[กระทู้นี้ไม่ใช่การรีวิว เป็นเหมือนการเล่าเรื่องซะมากกว่า
รูปก็มีบ้างไม่มีบ้าง บางทีก็ขี้เกียจถ่าย กระทู้นี้เลยจะมีแต่ตัวหนังสือเต็มไปหมด
ใครอยากได้ข้อมูลในการเดินทางกระทู้นี้อาจจะไม่ช่วยซักเท่าไหร่ แถมมีคำหยาบ คำสบถหลุดออกมาเต็มไปหมดอีกด้วย
ใครทำใจได้แล้วก้าวขาจากชานชลา ตามขึ้นรถไฟขบวนนี้มาโดยพลัน ปู๊น ปู๊น]
ขอเปิดกระทู้ด้วยรูปฟิลม์สไตล์ Pantip เรียกแขก
INTRO
รู้หมือไร่ เส้นรอบวงของโลกใบนี้ มีความยาวประมาณ 40,000 กม. ส่วน
การเดินทางจาก Lisbon ถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงด้วยรถไฟแบบยาวๆ ซิกแซ็คไปมา นิดๆ จะรวมระยะทางน่าจะเกือบ 20,000 กม. เห็นจะได้ ถ้าไทยยังไม่มีรถไฟระหว่างประเทศ และลาวหรือกัมพูชายังไม่สร้างทางรถไฟไปต่อกับเวียดนามหรือจีน เส้นทางนี้ก็ยังถือเป็นเส้นทางรถไฟที่ยาวที่สุดบนโลก ณ ขณะนี้ และเส้นทางนี้แหละที่จะเป็นเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้เพราะว่าปีที่แล้ว ผมกำลังศึกษาชั้นปริญญาโทอยู่ที่ CMMU (วิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดิล) หลักสูตรนานาชาติ
แถมยังเป็นเทอมสุดท้ายแล้วด้วย เรียกได้ว่าลงวิชาเรียนครบหมดแล้ว เหลือเพียงแค่สารนิพนธ์ที่ยังต้องทำส่ง ผมก็เลยอุตริลองส่งไปสมัครดู
ปรากฏว่า เห้ย แม่มได้ว่ะ!!!
ผมได้รับคัดเลือกให้ได้รับทุนนักเรียกแลกเปลี่ยนไปที่มหาวิทยาลัย Ludwig Maximilian University ที่เมืองมิวนิค จาก Erasmus (โครงการที่สนับสนุนการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาในยุโรป) เป็นเวลา 1 ภาคเรียน
ซึ่งระยะเวลาการศึกษาคือระหว่างเดือนมีนาคม - กรกฏาคม 2559 (ช่วงมีนาคมคือการเรียนภาษา และหลังจากนั้นคือการเรียนจริงๆ 1 เทอม)
ส่วน VISA ที่ผมขอไว้น่ะหรอ... ก็ต้องขอให้มันยาวที่สุดที่เราทำได้สิวะ!!!
