[เรื่องสั้น] เหมือนเราใกล้กัน

ผมพาตัวเองมาหลบอยู่หลังป้ายรถเมล์ ที่เป็นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่เมื่อเห็นพวกเด็กนักเรียนอาชีวะวิ่งไล่กวดกันมา เสียงตะโกนเอะอะโวยวายนำยาวมาก่อน สองคนหนีอีกสี่คนไล่ พร้อมอาวุธพวกมีดสปาต้า เหล็ก ไม้ คนที่ป้ายต่างก็ลุกหนีหาที่กำบังไม่ต่างกัน พวกเด็กๆ วิ่งผ่านป้ายรถเมล์ไป ใช้ระยะเวลาเพียงแวบเดียว แต่ใจผมกลับเต้นอย่างระทึก

    ใช่ว่าผมเคยเจอเรื่องแบบนี้ครั้งแรกเสียเมื่อไหร่ คนในละแวกนี้ล้วนเจอเหตุการณ์เด็กอาชีวะต่างสถาบันยกพวกตีกันเป็นประจำ แต่ผมเชื่อว่าคงไม่ใคร 'ชินชา' กับเรื่องพวกนี้แน่ๆ เพราะถ้าเกิดโดนลูกหลงขึ้นมานั่นหมายถึงเจ็บกับตาย  ชนวนเหตุง่ายๆ คือมีสถาบันอาชีวะชื่อดังสองแห่งมาตั้งอยู่ไม่ไกลกัน คนอยู่อาศัย ค้าขาย หรือสัญจรผ่านไปมาแถบนี้ ทำได้อย่างเดียวคือ 'ระมัดระวังตัว'

         ผมหันไปมองเด็กๆพวกนั้น จนฝ่ายที่หนีวิ่งเข้าซอยไป ฝ่ายไล่ล่าก็ควบตามอย่างไม่ลดละ หลังจากนี้จะมีใครบาดเจ็บล้มตาย ขึ้นพาดหัวข่าวหน้าหนังสือพิมพ์อีกบ้าง ก็ยากจะคาดเดา ผมได้แต่ภาวนาขออย่าให้มีการสูญเสียเกิดขึ้น

    "เมื่อไหร่ไอ้เด็กเปรตพวกนี้ มันจะตายๆกันไปให้หมด!"  เสียงคุณป้าที่ยืนอยู่ใกล้ผมเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย ผมยิ้มแห้งไม่ได้พูดหรือตอบอะไร เพราะแกคงเอ่ยขึ้นลอยๆ ไม่ได้เจาะจงจะคุยกับผมแน่ๆ

    มีบ้างบางคนกดโทรศัพท์แจ้งตำรวจ บางคนก็ไม่อยู่รอรถเมล์บริเวณนี้รีบโบกเรียกแท็กซี่ อีกหลายคนเลือกจะไปให้ห่างจากป้ายรถเมล์ คงจะกลัวเด็กพวกนั้นวกกลับมาอีก ส่วนผมไม่คิดจะไปไหน ใช่จะหาญกล้าท้าทายกับมัจจุราชวัยละอ่อนพวกนั้น แต่ผมกำลังรอ 'เธอ' ถ้าคำนวณไม่ผิดเวลาเกือบห้าโมงเย็นเช่นนี้ เธอจะนั่งรถเมล์สายนั้นมา

    และโดยที่ไม่ปล่อยให้ผมรอนาน รถเมล์สายดังกล่าวก็มาถึง ยังไม่ทันที่รถเมล์จะเข้าจอดเทียบป้าย ผมก็เห็นเธอนั่งบนรถเมล์ริมหน้าต่างฝั่งซ้าย เป็นที่นั่งเดิมๆ แทบทุกวัน ถ้าให้เดาเธอคงเป็นข้าราชการ เพราะดูจากการแต่งตัวคู่กับเวลาเลิกงาน และคงนั่งมาตั้งแต่ต้นสาย จึงสามารถเลือกที่นั่งได้

    พอรถจอดสนิทผมจึงเดินขึ้น โชคดีที่รถเมล์สายนี้ไม่ใช่ 'สายยอดนิยม' คนขึ้นน้อยอยู่แล้วเป็นทุนเดิม แม้กระทั่งช่วงเย็นแบบนี้ ก็ยังเหลือที่นั่งให้ผมได้เลือก แม้เบาะคู่ข้างเธอจะยังว่าง แต่ผมก็ไม่กล้าไปนั่ง เพราะเบาะเดี่ยวด้านขวายังว่างอยู่หลายที่ ผมแค่เลือกนั่งในจุดที่สามารถเห็นใบหน้าด้านข้างของเธอ ให้พออิ่มอกอิ่มใจ

