‘ซอมบี้’ ถือเป็นเรื่องที่ขึ้นชื่อในไสยศาสตร์ท้องถิ่นของแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นไสยศาสตร์ที่มีพิธีกรรมอ้างอิงกับความเชื่อในเรื่องของการติดต่อสื่อสารกับวิญญาณในภพหน้า อำนาจจิต รวมไปถึงความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร และธรรมชาติ ไสยศาสตร์นั้นเรียกว่า ‘วูดู’ ศาสตร์ที่มีอิทธิพลถึงวิธีคิด ประเพณีต่างๆ อยู่คู่กับวิถีชีวิตชาวแอฟริกามาช้านาน
พิธีกรรมสร้างซอมบี้ ต่อยอดมาจากความคิดที่ว่า ในกายหยาบของมนุษย์มีอนุภาคที่จับต้องไม่ได้อยู่ 2 ส่วน คือ พลังชีวิต เป็นลมหายใจ และเงาของเรา อีกส่วนคือ วิญญาณ และจิตใจ หรือที่ชาววูดูเรียกว่า ‘ซอมบี้’ ซึ่งจะวนเวียนอยู่รอบๆ ร่างของผู้ที่เพิ่งตายราวๆ 7 วัน โดยในช่วง 7 วันแรกหลังตายนี้ ‘ซอมบี้’ จะอยู่ในภาวะที่อ่อนแอที่สุด ดังนั้น หมอผีวูดูจะใช้ช่วงเวลานี้ในการจับ ‘ซอมบี้’ ส่งกลับเข้ากายหยาบ เพื่อปลุกชีพขึ้นมา สะกดวิญญาณเอาไว้ให้อยู่ในรูปของผีที่มีกายหยาบ หรือ ‘ผีดิบ’ ไว้ใช้งานเป็นทาสต่อไป ซึ่ง ‘ซอมบี้’ จัดว่าเป็นบริวารที่ซื่อสัตย์ที่สุดต่อผู้ทรงอำนาจอย่างหมอผีวูดู ทำงานรับใช้ได้อย่างอดทน ไม่จำเป็นต้องกินหรือนอน เพียงแต่ระวังอย่าให้ถูกเกลือก็พอ เพราะเกลือจัดว่าเป็นวัตถุที่บริสุทธิ์ในทางโลกวิญญาณ ซึ่งซอมบี้ถือเป็นวิญญาณเร่ร่อนชนิดหนึ่งที่อาศัยในกายหยาบ การที่ซอมบี้สัมผัสเกลือ อาจทำให้อนุภาค 2 ส่วนของซอมบี้แตกสลายไปจากจากโลกมนุษย์ได้
การทำงานรับใช้ของเหล่าซอมบี้ภายใต้อาณัติของหมอผีวูดูนั้นสามารถเป็นอะไรก็ได้ ตามแต่ที่หมอผีวูดูต้องการ ไม่ว่าจะงานเล็กน้อยอย่างงานบ้านประจำวัน งานเกษตรกรรม งานก่อสิ่งปลูกสร้าง แต่ในขณะเดียวกัน ‘การทำร้ายเพื่อการล้างแค้น’ ก็สามารถทำได้เช่นกัน..
แรงงานซอมบี้ของอารยธรรมวูดู
LEGEND OF THE DEAD
เรื่องราวของคนตายเดินดินกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับ ‘จอร์จ โรเมโร’ ผู้กำกับวัย 28 ปีสร้างหนังที่เล่าถึงคนตายลุกขึ้นมาจากหลุมศพด้วยอำนาจเวทมนต์บางอย่างแล้วทำร้ายสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งที่ขวางหน้าอย่างบ้าคลั่ง โดยมีกลุ่มตัวละครกลุ่มหนึ่งนำโดย ชายฉกรรจ์ผิวสี โดยตัวหนังได้สอดแทรกประเด็นอะไรหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น ความขัดแย้งในสถานการณ์ที่ต้องติดอยู่ในสถานที่ปิดตายเพื่อเอาตัวรอด การทำใจที่ต้องสูญเสียคนรัก รวมไปถึงความเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งส่งผลให้ตอนจบของหนังเป็นสิ่งที่สะเทือนขวัญต่อแนวคิดของอเมริกันชนในปี 1968 เป็นอย่างมาก ทำให้ ‘Night of the Living Dead’ เป็นมากกว่าหนังสยองขวัญพันธุ์ใหม่ เนื่องจากหลายๆ ประเด็นดังกล่าวที่สอดแทรกในตัวหนัง และเป็นหนังสยองขวัญชั้นครูอยู่คู่ฟ้าในวงการมาตลอดมา และจะคงอยู่ตลอดไป..
