หลังจากดู Dunkirk มา 2 รอบ ก็ได้บทสรุปที่อยากได้ (สปอยล์)



การดู Dunkirk ในโรงภาพยนตร์มา 2 รอบนั้น เป็น 2 รอบที่ค่อนข้างใช้เวลาห่างกันพอสมควร พอดูรอบแรกเสร็จก็เขามาอ่านที่เพื่อนๆเขียนกัน เข้าไปฟังการรีวิวในยูทูป แล้วทิ้งช่วงเวลาอีกสักหน่อยก่อนไปดูรอบที่ 2 ก็ถือว่าเป็นการใช้เวลาพอสมควรก่อนที่จะเข้ามาเขียนเป็นเรื่องเป็นราว ก่อนอื่นก็ต้องบอกก่อนว่าชอบสถานการณ์ที่โนแลนได้วางเอาไว้ เพราะมันเต็มไปด้วยความรู้สึกกดดัน อารมณ์เหมือนอยู่ในสงครามจริงๆ การเล่าเรื่องเน้นไม่เรียงตามลำดับเวลา แต่ปรารถนาให้ผู้ชมสังเกตแล้วนำมาเรียงกันเอง ซึ่งการลงใจไม่เรียงตามลำดับเวลานั้น ก็เพื่อที่จะพุ่งเป้าและสื่อถึงบางสิ่งบางอย่าง เรื่องนี้ไม่มีการบิ้วหรือปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้นกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น อย่างฉากที่มีทหารเดินลงทะเลไปฆ่าตัวตาย ก็ไม่ได้วางประเด็นดราม่าอะไรมาก ทำให้เห็นแค่ทหารคนหนึ่งอยากเดินลงทะเลและหายไป ก็แค่นั้น

เนื้อเรื่องของ Dunkirk มีสามเส้นเรื่อง เส้นแรกคือ The Mole ใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ เปิดเรื่องมาก็พบเรื่องของทหารหนุ่มที่หาวิธีหนีสงคราม ส่วนตรงนี้เป็นการสื่อสารแบบตรงไปตรงมา บางทีก็ดูเหมือนว่าภาพไม่ได้อยากสื่อสารกับเราเลย เพราะไม่ค่อยได้บอกอะไรกับเรา แต่ให้เราติดตามไปเรื่อยๆ การไม่สื่อสารมากก็คือการสื่อสารของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทหารหนุ่มคนนี้ก็ไปเจอทหารที่กำลังขุดศพทหารอีกคนเพื่อเอาชุดกับรองเท้ามาใส่ ทหารนายนี้ก็ไม่พูดอะไรทั้งนั้น ถ้าดูไปเรื่องๆเราจะรู้ว่าเขาเป็นทหารฝรั่งเศส ไม่ใช่ทหารอังกฤษ ซึ่งปมที่เขาไม่ได้พูดอะไรเลยนี้ ก็จะถูกนำมาเล่นในอีกสถานการณ์หนึ่ง ซึ่งเกือบทำให้เขาเอาตัวไม่รอด

แล้วก็มาถึงเส้นเรื่องอีกอันที่อยู่ในอากาศ เส้นเรื่องตรงนี้มีเวลา 1 ชั่วโมง เกี่ยวกับทหารที่ขับเครื่องบินรบ พอเราเห็นตรงนี้ เราก็พอจะมองออกว่าสงครามที่กำลังดำเนินไปอีกส่วนหนึ่งคือสงครามน่านฟ้า เป็นสงครามที่กำลังเกิดขึ้น แล้วจะจบลงประมาณหนึ่งชั่วโมง ทหารที่อยู่ในอากาศนี้ต้องประสบกับเกน้ำมันที่เสีย ทำให้เขาไม่รู้ว่าเชื้อเพลิงจริงๆเหลืออยู่เท่าไหร่ เขาต้องคำนวณแบบกะประมาณเอาเอง ระหว่างที่เขากำลังทำการบินอยู่นั้น ก็จะพบเห็นเพื่อนค่อยๆ ร่อนลงน้ำไปเรื่อยๆ (บินมาด้วยกันประมาณสามลำ)