    ไม่ปิดบังหรอกว่าผมแอบชอบเธอ และรอคอยที่จะขึ้นรถเมล์คันเดียวกับเธอในทุกเย็น เป็นแบบนี้มาร่วมๆ สามสัปดาห์แล้ว เธอคงไม่รู้ตัวหรอกว่ามีผมคอยเฝ้ามองอยู่ ผมอยากทำความรู้จักกับเธอ แต่ก็ไม่กล้าเพราะเหตุผลหลายๆ อย่าง อย่าว่าแต่คุยกันเลย หน้าผมเธอยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ เพราะเธอจะก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ตลอดเวลา จากที่สังเกตในมือเธอคงเป็น 'บทกวี'

    เธอไม่ได้สวยหรือเลิศเลอเกินใคร แต่อะไรหลายๆ อย่างมันโดนใจเหมือนถูกชะตากัน ผมชอบรอยยิ้มที่เธอเผยออกมา ในบางหน้ากระดาษที่เธอเปิดผ่าน บทกวีที่เธออ่านคงงดงาม ไม่แพ้อากัปกิริยาที่ผมเห็นจากเธอเป็นแน่
รถเมล์ยังไปไม่ไกลจากป้ายที่ผมขึ้น มาจอดลงตรงซอยที่เด็กอาชีวะวิ่งกวดกันนั่นล่ะ เพราะช่วงเวลานี้การจราจรติดขัด รถติดเป็นแพยาวเหยียด แต่ผมไม่หงุดหงิดอะไร กลับชอบเสียด้วยซ้ำ เพราะจะได้นั่งมองหน้าเธอไปนานๆ ขณะกำลังเคลิ้มคล้อยล่องลอยไปกับภาพเธอตรงหน้า ก็ต้องมาสะดุดลงเพราะเสียงตะโกนดังมาจากฟุตบาท

    "เฮ้ย! มันอยู่บนรถ!"

    เป็นเด็กอาชีวะกลุ่มเมื่อซักครู่นี่เอง คงจะคลาดกับเด็กสองคนที่หนีไป จึงพากันเดินย้อนออกซอยเดิม ผมใจหายวาบเพราะหนึ่งในสี่นั้นชี้นิ้วมายังรถเมล์คันที่ผมนั่งอยู่ ผมรีบหันตามนิ้วที่เขาชี้ ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่า มีเด็กอาชีวะสองคนนั่งอยู่เบาะหลังสุดของรถคันนี้ ผมหันกลับมามอง 'เธอ' ที่ตอนนี้ปิดหนังสือลงพร้อมท่าทีกระวนกระวาย ไม่แตกต่างจากผู้คนอีกสิบกว่าชีวิตบนรถคันนี้

    "อย่าไปเปิดประตูนะพี่ หลายอาทิตย์ก่อนพวกเหี้..! นี่ก็เพิ่งยิงคนตายไปที่ป้ายเมื่อกี้" กระเป๋ารถเมล์ชายละล่ำลักร้องบอกคนขับ วัยเขาก็ไม่อ่อนหรือแก่ไปกว่าเด็กอาชีวะกลุ่มนั้นเท่าไหร่

    "เออ กูไม่เปิดหรอก รถแม่..! เสือ...! มาติดอีก จะขับหนีก็ไม่ได้ เวรเอ๊ย!" คนขับหน้าตาเลิ่กลั่กไม่แพ้กัน

    เด็กอาชีวะสองคนที่อยู่บนรถ รีบลุกจากที่นั่งเบาะหลังสุด วิ่งมาหยุดลงตรงเบาะที่เธอนั่ง เธอเองก็ตกใจทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองเด็กอาชีวะด้วยสายตาว่า 'มานั่งอะไรข้างเธอตรงนี้?' เด็กทั้งสองตะโกนสั่งคนขับให้รีบออกรถ ทั้งที่เป็นไปไม่ได้

    จากนั้นหนึ่งในกลุ่มเด็กอาชีวะนอกรถเมล์ ก็ควักปืนขึ้นมา ยังไม่ทันจะยิง ได้ยินเสียงกระเป๋ารถเมล์ชิงตะโกนขึ้นก่อน

    "หมอบลงทุกคน!"

