ห้องเพลง**คนรากหญ้า**พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสีไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียง 6/8/2560 - 20 สถานที่สุดสยอง ตอนที่ 2

กระทู้คำถาม


สวัสดีครับอมยิ้ม17 สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันอาทิตย์ MC WANG JIE (แอ๊ด) เข้าประจำการอีก 1 วันครับอมยิ้ม36

เมื่อวานนี้ได้เริ่มต้นตอนที่ 1 ของเรื่อง "สถานที่สุดสยอง" 2 ใน 20 แห่งจากทั่วโลกไปแล้ว วันนี้ก็มาต่อตอนที่ 2 กันเลยครับ


สถานที่สุดสยองแห่งที่ 3 :การก่อสร้างรถไฟใต้ดินที่ถูกทิ้งร้างแห่งเมืองซินซินาติ

Cincinnati เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองในยุคศตวรรษที่ 19 และรัฐบาลได้ตัดสินใจที่จะสร้างระบบรถไฟใต้ดินขึ้น แต่ว่าในช่วงที่กำลังก่อสร้าง เงินทุนได้หมดเสียก่อน ทำให้สถานีรถไฟภายในระบบรถไฟขนาดใหญ่แห่งนี้ ถูกทิ้งร้าง และ ไม่มีใครกล้าเข้าไป เนื่องจากความมืดและเรื่องเล่าน่ากลัวต่างๆเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ เช่น ผี หรือ สัตว์ประหลาดที่ซ่อนอยู่ภายใน

ซินซิเนติ อาจจะอยู่ตรงกลางของโครงการรถรางขนาดใหญ่ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมืองนี้ได้พยายามทำโปรเจ็คใหญ่ที่จะสร้างระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ความจริงแล้ว มีระบบรถไฟใต้ดินทั้งหมดอยู่ใต้ถนนของซินซินเนติ  แต่ไม่เคยเห็นมีผู้ใช้บริการเลยสักคน

สถานีรถไฟใต้ดินซินซินนาติได้รับการยกย่องว่าเป็น "หนึ่งในสิ่งที่น่าขายหน้าที่ใหญ่ที่สุดในเมือง" ซึ่งเป็นโครงการที่ก่อให้เกิดอุโมงค์ที่รกร้าง และสถานีรถไฟใต้ดินที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งถูกทิ้งร้างมานานก่อนที่มันจะมีโอกาสได้เห็นลูกค้าจ่ายเงินซื้อตั๋ว ต้องขอบคุณสำหรับต้นทุนอาคาร และการทะเลาะกันของพวกนักการเมือง (มีอะไรใหม่อีกไหม?) ที่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว <ประชดและเสียดสีรัฐบาล> โครงการได้ทำให้อุโมงค์ใต้ดินที่ยาวที่สุดถูกทิ้งร้างทอดยาวไปทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา

ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อปี 1884 (พ.ศ.2424) โดยมีภาพสาธิตซึ่งชี้ให้เห็นว่าไม่เป็นอันตรายซึ่งโพสต์ไว้ใน Cincinnati Graphic ภาพสาธิตนั้นเสนอแนะว่าลำคลองเก่าตอนนี้ได้ระบายและช่วยให้ประชากรยุงที่เพิ่มขึ้นจะถูกปกคลุมด้วยถนนที่กำลังสร้าง รถไฟก็จะสามารถวิ่งผ่านได้ ข้อเสนอนี้จุดประกายให้เกิดความสนใจในการขยายเส้นทางรถถนนซินซินนาติ และไม่นานก่อนหน้านี้ก็ได้เริ่มโครงการไปแล้วเป็นอย่างดี แต่น่าเสียดายที่ระยะเวลามีไม่มากและค่าใช้จ่าย สำหรับอุปกรณ์ถูกรวมเข้าไปที่ต้องใช้ในสงครามโลกครั้งที่สองและภาวะเศรษฐกิจก็เริ่มตกต่ำครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักทำให้การสร้างรถไฟใต้ดินต้องสิ้นสุดลงไป การดำเนินงานมากว่าครึ่งศตวรรษถูกทิ้งและมีหนี้สินรวมถึง 13 ล้านเหรียญซึ่งไม่ได้จ่ายจนกระทั่งถึงปี 1966 (พ.ศ.2508)