อีกเส้นเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเรือของชาวบ้านที่กำลังจะมาช่วย เป็นเส้นเรื่องที่ใช้เวลาประมาณ 1 วัน ตอนที่โนแลนกำลังบอกว่ามีสามเส้นเรื่อง ใช้เวลา 1 สัปดาห์ 1 ชั่วโมง 1 วัน ช่วงแรกสุดของหนัง เรายังไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรและสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่พอดูๆไปจะพบว่ามันเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างชัดเจน ต่างกันที่เวลา ตอนแรกเรารู้แค่ว่าเรือชาวบ้านจะไปที่ Dunkirk จะเข้าไปในเขตสงคราม แต่เราไม่รู้ว่าพวกเขาจะเข้าไปทำไม ตอนนั้นคือเรายังไม่รู้ที่มาที่ไป รู้เพียงแต่ว่าเรือลำนี้จะต้องไปให้ได้ หนังเรื่องนี้บทสนทนาแทบจะนับคำได้ แต่เน้นการสื่อสารด้วยภาพ และจงใจเหมือนไม่สื่อสารกับเรา ทำกับเราเหมือนเป็นบุคคลที่ 3 (ซึ่งก็เป็นบุคคลที่สามจริงๆ) การใช้ภาพ การใช้กล้องและกลวิธีทางเวลาก็มาแนวเดียวเหมือนกันหมด เรือชาวบ้านลำนี้ก็พยายามจะไปช่วยคนที่อยู่ในเขตสงคราม การช่วยตรงนี้ทำให้เกิดมิติหลายอย่าง จนไปเจอทหารขวัญเสียที่ไม่อยากจะกลับไปเข้าสงครามอีก เราจะเห็นว่าพ่อกับลูกที่เป็นเจ้าของเรือนี้มองทหารขวัญเสียอย่างเข้าใจ (แต่ตัวพ่อดูจะเข้าใจได้ดีกว่าลูก) เจ้าทหารขวัญเสียนี้ ถ้าเรานำเส้นเรื่องมาเรียงเอง เราจะจำได้ว่าเขาอยู่บนเรือกับพวกพระเอก แล้วเรือล่มเพราะโดนโจมตี ทหารเสียขวัญรายนี้ถึงได้มาอยู่กับเรือชาวบ้าน ลูกชายเจ้าของเรือเห็นว่าเจ้าทหารเสียขวัญรายนี้ไม่อยากจะกลับเข้าไปในเขตสงคราม เขาเลยไม่แน่ใจในพฤติกรรม เลยให้หมอนี่เข้ามากินน้ำชาด้านในและแอบขังเขาไว้ พอทหารเสียขวัญหาทางออกาเองได้ จึงเกิดการกระทบกระทั่งกัน ทำให้ไปโดนเจ้าเด็กที่ติดมากับเรือด้วยล้มลงและหัวกระแทกพื้น

หลังจากนั้น เจ้าทหารเสียขวัญก็เลยไปนั่งสงบจิตสงบใจอยู่พักหนึ่ง ตัวเขาเองก็ยังงงๆกับพฤติกรรมของตัวเอง พอรู้สึกโอเคบ้างแล้วก็หันไปถามว่าเจ้าเด็กคนนั้นดีขึ้นหรือยัง ฝ่ายลูกชายเจ้าของเรือก็บอกว่าโอเคนะ จนถึงตอนที่เจ้าหนูนั่นตายแล้ว เจ้าทหารเสียขวัญก็ยังถามอีกว่าเจ้าหนูเป็นอย่างไรบ้าง ลูกชายเจ้าของเรือตอบไปว่าเจ้าหนูยังโอเคอยู่ ตรงนี้เป็นฉากที่มีมิติบางอย่าง ทำให้พอคาดเดาได้เลยว่าเจ้าของเรือกับลูกชายจะต้องผ่านประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องของสงครามหรือความสูญเสียมา เพราะดูแล้วเขาต่างจากคนธรรมดามาก ทำให้สอดคล้องกับช่วงแรกที่เขาพยายามออกเรือให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะไปช่วยทหารที่ยังอยู่ในเขตสงคราม ในช่วงท้ายๆเราก็มารู้ว่าลูกชายของเจ้าของเรือก็ตายในสงครามเหมือนเขา เขากับลูกชายที่เหลืออยู่จึงซึมซับความรู้สึกหลายอย่างของสิ่งที่เรียกว่าสงครามและพร้อมช่วยเหลือทหารที่ตกอยู่ในวงล้อมข้าศึก ประเด็นของเจ้าของเรือกับลูกชายไม่ได้ถูกปรุงแต่งให้เกิดความเป็นดราม่าขึ้นมาเลย เป็นตัวละครที่แสดงออกไปตามความรู้สึกที่ไม่ได้ฟูมฟายใดๆทั้งสิ้น

