพานก็จะมองเห็นวิวภูเขาที่อยู่ด้านหลังสุดแม่น้ำและรีสอร์ททั้งหลายและมองเห็นวัดเจดีย์อีกด้านหนึ่งก็จะมองเห็นสะพานซองกาเลีย
วิวจากสะพานซองกาเลีย
จุดหมายที่ 2 เราไปเจดีย์กันต่อ ด้านข้างของเจดีย์จะมองเห็นแม่น้ำ
ข้างนอกที่อากาศดูร้อนๆ แต่เดินเข้าไปในวัดแล้วอากาศเย็น จากนั้นเราเลือกกินข้าวที่ร้านหน้าเจดีย์มีร้านอาหารอยู่หลาย เราเลือกกินก๋วยเตี๋ยวแล้วก็ส้มตำส้มตำที่นี่จะเป็นปลาร้าดิบ อร่อยไปอีกแบบ อาหารจานละ 30 บาท สำหรับเราถือว่าถูกกว่าที่อื่น
จุดหมายที่ 3 เราขี่รถต่อไปที่วัด ด้านในศาลาจะมีการเพ้นท์ผนังลวดลายสวยงามและเข้าไปในโบสถ์จะเป็นโบสถ์ที่สร้างสระน้ำล้อมรอบโบส์ถ
((ไม่มีรูป ถ้าได้ไป ต้องไปดูกันเอง))
จากนั้นเราไปอุทยานแห่งชาติเขาแหลมต่อ ระยะทางไกลมากจากที่เปิดดูในแผนที่แต่เราก็ไป ขี่รถไปไม่ถึง 10 กิโล ถนนน่ากลัวมากคุยกับเพื่อนว่าจะไปต่อไหมเพื่อนสองจิตสองใจ ก็เลยตกลงกันว่าจะไปต่อระหว่างทางเป็นภูเขาทั้งชัน ทั้งโค้งเยอะ จากที่ดูวิวด้านซ้ายเป็นภูเขาด้านขวาเป็นแม่น้ำ จากที่วิวสวยๆยังแอบน่ากลัวขึ้นมาขี่ไปเรื่อยๆก็ถึงอุทยานแห่งชาติจะอยู่ด้านขวา ชื่อจุดชมวิวป้อมปี่พอไปถึงยังไม่ทันได้จอดรถฝนตกลงมาเราเข้าไปหลบฝนด้านในร้านอาหาร คุยกับเพื่อนว่าถ้าฝนไม่หยุดตกเราคงได้นอนที่นี่ ฝนตกนานประมาณ 1 ชั่วโมงได้ฝนหยุดเราเลยเดินลงมาข้างล่างเป็นบรรยากาศที่สวยฟ้าค่อยๆเริ่มเปิดเริ่มมองเห็นภูเขาบรรยากาศที่นี่ดี เงียบสงบมีนักท่องเที่ยวรวมเราร่าจะ 3 คน น้อยจริงๆ
จากนั้นไม่เย็นมากนักเราก็ขี่รถกลับมาระหว่างทางจอดรถถ่ายรูปนั้นนี่
ถ่ายจากสะพาน(ทางไปสังขระบุรี จำชื่อสะพานไม่ได้)
วิวระหว่างทาง
ฝน ฝนตกอีกแล้ววว...
ระหว่างทางฝนก็ตกหนักมากๆแต่ก็ไม่แคร์ค่ะ ขี่กลับมาได้อย่างเปียกปอน หิวข้าวสุดๆ เราเลยแวะมากินที่ตลาดกินข้าวกะเพราราคา 40 บาท เดินเข้าไปในตลาดเห็นเมนูเขียนว่ายำข้าวซอยเราก็นึกว่าจะเหมือนข้าวซอยที่เชียงใหม่แต่พอสั่งแล้วจะเป็นเหมือนเส้นสปาเกตตี้เอามายำอร่อยมากราคา 20 บาทได้เยอะอิ่มกินไม่หมดเลยค่ะ คุณป้าคนข้าวก็ใจดีบรรยายสรรพคุณของวัตถุดิบนั้นนี้ (ลืมถ่ายรูปยำข้าวซอย แต่ถ้าใครได้ไปต้องลอง)
กลับมาอาบน้ำรอฝนเบาลง เราก็กลับไปตลาดอีกครั้ง ครั้งนี้เราจะไปลองหมูจุ่ม
ทางร้านจะมีถ้วยมาให้ซดน้ำด้วย ตอนแรกก็เค็มๆหน่อย แต่เอามาเติมก็จะรสชาติพอดีๆเค็มๆนัวร์ๆ
จากนั้นกลับมานอนวันนี้หมดสภาพเลย เหนื่อยมาก เหมือนจะเป็นไข้กันทั้ง 2 คน