ปัจจุบันนี้ อุโมงค์ใต้ดินซึ่งยังอยู่ในสภาพดีอย่างน่าประหลาดใจ ก็ยังคงซ่อนอยู่ใต้เมือง สถานีที่ว่างเปล่าหลายแห่งของพวกเขา มีเพียงนักสำรวจในเมืองและพนักงานในเมืองเท่านั้นที่ได้รับมอบหมายมาดูแลรักษา ... บางคนรายงานว่า ได้เห็นสิ่งแปลกประหลาดบางอย่างในหลาย ๆ อุโมงค์ที่ถูกทอดทิ้ง ตามที่นักสำรวจหลายคนบอก อุโมงค์ทั้งหลายเป็นสถานที่ ๆ สมแล้วที่พวกผีคนงานซึ่งเสียชีวิตในการสร้างรถไฟใต้ดินพากันกรูเข้ามา

ในขณะที่หลายคนพยายามที่จะรื้อฟื้นโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแแต่ก็ไม่สำเร็จ แผนการอื่น ๆ อีกมากมายได้ถูกเสนอแนะให้ใช้สำหรับอุโมงค์ที่ไม่ได้ใช้ เช่นไนท์คลับใต้ดิน ห้องเก็บไวน์ และย่านช็อปปิ้งใต้ดิน แต่บางที อาจเคยมีการใช้งานที่น่าสนใจที่สุดมาแล้ว ดังเช่นการใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Batman ภาค 3 ของทิมเบอร์ตัน (ภาพยนตร์แบทแมน ภาค 3 คือ Batman Forever ได้เคยสำรวจอุโมงค์ใต้ดินเก่าแก่แห่งนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำ - MC ผู้แปล)

โชคยังดีที่อุโมงค์ไม่ได้ปิดตายสำหรับทุกคนตลอดไป บริษัท Cincinnati Advance ดำเนินการสำรวจอุโมงค์ทุก ๆ สองปี เพื่อให้นักผจญภัยที่อยากรู้อยากเห็นและผู้มีใจรักในประวัติศาสตร์มีโอกาสได้เข้าเยี่ยมชมระบบรถไฟใต้ดินอันเป็นตำนานที่ถูกทิ้งร้างมายาวนานที่สุดในอเมริกา (เพราะฉะนั้นใครมีโอกาสไปเที่ยวอเมริกา ก็สามารถไปสัมผัสบรรยากาศของสถานที่นี้ได้)

****************************************************************************************************************************************
สถานที่สุดสยองแห่งที่ 4 :เกาะตุ๊กตาผีสิง เม็กซิโก

นอกตัวเมืองเม็กซิโกซิตี้ มีการสร้างคูน้ำเพื่อใช้เป็นทางน้ำไหล ซึ่งทำให้เกิดเกาะเล็กเกาะน้อยมากมายหลายเกาะรอบบริเวณ ซึ่งหนึ่งในเกาะเหล่านั้น ถูกเรียกว่า "เกาะตุ๊กตาผี" ที่ได้ชื่อนี้มาก็เพราะว่า บนเกาะเต็มไปด้วยตุ๊กตาและชิ้นส่วนตุ๊กตา ถูกเก็บไว้ตามจุดต่าง ๆ บนเกาะเป็นจำนวนมาก  การกระทำนี้เกิดจากชายชื่อว่า จูเลียน ซันทานา บาร์เรรา ที่เก็บสะสมตุ๊กตา เพื่อให้ศพเด็กสาวที่เขาพบในคูน้ำข้าง ๆ เกาะไปสู่สุขติ และไม่โดดเดี่ยวในปรโลก ต่อมานายจูเลียน ถูกพบเสียชีวิตในคูน้ำเดียวกับที่เด็กหญิงนั้นเสียชีวิต  มีคนกล่าวกันว่า เคยเห็นตุ๊กตาบนเกาะนี้หันหัวไปมาได้เอง !!!