    คนบนรถเมล์เกือบยี่สิบชีวิตก้มหัวซุกตัวลงแทบจะทันที แต่ก็เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงปัง และกระสุนถูกปล่อยออกมา พวกนั้นยิงใส่เด็กอาชีวะหนึ่งในคนที่นั่งติดกับเธอ แต่มันจะโดนคนที่พวกนั้นมุ่งหมายชิวิตได้อย่างไร? เพราะเธอนั่งอยู่ริมหน้าต่าง และยังไม่พร้อมก้มหลบด้วยเกะกะจากเด็กอาชีวะที่นั่งอยู่ด้านข้าง ซึ่งเพิ่งจะกระโจนมาหมอบอยู่กลางพื้นรถ

    ผมไม่รอช้ารีบเข้าไป 'กระชาก' เธอให้หมอบลง กระสุนสังหารนัดนั้นจึงไม่โดนเธอ และไม่โดนใคร เพราะเจาะเข้าใส่ร่างผมแล้วตกลงพื้น ทุกคนบนรถต่างกรีดร้องกันดังลั่น ผมเห็นเด็กกลุ่มนั้นยิงแค่นัดเดียวแล้วพากันวิ่งหลบหนีไป คงเพราะเข้าใจว่ามีคนโดนลูกหลงจากการยิงในครั้งนี้

    ผมยืนมองกระสุนที่กองอยู่บนพื้น ด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย แล้วหันไปมองเธอที่ค่อยๆลุกขึ้นมานั่งอย่างขวัญเสีย กระเป๋ารถรีบวิ่งมาเช็คอาการทุกคนบนรถ เขาวิ่งผ่านตัวผมเข้าไปสอบถามอาการของเธอ เห็นเธอพยักหน้าน้ำตาไหล แล้วบอกกับกระเป๋ารถเมล์ว่าไม่เป็นอะไร 'เธอปลอดภัย' นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ

    ทุกคนไม่มีใครสนใจในตัวผมเลย ก็แน่ล่ะ จะมีใครเห็นผมได้ เพราะผมไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว! เหยื่อลูกหลงคนล่าสุด ที่ถูกเด็กอาชีวะจากสองสถาบันยิงตาย ที่ป้ายรถเมล์เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน 'ก็คือผมเอง' หลังจากกลายเป็นวิญญาณผมก็ยังรู้สึกกลัวทุกครั้ง ที่เห็นการยกพวกตีกัน ผมไม่อยากเห็นใครตกเป็นเหยื่อ หรือลูกหลงของเหตุการณ์แบบนี้อีก แค่ประหลาดใจที่ผมสามารถ 'สัมผัส' ร่างเธอได้ ไม่ใช่สิ! เป็นครั้งแรกที่ผมสามารถจับร่างกายมนุษย์ได้ แปลกใจยิ่งกว่าตรงที่กระสุนหมดฤทธิ์ลงเมื่อโดนวิญญาณผม จะด้วยบุญกุศลของเธอหรืออะไรก็ตาม มันก็เป็นเรื่องดีที่ไม่มีใครเจ็บหรือตาย

    ผมมองเธอด้วยความเป็นห่วง อยากจะเข้าไปพูดปลอบใจเธอซักหนึ่งประโยค อยากจะไปส่งเธอถึงบ้าน แต่เป็นไปไม่ได้ วิญญาณผมพ้นป้ายรถเมล์นั้นมาได้ไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น ได้แต่วนเวียนอยู่ตรงป้ายจุดที่ผมตายนั่นแหละ ผมไม่มีอิสระที่จะไปไหน ขนาดงานศพตัวเองผมยังไปไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าต้องรอใครหรืออะไร ผมถึงจะไปสู่ภพภูมิใหม่ได้

    เธอดูงงๆ อยู่บ้าง หันไปพูดกับผู้โดยสารด้านหลังว่า "เหมือนมีคนมาดึงตัวฉันให้หมอบลงค่ะ!" ผมยิ้มให้เธอ แต่เธอไม่เห็นผมหรอก ผมได้แต่โคลงหัวไปมา แล้วนึกถึงคำของคนเฒ่าคนแก่ที่ว่า 'คนดีผีคุ้ม' อ้อ! มันเป็นอย่างนี้นี่เอง.


เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน (สมเกียรติ จันทร)
๒๐/๐๗/๒๕๖๐
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่