ตอนนี้เราย้อนกลับมาที่ทหารหนุ่มกับเพื่อนของเขาที่อยู่ตรงบริเวณชายหาด เขาทั้งคู่พยายามจะขึ้นเรือ แต่แถวมันยาวมาก พอเห็นคนป่วยนอนบนเปล เลยถือโอกาสยกเปลทหารป่วยขึ้นเลยไปเลย ทหารหนุ่มของเราพยายามที่จะหนีลูกเดียว ช่วงต้นของเรื่องจะเห็นเขาถือปืนจะยิงบ้าง แต่พอถึงจุดหนึ่ง เขาก็ไม่เอาแล้ว ขอหนีดีกว่า เรื่องนี้คงไปต้องไปถามกันอีกว่า เฮ้ย เป็นทหาร ทำไมถึงทำแบบนี้ เพราะพระเอกของเราตรงชายหาดก็ไม่ไหวแล้ว ไอ้ที่เดินลงทะเลไปเฉยๆก็คงถึงจุดของมันเหมือนกัน แล้วไอ้ทหารเสียขวัญที่อยู่บนเรือชาวบ้านอีกล่ะ คือเราอาจไม่จำเป็นต้องไปถามหาอะไรอีกนอกจากรับรู้ความรู้สึกของพวกเขาที่กำลังส่งสัญญาณกันไปตามยถากรรมว่าแต่ละคนรู้สึกอย่างไรและความคิดความอ่านล่องลอยไปถึงไหนกันแล้ว


พอพระเอกของเรากับเพื่อนของเขายังไปไหนไม่ได้ พวกเขากับทหารอังกฤษอีกกลุ่มหนึ่งก็เลยมาอยู่ในเรือที่รอน้ำขึ้นเพื่อจะได้ไปต่อได้ ไม่วายมาโดนพวกข้าศึกมายิ่งเรือจนรั่วอีก ข้าศึกในเรื่องนี้เหมือนกันผีเลย อยู่ดีๆก็โผล่มาไม่ว่าจะเป็นบนบกหรือทางอากาศ มันเป็นพวกที่จองเวรกันจริงๆ พอเรือรั่วจนพวกเขารู้สึกว่าจะต้องหาอะไรทิ้งออกนอกเรือบ้าง กรรมก็ตกมายังเพื่อนของพระเอกที่ไม่เคยพูดสักคำ จนทำให้พวกนั้นสงสัยว่าเขาเป็นพวกสายลับเยอรมันรึเปล่า แต่พอเจ้าหมอนั่นพูดขึ้นมา เราก็รู้ทันทีว่าเขาเป็นฝรั่งเศส ถึงจะอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตรด้วยกัน ทหารอังกฤษก็ยังแบ่งแยกเขาว่าฝรั่งเศสกับอังกฤษมันคนละพวกกัน ประเด็นตรงนี้ทำให้ผมสะอึกเลย คือคนเราพออยู่ในช่วงที่ต้องเอาตัวรอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร พวกเอามาแบ่งแยกกันได้หมดเลย คือหาเกณฑ์อะไรก็ได้ ยังไงก็ต้องไล่เจ้าหมอนี่ออกจากเรือให้ได้