อิสลา เดอ ลาส มูเลคาสอิสลา แปลว่า เกาะตุ๊กตา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าขนลุกขนพองที่สุดในโซชิมิลโก (Xochimilco) ประเทศเม็กซิโก ตุ๊กตาเหล่านั้นอุทิศให้กับดวงวิญญาณของเด็กสาวที่เสียชีวิตตั้งแต่วัยเยาว์ สถานที่นี้ความจริงเป็นสวนลอย บัดนี้กลายเป็นบ้านของตุ๊กตาน่ากลัวนับร้อย ๆ ตัวที่มีแขนขาดขาขาด หัวขาดก็มี และตาโบ๋ ถูกแขวนห้อยลงมาจากต้นไม้, รั้วและมีในเกือบทุกพื้นที่ ๆ พอเหลืออยู่

ตุ๊กตาเหล่านั้นดูน่ากลัวแม้จะอยู่ในที่มีแสงสว่างไสวในตอนกลางวัน แต่ในความมืด พวกมันดูแล้วจะหลอนเป็นอย่างยิ่ง

เรื่องราวเบื้องหลังของเกาะผีสิงแห่งนี้ คือโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1950 (พ.ศ.2493) ดอน จูเลี่ยน ซานตาน่า บาร์เรร่า (Don Julian Santana Barrera) เป็นชาวบ้านและผู้ดูแลเกาะแต่เพียงผู้เดียว เขาพบเด็กหญิงตัวเล็ก จมน้ำในคลองรอบเกาะอย่างลึกลับและเขาไม่สามารถช่วยชีวิตเธอได้ หลังจากนั้นไม่นานจูเลี่ยนก็เห็นตุ๊กตาลอยอยู่ใกล้คลอง เขาเดาว่าเป็นตุ๊กตาของเด็กผู้หญิงคนนั้น จึงยกตุ๊กตาขึ้นมาและแขวนไว้บนต้นไม้เพื่อให้ดวงวิญญาณของเธอซึ่งถูกทรมานพอใจ ความรู้สึกผิดที่มิได้ช่วยชีวิตเธอไว้ ทำให้จูเลียนระส่ำระสาย เขารู้สึกว่าเกาะนี้ถูกวิญญาณของเด็กผู้หญิงครอบครอง

เพียงแค่ตุ๊กตาตัวเดียว เขารู้สึกว่าคงไม่เพียงพอที่จะทำให้เด็กนั้นพอใจได้ เขารู้สึกได้ว่าเด็กหญิงนี้ต้องการเพื่อนเล่น ด้วยความขวัญผวาจากดวงวิญญาณเขาจึงเริ่มเก็บสะสมตุ๊กตาที่เขาพบในคลองบ้าง จากกองขยะบ้าง และแขวนพวกมันไว้บนต้นไม้เพื่อปกป้องตัวเอง กว่าครึ่งศตวรรษเขารวบรวมตุ๊กตาน้อย ๆ อันน่าสะพรึงกลัวเหล่านี้ได้มากกว่า 1,500 ตัว ตุ๊กตาทั้งหมดยังคงอยู่ตรงนั้นและไม่มีใครแตะต้อง พวกมันมีลักษณะเหมือนซากศพเด็กที่กำลังเปื่อยผุพัง ภายหลัง ซานตาน่าเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายในปี 2001 และมีเครื่องหมายกากบาทสีขาวขนาดเล็ก กาอยู่ที่ทำเครื่องหมายหลุมฝังศพของเขา ใกล้กับน้ำ และบางเรื่องก็บอกว่า เขาถูกพบว่า จมอยู่ในคลองในลักษณะเดียวกับหญิงสาวที่ตายแล้ว

ความจริงเบื้องหลังเรื่องนี้ ยังคงลึกลับ บางคนสงสัยถึงการมีอยู่ของหญิงสาวที่จมน้ำ บางคนกล่าวว่าจูเลียนได้กุเรื่องนี้ขึ้นมาในความเหงาของเขา บางคนก็บอกว่าจูเลียนได้บ้าไปแล้ว และรู้สึกว่าตุ๊กตานั้นเป็นวิญญาณที่ถูกทรมานของเด็กที่ล่วงลับไปแล้ว คนใกล้ชิดกับจูเลียนบอกว่ามันรู้สึกเหมือนกับว่าเขาถูกบีบบังคับโดยพลังงานบางอย่าง ซึ่งได้เปลี่ยนเขาไปแล้วอย่างสมบูรณ์