เจ้าหน้าที่สถานฑูตให้ VISA เชงเก้นของผมจนถึงสิ้นเดือนกันยายน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ต่อการร่วมงาน Oktoberfest ที่ใฝ่ฝัน
ส่วนเพื่อนๆ คนอื่นๆ ที่ไปพร้อมกันได้ VISA แค่เดือนกรกฏาคมหรือสิงหาคม เพราะเค้าเรียนจบไปตั้งแต่เดือนกรกฏาคมแล้ว แถมทุนที่ Erasmus ให้ค่าอยู่ค่ากินก็จบตั้งแต่เดือนนั้นเช่นกัน
เรื่องทุกอย่างที่กำลังจะเล่าเกิดขึ้นระหว่างเดือนกันยายน - พฤศจิกายนเมื่อปีที่แล้ว
ตอนแรกช่วงนี้ในปีที่แล้วผมก็เขียนเล่าเหตุการณ์ระหว่างการเดินทางนี้ไปเรื่อยใน Facebook ส่วนตัว ให้เพื่อนมาๆ Comment พูดคุยแก้เหงา เพราะน้ำลายบูดมาก อยากสนทนากับสิ่งมีชีวิต แล้วตอนนั้นเพื่อนๆ ก็เข้ามาติดตามอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง บอกให้เปิด Page งี้ มาเขียน Pantip งี้
แต่สุดท้ายแล้ว ตอนนั้นผมก็ไม่ได้เปิด Page หรือ Blog อะไร สารภาพตามตรงเลยว่า... ขี้เกียจ
และอีกอย่างนึงคือ ตอนนั้นผมแอบคิดการณ์ใหญ่อยู่ในใจ ว่าจะถอนทุนค่าเดินทางโดยการเอาเรื่องที่เจอระหว่างการเดินทางมาเขียนเป็น Pocket Book ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เผื่อได้เป็น Best Seller ขึ้นมา จะได้คิดซะว่าที่เที่ยวไปเป็นเรื่องงานล้วนๆ
(อีกอย่างนึงคือถ้าชีวิตนี้ได้มี Pocket Book ของตัวเองซักเล่ม คงเอาไปโม้ได้ชั่วลูกชั่วหลาน จ๊าบส์ระเบิดระเบ้อ)
จนมาถึงวันนี้ ผ่านไปจะปีแล้วไปเรื่องที่จะเขียนก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้นมาเลย ไหนๆ แพลนถอนทุนก็ล่มเพราะความขี้เกียจแล้ว ก็ขอเล่ามันตรงนี้เลยละกัน
อย่างน้อยถ้าโชคดี ก็อาจจะมีซักคนสองคนที่บ้าบอ ออกไปทำตามอำเภอใจแบบนี้บ้าง ให้พ่อแม่ ญาติพี่น้อง แฟน ผัว เมีย เค้าได้เป็นห่วงเล่นว่าจะไปเมาหลับ ไปโดนปล้นที่ไหนรึเปล่า
EP.0 จุดเริ่มต้นของทางกลับบ้านที่ยาวที่สุด
09.08.16
เปิดเรื่องที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองมิวนิค
ครับ... วันนี้เมื่อปีที่แล้ว ผมนอนอยู่ในโรงพยาบาล วันนั้นเป็นวันที่สี่แล้วที่มานอนอยู่ที่นี่
เหตุผลที่มานอนน่ะหรอ... งูสวัสครับ
ตอนแรกไปรพ.มาก่อนทีนึงแล้ว เพื่อขอไปสั่งยาไปซื้อยาต้านไวรัสมา ปรากฏว่ากินไปวันนึง อาการไม่ทุเลาแม้แต่น้อย ปวดแสบปวดร้อนไม่ต่างจากเดิม ตอนนั้นหมอในช่วงนอกเวลาบอกผมด้วยภาษาเยอผสมอังกฤษ จับใจความได้ว่า ถ้ากินยาไปแล้วไม่ดีขึ้น วันรุ่งขึ้นให้รีบมากดคิวแต่เช้าตรู่ แล้วให้หมอในเวลาตรวจอย่างละเอียดอีกทีนึง