พอเรือออกสักพัก เรือก็ล่ม แต่ละคนก็ต่างเอาตัวรอดไปคนละทิศละทาง เรื่องก็ตัดมาที่เพื่อนของทหารที่อยู่บนฟ้า เครื่องบินเขาตกแล้วมันกำลังจม เขาก็ต้องพยายามเคาะให้เอาตัวออกไปให้ได้ ประกอบกับเรือชาวบ้านมาช่วยได้พอดี เจ้านักบินจึงรอดชีวิตได้อย่างปลอดภัย ฉากนี้ก็ตัดสลับกับเรือทีพระเอกของเราไปพึ่งพา สุดท้ายก็เจอตอร์ปิโด ก็ต้องสละเรือกันอีก เรือล่ม คราบน้ำมันก็เจิ่งนองพื้นผิวน้ำ ก่อนจะถึงฉากที่เรือชาวบ้านหลายลำเข้ามาช่วยทหาร ตัวผู้พันเองกับทหารอีกคนเคยคุยกันว่าทำไมไม่มีเรือรบมาช่วยเลย และคำตอบที่ได้รับก็คือทางการเก็บเรือเอาไว้ทำสงครามครั้งหน้า แต่ก็เกณฑ์เรือชาวบ้านให้มาช่วยแทน ประโยคนี้ฟังแล้วสะอึกมาก นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้ แล้วก็ทำให้เราคิดถึงตอนแรกที่เรือชาวบ้านลำที่เป็นเรือหลักออกมาก่อนเรือลำอื่น เหมือนจะคล้ายๆหนีออกมา อาจเป็นไปได้ว่าเรือที่เกณฑ์นั้น ชาวบ้านก็ต้องมีความพร้อมถึงระดับหนึ่งด้วย อาจไม่อยากให้มีแต่คนแก่กับเด็กออกไป เจ้าของเรือหลักที่เป็นตัวเอกของเราจึงต้องรีบออกมาก่อน

ตอนที่เรือชาวบ้านของลุงช่วยทหารขึ้นเรือมาได้หลายคน ก็ดันมีเครื่องบินฝ่ายข้าศึกจะมายิง ลุงก็ใช้ทักษะหลบเลี่ยงได้เป็นอย่างดีและเหลือเชื่อมากๆ แสดงว่าลุงต้องมีทักษะทางการทหารมาก่อน ช่วงนั้นเส้นเรื่องทั้งสามมาบรรจบกันโดยสมบูรณ์ ทหารอากาศฝ่ายสัมพันธมิตรที่เหลืออยู่ลำเดียวยิงเครื่องบินข้าศึกตก แต่พอเครื่องบินระเบิด ก็ทำให้ไฟไหม้น้ำมันบนพื้นผิวน้ำ พระเอกของเราก็ต้องหาทางรอดมาให้ได้ จนได้ขึ้นเรือของลุง พวกพระเอกที่รอดกลับไปได้ บางคนก็รู้สึกแย่จริงๆที่เขากลายเป็นทหารหนีสงคราม จะมีใครมายกย่องสรรเสริญ แต่พอเจอชาวบ้านเอาอาหารมาแจก แล้วบอกว่าพวกเขารอดกลับมาได้ก็ดีแล้ว หนังกลับไปยังทหารนักบินที่ช่วยยิงข้าศึกทั้งๆที่เครื่องบินน้ำมันหมดแล้ว และต้องร่อนลงไปในฝั่งศัตรู ชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไปก็คงไม่เกินที่จะคาดเดากันได้ ฉากเผาเครื่องบินก็บาดใจสุดๆ แต่ก็ต้องเผาเพื่อไม่ให้ศัตรูจับทิศทางบางอย่างได้ ตอนจบของเรื่องนี้โอเคมากเพราะเป็นการเน้นไปที่หน้าของพระเอกที่เราเห็นเขามาตั้งแต่แรก เขาเองยังมีสีหน้างงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ ไม่ได้ยินดียินร้ายหรือสุขทุกข์ใดๆ การผจญนรกมาหนึ่งสัปดาห์ไม่สามารถจะปรับความรู้สึกได้อย่างรวดเร็ว เขาเองจึงต้องอยู่ในอารมณ์ที่เป็นแบบนี้ไปก่อน และนั่นก็คือบทสรุปทั้งหมดที่เราได้รับ.


--------------------------------------------------------------------------------
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่