ลูกพี่ลูกน้องของเขาคนหนึ่งชื่อ อนัสตาซิโอ (Anastasio) อาศัยอยู่บนเกาะซึ่งบริหารให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว "ดวงวิญญาณของเด็กหญิงน้อยยังคงอยู่ที่นี่" เขากล่าว "สิ่งสำคัญคือ ห้ามเอาตุ๊กตาออก" ตอนกลางคืน เขาบอกว่า พวกมันมีชีวิต! "พวกมันจะขยับศีรษะ และกระซิบกระซาบต่อกันและกัน มันน่าขนหัวลุกมาก แต่ผมก็เคยชินกับมันแล้ว"

การเดินผ่านตุ๊กตาขาด ๆ เหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่น่าสยอง บ้างก็แขนขาหัก ร่างกายตัวน้อย และหัว บางตัวก็ไม่มีหัว ตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยรา บางตัวกลายเป็นบ้านของแมงมุมและแมลง ความเชื่อที่ซื่อๆของจูเลียน ได้เปลี่ยนสวนลอย ให้กลายเป็นสุสานของตุ๊กตา สถานที่ที่ควรจะปลูกดอกไม้ให้เติบโต กลับกลายเป็นที่เพิ่มพูนตุ๊กตาทั้งหลาย



เครดิตข้อมูล = [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้<---ส่วนนี้คัดลอกมา

https://roadtrippers.com/stories/explore-the-secret-unused-subway-station-below-the-streets-of-cincinnati
และ http://mysteriousfacts.com/island-of-dolls-in-mexico/
2 เว็บนี้ เป็นเว็บภาษาอังกฤษ ส่วนนี้ MC แปลเอง

พบกันใหม่ เสาร์/อาทิตย์หน้าครับ อมยิ้ม04หัวใจดอกไม้

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 16
ขอเอาเรื่องราวที่เป็นบทเรียนครั้งสำคัญของมาตรฐานความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรมไทยมาเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจสำหรับหลายๆคนครับ


ย้อนรอยโศกนาฏกรรม ไฟไหม้โรงงานตุ๊กตาเคเดอร์


"โจรปล้น 10 ครั้งไม่เท่ากับไฟไหม้ครั้งเดียว" คำกล่าวนี้คงไม่ผิดนัก เพราะจากข่าวไฟไหม้ที่เราได้ยินได้ฟังกันอยู่บ่อย ๆ ก็ทำให้เราเห็นภาพของผลกระทบจากไฟไหม้ชัดเจนว่า มันได้ทำลายทรัพย์สินมหาศาลเพียงใด และบางเหตุการณ์ก็ได้กลายเป็นโศกนาฏกรรมที่นำไปสู่การสูญเสียชีวิตของผู้คนจำนวนมาก

           และเมื่อพูดถึงเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากที่สุดครั้งหนึ่ง หลายคนคงนึกถึงเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ ที่เกิดขึ้นเมื่อ 24 ปีที่แล้ว อัคคีภัยครั้งนั้นได้สร้างความเสียหายมหาศาล เพราะเพลิงได้ย่างสดคนงานโรงงานตุ๊กตาเคเดอร์จนเสียชีวิตถึง 188 คน และมีผู้บาดเจ็บเกือบ 500 คน นับเป็นตำนานไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่คนไม่เคยลืมเลือน

           ย้อนกลับไปเมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2536 ณ บริษัท เคเดอร์อินดัสเตรียล ไทยแลนด์ จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานตุ๊กตาขนาดใหญ่ ประกอบด้วยอาคาร 5 ชั้น จำนวน 4 อาคาร ตั้งอยู่บนถนนพุทธมณฑลสาย 4 ตำบลกระทุ่มล้ม อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ขณะที่คนงานกำลังทำงานอยู่ภายในอาคาร ได้เกิดเพลิงไหม้ชั้นล่างของอาคาร 1 ทำให้คนงานกว่า 1,400 ชีวิต พยายามวิ่งหนีตายออกจากอาคารอย่างอลหม่าน แต่ทว่า ไฟกลับลุกลามอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสถานที่เกิดเหตุเป็นโรงงานตุ๊กตาผ้าที่มีเศษผ้า และวัสดุไวไฟอยู่เป็นจำนวนมาก