สุดท้ายผมก็กินยาแล้วไม่ดีขึ้นจริงๆ และแล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเพราะหลังจากไปตรวจในวันรุ่งขึ้นแล้ว หมอก็บอกให้ผมแอดมิทที่โรงพยาบาลครับ
รายละเอียดเดี๋ยวไว้มาเล่าให้ฟังอีกที เขียนหมดเดี๋ยวไม่เหลือมุกไว้เขียนต่อ
หลังจากที่ได้ออกจากโรงพยาบาลมา ผมก็มีเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ในการแพลนและขอวีซ่าประเทศจีนที่ต้องใช้ให้เรียบร้อย แพลนอย่างละเอียดเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้องพัก หิวก็ลุกไปทำกับข้าว กินอิ่มก็กลับมาทำแพลนต่อ และแพลนนี้ก็เกิดขึ้น
ภาพนี้คือแผนที่คร่าวๆ ที่ผมแพลนว่าจะเดินทางด้วยรถไฟทั้งหมดตั้งแต่เมือง Lisbon จนกลับไปถึงกรุงเทพบ้านเราครับ
แค่ดูในรูปก็น่าจะเดาได้ว่า มนุษย์ปกติเค้าไม่ทำอะไรอย่างนี้กันหรอกครับ มันเสียทั้งเวลาและเงินไปเปล่าๆ
แต่เวลาคัน มันต้องเกาครับ ไม่งั้นมันก็นั่งอมทุกข์ที่คันกันไปเปล่าๆ แพลนนี้เลยเกิดขึ้นมาได้แบบงงๆ จนเพื่อนฝูงนอกจากจะให้กำลังใจแล้วยังต้องมาถามว่า “จะเอาจริงๆ หรอ”
ตั้งแต่รู้ว่าจะได้มาเรียนที่มิวนิค 1 เทอม
"ไป Oktoberfest" และ "นั่งรถไฟกลับบ้าน"
เป็น 2 อย่าง (จากไม่รู้อีกกี่อย่าง) ใน to-do list ที่ต้องทำให้ได้
ตั๋วเครื่องบิน BKK - MUC แบบเที่ยวเดียวถูกซื้อตั้งแต่ก่อนมาด้วยความตั้งใจว่า ถ้าไม่ป่วยเจียนตายกูจะไม่บินกลับ
แล้วบังเอิญมีวันนึงในช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่ในมิวนิคเนี่ยแหละได้อ่านเจอเรื่อง "Ultimate Train Challenge" เข้าให้
โห... ตอนนั้นตามันเป็นประกายเหมือนลูฟี่เห็นเนื้อเลยครับ
#UltimateTrainChallenge คือการแข่งกันเดินทางโดยรถไฟล้วนๆ บนเส้นทางรถไฟที่ยาวที่สุดบนโลก ที่ Blogger คนนึงเค้าอุตริคิดขึ้นมา
Lisbon ถึง Saigon (Ho Chi Mihn) คือเส้นทางนั้น
ภาพจากหน้าเวป www.ultimatetrainchallenge.com เข้าไปอ่านกันดูได้ครับ
พอได้อ่านปุ้ป เท่านั้นแหละ ความอยากเอาชนะนานาหนังสือทรานส์ไซบีเรียที่เคยอ่านก็แว้ปขึ้นมาในหัว
เลยตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า ทางกลับบ้านเราจะเริ่มจาก Lisbon นั่งรถไฟไปเรื่อยๆ จนสุดที่ Ho Chi Mihn แล้วค่อยเข้าประเทศไทยทางอรัญประเทศผ่านกัมพูชานี่ หลังจากนั้นก็ต่อรถไฟขบวนสุดท้ายจากอรัญประเทศเข้าไปที่สถานีหัวลำโพงนี่แหละวะ คูลสุดๆ!