ตื่นเช้ามาไม่เป็นไรจ้าสบายดี เราก็ขี่รถออกมากินข้าวที่ตลาด วันนี้ลองกินเมนูใหม่บ้างกินขนมจีนน้ำกะทิรสชาติของน้ำซุปเราว่าเหมือนมาม่าช้างน้อยรสข้าวโพดที่เคยกินตอนเด็กขนมจีนน้ำกะทิราคา 10 บาท
แล้วเราก็ซื้อขนมต่อจะเป็นขนมเหมือนโดนัทที่จะเป็นแป้งเหนียวๆมีน้ำตาลเคลือบน้ำตาลจะแข็งๆหวานๆแต่ดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลืออกิน เอ่าไม่ใช่แล้วๆ โดยรวมแล้วอร่อย เราซื้อขนมปอเปี๊ยะอันนี้ก็อร่อยเหมือนกันจะเป็นขนมเจที่ร้านเขาบอกมาจะมีซอสให้จิ้มด้วย (ดูรูปแล้วอย่าคิดไปไกล)
กินเสร็จแล้วขี่รถกลับที่พักเอารถคืนแล้วจัดกระเป๋าเวลาเหลือเยอะเราเลยเดินจากที่พักไปสะพานมอญเพราะว่าเมื่อวานลืมซื้อยาดม ซื้อโปสการ์ด
พอซื้อเสร็จก็กลับมาที่พักและเช็คเอาท์ เราโทรเรียกวินมอไซในราคา 20 บาทไปส่งที่ท่ารถพอไปถึงคุณลุงก็บอกว่ารถออกบ่ายโมง เราก็รอ รอ รอ แล้วถึงบ่ายโมงก็ขึ้นรถบัสสีแดงเหมือนเดิมราคา 130 บาทส่งที่ตัวกาญจนบุรี
ไปถึงกาญจนบุรีเราก็แวะกินข้าว แถวขนส่งจากนั้นเราก็เดินไปที่พักอยู่แถวสุสานพอไปถึงก็เย็นๆแล้ว เราก็เช่ามอไซค์ต่อด้วยราคา 200 บาทเอาของไปเก็บในห้องแล้วเราก็ไปสะพานข้ามแม่น้ำแคว เขาจะเปิดไฟถึงประมาณสี่ทุ่ม
วันต่อมาเราขี่มอไซค์ไปพิพิธภัณฑ์ 2 ที่
ที่แรก
วิวที่มองจากพิพิธภัณฑ์
ที่ที่ 2 เราไปพิพิธภัณฑ์รถไฟค่าเข้า 100 บาทในพิพิธภัณฑ์จะบอกถึง ประวัติการสร้างทางรถไฟสายมรณะ (ที่นี่ห้ามถ่ายรูป) จากนั้นเราเดินมาด้านข้างไป สุสาน
มีทหารที่เป็นคนต่างชาติมาวางดอกไม้ด้วย
เวลาประมาณ 11:00 น. แล้วก็ไปเช็คเอาท์แล้วเอารถเช่าไปคืนเดินไปยังสถานีรถไฟ ซื้อตั๋ว(ฟรี)จากกาญจนบุรีไปสถานีธนบุรี (กรุงเทพ)
มาถึงสถานีธนบุรีหาแท็กซี่ยากมาก มากจริงๆ ก็เลยลองถามราคารถตุ๊กตุ๊ก รถตุ๊กตุ๊กบอกว่าไปหัวลำโพง 200 บาทวินมอเตอร์ไซค์คนละ 150 บาท เราเลยรอแท๊กซี่ดีกว่า พอได้รถแท๊กซี่ไปถึงหัวลำโพง 80 บาท ถูกกว่าตอนมากอีก จากนั้นไปซื้อตั๋ว (ฟรีอีกตามเคย) รอรถไฟมาเลยออกมากินข้าวหน้าสถานีหัวลำโพง
ท้องฟ้าครึ้มไปด้วยเมฆฝน รีบกินข้าวแล้วเข้าไปในสถานีและฝนก็ตกลงมาที่ๆเรานั่ง หลังคารั่วด้วย จากนั้นไม่นานก็ถึงเวลาเราก็ขึ้นรถไฟ
กลับขอนแก่นโดยสวัสดิภาพ
สรุป ที่สังขละบุรีเป็นสถานที่ ที่สงบ ร่มรื่น บรรยายกาศดี (แต่ช่วงเทศกาลอาจจะไม่ เราไปวันศุกร์ เสาร์ คนน้อยมาก)
ถ้าใครชอบวิถีสโลไลฟ์ แนะนำให้มาที่นี่
ราคาอาหารที่นี่ถือว่าถูกมาก และอร่อย (ทุกร้านที่เรากิน)
สถานที่เที่ยวระหว่างทางเยอะมาก