           ในขณะที่หลายร้อยชีวิตกำลังหาทางเอาตัวรอดจากควันไฟที่ลุกโชนอยู่นั้น เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นซ้ำสอง เมื่อเพลิงที่ลุกไหม้ได้เพียง 15 นาที ได้ทำให้ตัวอาคารถล่มลงมาในพริบตา ฝังคนงานที่กำลังหนีตายไว้ใต้ซากปรักหักพังที่ถูกไฟไหม้ พนักงานดับเพลิงต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมงจึงจะสามารถควบคุมเพลิงได้ในที่สุด ก่อนที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยจะเร่งเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในซากอาคาร พร้อมกับลำเลียงร่างของผู้เสียชีวิตออกมา


ที่น่าเศร้าคือ โศกนาฏกรรมครั้งนี้ ได้คร่าชีวิตผู้คนมากถึง 188 ราย ขณะที่มีผู้บาดเจ็บถึง 469 ราย ซึ่งหลายรายได้รับบาดเจ็บสาหัส บางรายต้องกลายเป็นคนพิการ หรือเป็นอัมพาตตลอดชีวิต นอกจากนี้ยังมีเด็ก ๆ อีกกว่า 50-60 คน ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาในสังคม

           สุดท้ายแล้ว เจ้าหน้าที่ได้สืบสวนสาเหตุของเพลิงมรณะครั้งนี้ และพบว่า เกิดจากความประมาทของพนักงานที่สูบบุหรี่ในโรงงาน ทำให้เกิดไฟลุกไหม้วัสดุที่ใช้ผลิตตุ๊กตา นอกจากนั้น เมื่อตรวจสอบในเชิงลึก กลับพบว่า โรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัยหลายประการ ทั้งไม่มีบันไดหนีไฟ ประตูทางออกฉุกเฉินกว้างไม่ได้มาตรฐาน และยังมีจำนวนน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับจำนวนของพนักงาน รวมทั้งโรงงานไม่เคยซักซ้อมการหนีไฟอย่างเป็นระบบให้กับพนักงาน

           ขณะเดียวกันก็มีการวิเคราะห์กันด้วยว่า สาเหตุที่อาคารพังถล่มลงมาอย่างรวดเร็วหลังเกิดเพลิงไหม้เพียง 15 นาที เป็นเพราะโครงสร้างของอาคารไม่ได้มาตรฐาน เนื่องจากโรงงานแห่งนี้ต้องการประหยัดต้นทุน จึงก่อสร้างด้วยโครงเหล็กสำเร็จรูป ซึ่งไม่ทนไฟ


เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้นได้ผลักดันให้ภาคแรงงาน และพนักงานจากโรงงานหลาย ๆ แห่ง ผนึกกำลังกันออกมารณรงค์และเรียกร้องให้ผู้ประกอบการปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยภายในโรงงานมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุสลดซ้ำรอยโรงงานตุ๊กตาเคเดอร์อีก

           จากการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ก็ทำให้เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2540 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้วันที่ 10 พฤษภาคมของทุกปี ซึ่งตรงกับวันที่เกิดเพลิงไหม้โรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ เป็น "วันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ" เพื่อรำลึกถึงโศกนาฏกรรมดังกล่าว และย้ำเตือนให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันอันตราย และการดูแลความปลอดภัยในการทำงานของคนทำงานในทุกสาขาอาชีพ

           โศกนาฏกรรมเพลิงไหม้โรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ จึงกลายเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการผลักดันเรื่องสวัสดิภาพความปลอดภัยของพนักงานในสังคม ซึ่งต้องแลกมาด้วยหลายร้อยชีวิต กว่าที่สังคมจะตระหนักและตื่นตัว...

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก youtube.com และคุณ SuperFiretrainer เจ้าของโพสต์ https://hilight.kapook.com/view/68013
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่