เช้าวันที่ 6 กันยายน 2559 จะเป็นวันแรกของทริปที่ทั้งยาวและนาน
ยาวนานที่สุดตั้งแต่เกิดมา
และอาจจจะรักษาตำแหน่งนี้ตลอดไปได้ด้วย
ถือซะว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นของขวัญวันเกิดให้ตัวเอง
(ครับ การให้ของขวัญกับตัวเอง เป็นข้ออ้างที่ดีเสมอเวลาที่เราจะซื้ออะไรที่ไม่ค่อยมีสาระ เมื่อสองปีก่อนก็เพิ่งซื้อตู้ปลาตู้เบ้อเร่อมาตั้งในบ้าน เบอเร่อขนาดที่ว่าต้องลงตู้ไปทั้งตัวเวลาจะทำความสะอาด)
สิ่งที่แพลนไว้คือเราจะใช้เวลาประมาณ 63 วัน
นับจากวันที่เหยียบเมือง Lisbon
เดินทางกลับมาที่ Munich เพื่อสะสางเอกสารและยกเลิกนู่นนี่ ประกัน บัญชี บัตรเครดิต คืนหอ ฯลฯ ต่างๆ นานา ที่จะต้องทำก่อนจะตุปั้ดตุเป๋ออกจากที่ที่นึงที่เราใช้ชีวิตอยู่ครึ่งปี
ก่อนที่จะได้โบกมือลา Munich แบบออฟฟิเชียล
(สารภาพตามความจริงว่าที่ต้องวนกลับมาผ่าน Munich อีกครั้ง ก็เพราะจะมา Oktoberfest ที่เฝ้าฝันไว้มาหลายปีดีดัก)
จากมิวนิค ผมจะไปต่อเรื่อยๆ ผ่านโปแลนด์, ลิทัวเนีย, ลัตเวีย จนไปเจอพี่ป๊อป (พี่ที่เคยทำงานด้วยกันเมื่อหลายปีก่อน และเราแชร์ความว้อนท์ในการนั่งรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียมาหลายปีแล้วเช่นกัน) ที่รัสเซีย เมือง St Petersburg คือจุดนัดหมายแบบที่ว่าผมเองก็ไม่มั่นใจว่า ระหว่างผมกับพี่ป๊อปใครจะไปถึงเช็คพอยต์นี้ก่อนกัน
เนื่องด้วยผมเป็นคนที่มีความท่อตรงสูง และธาตุเบามาก
การมีพี่ป๊อปนอกจากจะมีเพื่อนลุ้นช่วยลุ้นเรื่องไม่คาดฝันด้วยกันแล้ว
ความสะดวกในการเข้าห้องน้ำผมก็จะมากขึ้น
เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องหิ้วเป้ใบโตๆ ไปเข้าส้วม
(โดยเฉพาะส้วมจีนที่ลือเลื่องในเรื่องความสะอาดอย่างสุดขั้ว)
เมืองที่ในตอนนั้นผมแพลนว่าจะผ่านไปเช็คอินมีดังนี้
Lisbon - Madrid - Valencia - Barcelona
Marseille - Nice - Milan - Munich - Berlin
Warsaw - Oswiesim - Krakow - Kaunas - Vilnius - Riga
St Petersberg - Moscow - Nizhny Novgorod - Yekaterinburg - Irkutsk - Ulaanbator
Beijing - Shanghai - Xian - Guilin - Kunming
Hanoi - Ho Chi Mihn - Phnom Pehn - Siem Reap
และนี่คือภาพ Teaser แบบเร็วๆ ของเหตุการณ์ประมาณ 60 วันหลังจากที่เริ่มเดินทาง
(ผมไม่เซ็นเซอร์หน้าตัวเองครับ นอกจากผมจะขี้เกียจแล้ว ผมยังหน้าด้านมาก)
ขอให้เราได้กลับบ้านอย่างช้าๆ เอื่อยๆ ไหลๆ ได้อย่างอิ่มเอมใจเยี่ยงกินบุฟเฟ่ต์แบบยัดห่า
ถ้าเขียนไปแล้ว สามารถเรียกร้องความสนใจได้
ตอนต่อไปพบกับ "EP -1: เรื่องเล่าจาก 8 วันในโรงพยาบาลที่มิวนิค" ก่อนจะเริ่ม "EP 1: Day 1 ของการออกเดินทาง Lisbon" ในวันที่ 6 กันยายน ครับ
“8 วัน 7 คืนใน (รพ.) เยอรมนี ด้วยงบ 3200 บาท” ก่อนการเดินทางด้วยรถไฟที่ยาวที่สุดในโลก ULTIMATE TRAIN CHALLENGE EP -1
https://ppantip.com/topic/36755779/
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มีเสาน้ำเกลือเป็นเพื่อนไปแปดวัน มีความสุขจุงเบย
“ทางกลับบ้านที่ไกลที่สุด” ด้วยการเดินทางด้วยรถไฟที่ยาวที่สุดในโลก ULTIMATE TRAIN CHALLENGE EP.0 - ก่อนจะเดินทาง
รูปก็มีบ้างไม่มีบ้าง บางทีก็ขี้เกียจถ่าย กระทู้นี้เลยจะมีแต่ตัวหนังสือเต็มไปหมด
ใครอยากได้ข้อมูลในการเดินทางกระทู้นี้อาจจะไม่ช่วยซักเท่าไหร่ แถมมีคำหยาบ คำสบถหลุดออกมาเต็มไปหมดอีกด้วย
ใครทำใจได้แล้วก้าวขาจากชานชลา ตามขึ้นรถไฟขบวนนี้มาโดยพลัน ปู๊น ปู๊น]
ขอเปิดกระทู้ด้วยรูปฟิลม์สไตล์ Pantip เรียกแขก
INTRO
รู้หมือไร่ เส้นรอบวงของโลกใบนี้ มีความยาวประมาณ 40,000 กม. ส่วนการเดินทางจาก Lisbon ถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงด้วยรถไฟแบบยาวๆ ซิกแซ็คไปมา นิดๆ จะรวมระยะทางน่าจะเกือบ 20,000 กม. เห็นจะได้ ถ้าไทยยังไม่มีรถไฟระหว่างประเทศ และลาวหรือกัมพูชายังไม่สร้างทางรถไฟไปต่อกับเวียดนามหรือจีน เส้นทางนี้ก็ยังถือเป็นเส้นทางรถไฟที่ยาวที่สุดบนโลก ณ ขณะนี้ และเส้นทางนี้แหละที่จะเป็นเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้เพราะว่าปีที่แล้ว ผมกำลังศึกษาชั้นปริญญาโทอยู่ที่ CMMU (วิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดิล) หลักสูตรนานาชาติ
แถมยังเป็นเทอมสุดท้ายแล้วด้วย เรียกได้ว่าลงวิชาเรียนครบหมดแล้ว เหลือเพียงแค่สารนิพนธ์ที่ยังต้องทำส่ง ผมก็เลยอุตริลองส่งไปสมัครดู
ปรากฏว่า เห้ย แม่มได้ว่ะ!!!
ผมได้รับคัดเลือกให้ได้รับทุนนักเรียกแลกเปลี่ยนไปที่มหาวิทยาลัย Ludwig Maximilian University ที่เมืองมิวนิค จาก Erasmus (โครงการที่สนับสนุนการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาในยุโรป) เป็นเวลา 1 ภาคเรียน
ซึ่งระยะเวลาการศึกษาคือระหว่างเดือนมีนาคม - กรกฏาคม 2559 (ช่วงมีนาคมคือการเรียนภาษา และหลังจากนั้นคือการเรียนจริงๆ 1 เทอม)
ส่วน VISA ที่ผมขอไว้น่ะหรอ... ก็ต้องขอให้มันยาวที่สุดที่เราทำได้สิวะ!!!
เจ้าหน้าที่สถานฑูตให้ VISA เชงเก้นของผมจนถึงสิ้นเดือนกันยายน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ต่อการร่วมงาน Oktoberfest ที่ใฝ่ฝัน
ส่วนเพื่อนๆ คนอื่นๆ ที่ไปพร้อมกันได้ VISA แค่เดือนกรกฏาคมหรือสิงหาคม เพราะเค้าเรียนจบไปตั้งแต่เดือนกรกฏาคมแล้ว แถมทุนที่ Erasmus ให้ค่าอยู่ค่ากินก็จบตั้งแต่เดือนนั้นเช่นกัน
เรื่องทุกอย่างที่กำลังจะเล่าเกิดขึ้นระหว่างเดือนกันยายน - พฤศจิกายนเมื่อปีที่แล้ว
ตอนแรกช่วงนี้ในปีที่แล้วผมก็เขียนเล่าเหตุการณ์ระหว่างการเดินทางนี้ไปเรื่อยใน Facebook ส่วนตัว ให้เพื่อนมาๆ Comment พูดคุยแก้เหงา เพราะน้ำลายบูดมาก อยากสนทนากับสิ่งมีชีวิต แล้วตอนนั้นเพื่อนๆ ก็เข้ามาติดตามอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง บอกให้เปิด Page งี้ มาเขียน Pantip งี้
แต่สุดท้ายแล้ว ตอนนั้นผมก็ไม่ได้เปิด Page หรือ Blog อะไร สารภาพตามตรงเลยว่า... ขี้เกียจ
และอีกอย่างนึงคือ ตอนนั้นผมแอบคิดการณ์ใหญ่อยู่ในใจ ว่าจะถอนทุนค่าเดินทางโดยการเอาเรื่องที่เจอระหว่างการเดินทางมาเขียนเป็น Pocket Book ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เผื่อได้เป็น Best Seller ขึ้นมา จะได้คิดซะว่าที่เที่ยวไปเป็นเรื่องงานล้วนๆ
(อีกอย่างนึงคือถ้าชีวิตนี้ได้มี Pocket Book ของตัวเองซักเล่ม คงเอาไปโม้ได้ชั่วลูกชั่วหลาน จ๊าบส์ระเบิดระเบ้อ)
จนมาถึงวันนี้ ผ่านไปจะปีแล้วไปเรื่องที่จะเขียนก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้นมาเลย ไหนๆ แพลนถอนทุนก็ล่มเพราะความขี้เกียจแล้ว ก็ขอเล่ามันตรงนี้เลยละกัน
อย่างน้อยถ้าโชคดี ก็อาจจะมีซักคนสองคนที่บ้าบอ ออกไปทำตามอำเภอใจแบบนี้บ้าง ให้พ่อแม่ ญาติพี่น้อง แฟน ผัว เมีย เค้าได้เป็นห่วงเล่นว่าจะไปเมาหลับ ไปโดนปล้นที่ไหนรึเปล่า
EP.0 จุดเริ่มต้นของทางกลับบ้านที่ยาวที่สุด
09.08.16
เปิดเรื่องที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองมิวนิค
ครับ... วันนี้เมื่อปีที่แล้ว ผมนอนอยู่ในโรงพยาบาล วันนั้นเป็นวันที่สี่แล้วที่มานอนอยู่ที่นี่
เหตุผลที่มานอนน่ะหรอ... งูสวัสครับ
ตอนแรกไปรพ.มาก่อนทีนึงแล้ว เพื่อขอไปสั่งยาไปซื้อยาต้านไวรัสมา ปรากฏว่ากินไปวันนึง อาการไม่ทุเลาแม้แต่น้อย ปวดแสบปวดร้อนไม่ต่างจากเดิม ตอนนั้นหมอในช่วงนอกเวลาบอกผมด้วยภาษาเยอผสมอังกฤษ จับใจความได้ว่า ถ้ากินยาไปแล้วไม่ดีขึ้น วันรุ่งขึ้นให้รีบมากดคิวแต่เช้าตรู่ แล้วให้หมอในเวลาตรวจอย่างละเอียดอีกทีนึง
สุดท้ายผมก็กินยาแล้วไม่ดีขึ้นจริงๆ และแล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเพราะหลังจากไปตรวจในวันรุ่งขึ้นแล้ว หมอก็บอกให้ผมแอดมิทที่โรงพยาบาลครับ
รายละเอียดเดี๋ยวไว้มาเล่าให้ฟังอีกที เขียนหมดเดี๋ยวไม่เหลือมุกไว้เขียนต่อ
หลังจากที่ได้ออกจากโรงพยาบาลมา ผมก็มีเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ในการแพลนและขอวีซ่าประเทศจีนที่ต้องใช้ให้เรียบร้อย แพลนอย่างละเอียดเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้องพัก หิวก็ลุกไปทำกับข้าว กินอิ่มก็กลับมาทำแพลนต่อ และแพลนนี้ก็เกิดขึ้น
ภาพนี้คือแผนที่คร่าวๆ ที่ผมแพลนว่าจะเดินทางด้วยรถไฟทั้งหมดตั้งแต่เมือง Lisbon จนกลับไปถึงกรุงเทพบ้านเราครับ
แค่ดูในรูปก็น่าจะเดาได้ว่า มนุษย์ปกติเค้าไม่ทำอะไรอย่างนี้กันหรอกครับ มันเสียทั้งเวลาและเงินไปเปล่าๆ
แต่เวลาคัน มันต้องเกาครับ ไม่งั้นมันก็นั่งอมทุกข์ที่คันกันไปเปล่าๆ แพลนนี้เลยเกิดขึ้นมาได้แบบงงๆ จนเพื่อนฝูงนอกจากจะให้กำลังใจแล้วยังต้องมาถามว่า “จะเอาจริงๆ หรอ”
ตั้งแต่รู้ว่าจะได้มาเรียนที่มิวนิค 1 เทอม "ไป Oktoberfest" และ "นั่งรถไฟกลับบ้าน" เป็น 2 อย่าง (จากไม่รู้อีกกี่อย่าง) ใน to-do list ที่ต้องทำให้ได้
ตั๋วเครื่องบิน BKK - MUC แบบเที่ยวเดียวถูกซื้อตั้งแต่ก่อนมาด้วยความตั้งใจว่า ถ้าไม่ป่วยเจียนตายกูจะไม่บินกลับ
แล้วบังเอิญมีวันนึงในช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่ในมิวนิคเนี่ยแหละได้อ่านเจอเรื่อง "Ultimate Train Challenge" เข้าให้
โห... ตอนนั้นตามันเป็นประกายเหมือนลูฟี่เห็นเนื้อเลยครับ
#UltimateTrainChallenge คือการแข่งกันเดินทางโดยรถไฟล้วนๆ บนเส้นทางรถไฟที่ยาวที่สุดบนโลก ที่ Blogger คนนึงเค้าอุตริคิดขึ้นมา
Lisbon ถึง Saigon (Ho Chi Mihn) คือเส้นทางนั้น
พอได้อ่านปุ้ป เท่านั้นแหละ ความอยากเอาชนะนานาหนังสือทรานส์ไซบีเรียที่เคยอ่านก็แว้ปขึ้นมาในหัว
เลยตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า ทางกลับบ้านเราจะเริ่มจาก Lisbon นั่งรถไฟไปเรื่อยๆ จนสุดที่ Ho Chi Mihn แล้วค่อยเข้าประเทศไทยทางอรัญประเทศผ่านกัมพูชานี่ หลังจากนั้นก็ต่อรถไฟขบวนสุดท้ายจากอรัญประเทศเข้าไปที่สถานีหัวลำโพงนี่แหละวะ คูลสุดๆ!
เช้าวันที่ 6 กันยายน 2559 จะเป็นวันแรกของทริปที่ทั้งยาวและนาน ยาวนานที่สุดตั้งแต่เกิดมา และอาจจจะรักษาตำแหน่งนี้ตลอดไปได้ด้วย
ถือซะว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นของขวัญวันเกิดให้ตัวเอง (ครับ การให้ของขวัญกับตัวเอง เป็นข้ออ้างที่ดีเสมอเวลาที่เราจะซื้ออะไรที่ไม่ค่อยมีสาระ เมื่อสองปีก่อนก็เพิ่งซื้อตู้ปลาตู้เบ้อเร่อมาตั้งในบ้าน เบอเร่อขนาดที่ว่าต้องลงตู้ไปทั้งตัวเวลาจะทำความสะอาด)
สิ่งที่แพลนไว้คือเราจะใช้เวลาประมาณ 63 วัน นับจากวันที่เหยียบเมือง Lisbon เดินทางกลับมาที่ Munich เพื่อสะสางเอกสารและยกเลิกนู่นนี่ ประกัน บัญชี บัตรเครดิต คืนหอ ฯลฯ ต่างๆ นานา ที่จะต้องทำก่อนจะตุปั้ดตุเป๋ออกจากที่ที่นึงที่เราใช้ชีวิตอยู่ครึ่งปี
ก่อนที่จะได้โบกมือลา Munich แบบออฟฟิเชียล (สารภาพตามความจริงว่าที่ต้องวนกลับมาผ่าน Munich อีกครั้ง ก็เพราะจะมา Oktoberfest ที่เฝ้าฝันไว้มาหลายปีดีดัก)
จากมิวนิค ผมจะไปต่อเรื่อยๆ ผ่านโปแลนด์, ลิทัวเนีย, ลัตเวีย จนไปเจอพี่ป๊อป (พี่ที่เคยทำงานด้วยกันเมื่อหลายปีก่อน และเราแชร์ความว้อนท์ในการนั่งรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียมาหลายปีแล้วเช่นกัน) ที่รัสเซีย เมือง St Petersburg คือจุดนัดหมายแบบที่ว่าผมเองก็ไม่มั่นใจว่า ระหว่างผมกับพี่ป๊อปใครจะไปถึงเช็คพอยต์นี้ก่อนกัน
เนื่องด้วยผมเป็นคนที่มีความท่อตรงสูง และธาตุเบามาก
การมีพี่ป๊อปนอกจากจะมีเพื่อนลุ้นช่วยลุ้นเรื่องไม่คาดฝันด้วยกันแล้ว ความสะดวกในการเข้าห้องน้ำผมก็จะมากขึ้น เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องหิ้วเป้ใบโตๆ ไปเข้าส้วม (โดยเฉพาะส้วมจีนที่ลือเลื่องในเรื่องความสะอาดอย่างสุดขั้ว)
เมืองที่ในตอนนั้นผมแพลนว่าจะผ่านไปเช็คอินมีดังนี้
Lisbon - Madrid - Valencia - Barcelona
Marseille - Nice - Milan - Munich - Berlin
Warsaw - Oswiesim - Krakow - Kaunas - Vilnius - Riga
St Petersberg - Moscow - Nizhny Novgorod - Yekaterinburg - Irkutsk - Ulaanbator
Beijing - Shanghai - Xian - Guilin - Kunming
Hanoi - Ho Chi Mihn - Phnom Pehn - Siem Reap
และนี่คือภาพ Teaser แบบเร็วๆ ของเหตุการณ์ประมาณ 60 วันหลังจากที่เริ่มเดินทาง
(ผมไม่เซ็นเซอร์หน้าตัวเองครับ นอกจากผมจะขี้เกียจแล้ว ผมยังหน้าด้านมาก)
ขอให้เราได้กลับบ้านอย่างช้าๆ เอื่อยๆ ไหลๆ ได้อย่างอิ่มเอมใจเยี่ยงกินบุฟเฟ่ต์แบบยัดห่า
ถ้าเขียนไปแล้ว สามารถเรียกร้องความสนใจได้
ตอนต่อไปพบกับ "EP -1: เรื่องเล่าจาก 8 วันในโรงพยาบาลที่มิวนิค" ก่อนจะเริ่ม "EP 1: Day 1 ของการออกเดินทาง Lisbon" ในวันที่ 6 กันยายน ครับ
“8 วัน 7 คืนใน (รพ.) เยอรมนี ด้วยงบ 3200 บาท” ก่อนการเดินทางด้วยรถไฟที่ยาวที่สุดในโลก ULTIMATE TRAIN CHALLENGE EP -1
https://ppantip.com/topic/36755779/
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้