BIOHAZARD
เรื่องราวของคนตายเดินดิน นอกจากกำเนิดจากเวทย์วูดูแล้ว ยังมีอีก 1 เรื่องราวที่ทำให้เหล่าคนตายลุกขึ้นมาอาละวาดอีกครั้ง นั่นคือ ‘ไวรัส’ ถึงแม้ว่าหลังจาก Night of Living Dead อาจจะมีหนังซอมบี้เรื่องอื่นที่พูดถึงคนตายคืนจากหลุมเพราะเชื้อโรค/ไวรัส ไม่ว่าจะเป็น Zombie ปี 1979 ที่ทำฉากฉีกเนื้อคนได้อย่างสยดสยองสมจริง หรือ The Return of the Living Dead ปี 1985 ต้นกำเนิดของธรรมเนียม ‘ซอมบี้ต้องกินสมอง’ แต่ภาพรวมของเฟรนไชส์ทั้ง 2 เรื่องนี้เลี่ยงไม่ได้เลยที่จะบอกว่ามันดูคล้ายการเกาะบารมี ‘Frenchise of the Dead’ ของจอร์จ โรเมโร มากกว่า ซึ่งหนังซอมบี้พันธุ์ไวรัสที่ได้รับความนิยมที่สุด กลับไม่ใช่หนังที่ได้แรงบันดาลใจจาก Frenchise of the Dead แต่อย่างใด แต่เป็นหนังที่ดัดแปลงจากเกมส์สยองขวัญฝ่าดงซอมบี้แห่งยุคอย่าง ‘Resident Evil’ หรือในชื่อญี่ปุ่นคือ ‘Biohazard’
โดย Resident Evil ฉบับภาพยนตร์ในปี 2002 ได้ผู้กำกับ ‘พอล ดับบลิวเอส แอนเดอร์สัน’ ผู้ที่เพิ่งแจ้งเกิดครั้งใหญ่จากการนำเกมส์ต่อสู้มาเป็นหนังอย่าง ‘Mortal Kombat’ และหนังไซไฟสยองขวัญระดับจักรวาลอย่าง ‘Event Horizon’ ทางสตูดิโออย่าง Screen Gems ในเครือของ SONY Pictures จึงคิดว่าไม่น่าเป็นเรื่องยากหากจะให้ ดับบลิวเอส แอนเดอร์สัน กำกับหนังที่สร้างขึ้นจากเกมส์แนวไซไฟสยองขวัญ อีกทั้งยังได้รับทุนสนับสนุนส่วนหนึ่งจาก CAPCOM เจ้าของลิขสิทธิ์เกมส์ Biohazard โดยตรง
ถึงอย่างนั้น Resident Evil ฉบับภาพยนตร์ กลับไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง หรือดำเนินตามเนื้อเรื่องในเกมส์เลย มีเพียงสถานที่ องค์กรลับอย่าง ‘Umbrella Corp.’ ที่มีการอ้างอิงจากตัวเกมส์ รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อย่าง ‘Licker’ แต่เจ้า Licker ในเวอร์ชั่นหนังนั้น CAPCOM ได้ส่งตรงเวอร์ชั่นพิเศษแก่ SONY โดยตรง ซึ่งเป็น Licker ที่สามารถกลายพันธุ์ได้ และด้วยความสามารถนี้ ทำให้มันกลายเป็นวายร้ายหลักประจำภาคไปโดยปริยาย
Resident Evil ฉบับภาพยนตร์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จากการผสมผสานเอาความสยองขวัญสไตล์หนังซอมบี้ ความเป็นหนังไซไฟ และความมันส์ในฉากแอ็คชั่นเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ทำให้ Resident Evil (ภาคแรก) ได้รับการยกให้เป็น 1 ในหนังดัดแปลงจากเกมส์ที่ประสบความสำเร็จที่สุด จนส่งผลให้มีหนังสยองขวัญดัดแปลงจากเกมส์เรื่องอื่นๆ เข็นตามกันออกมา ไม่ว่าจะเป็น The House of the Dead ,Silent Hill หรือแม้แต่ DOOM ซึ่งนอกจาก Resident Evil แล้ว ก็แทบไม่มีเรื่องไหนประสบความสำเร็จอีกเลย และกับตัวเฟรนไชส์ Resident Evil เองก็ปิดตัวลงไปได้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่
แต่ความพยายามในการเข็นเกมส์สู่หนังของ SONY ก็ยังไม่ลดลงง่ายๆ เมื่อล่าสุด SONY ตัดสินใจทำการรีบู๊ทเฟรนไชส์นี้อีกครั้ง การรีบู๊ทในครั้งนี้ ทางค่ายประกาศว่า จะเป็นการดำเนินเรื่องตามเนื้อหาในเกมส์มากขึ้น เพื่อเป็นการแสดงความซื่อสัตย์ต่อฐานแฟนคลับจากเกมส์ต้นฉบับ โดยได้ ‘เจมส์ วาน’ ผู้กำกับมือฉมังรุ่นใหม่ไฟแรงที่ได้รับฉายา ‘เจ้าพ่อหนังสยองขวัญยุคใหม่’ อย่างไม่ตั้งใจ หลังประกาศศักดาวาดลีลาความสยองไว้ใน SAW ภาคแรก ,INSIDIOUS และ The Conjuring มาเป็นผู้อำนวยการสร้าง นอกจากนี้ SONY ยังประกาศสร้างหนังสยองจากเกมส์อีกเรื่อง นั่นคือ ‘The Last of Us’ เกมส์ฝ่าวิกฤติเชื้อล้างโลกเนื้อหาสุดเข้มข้นจนขึ้นหิ้ง ที่ได้ ‘แซม ไรมี่’ เจ้าของตำนาน ‘Evil Dead’ มาอำนวยการสร้างอีกเช่นกัน
เสพสยอง | การเดินทางของ "คนตายเดินดิน" | DEVA HELLBLAZER
‘ซอมบี้’ ถือเป็นเรื่องที่ขึ้นชื่อในไสยศาสตร์ท้องถิ่นของแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นไสยศาสตร์ที่มีพิธีกรรมอ้างอิงกับความเชื่อในเรื่องของการติดต่อสื่อสารกับวิญญาณในภพหน้า อำนาจจิต รวมไปถึงความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร และธรรมชาติ ไสยศาสตร์นั้นเรียกว่า ‘วูดู’ ศาสตร์ที่มีอิทธิพลถึงวิธีคิด ประเพณีต่างๆ อยู่คู่กับวิถีชีวิตชาวแอฟริกามาช้านาน
พิธีกรรมสร้างซอมบี้ ต่อยอดมาจากความคิดที่ว่า ในกายหยาบของมนุษย์มีอนุภาคที่จับต้องไม่ได้อยู่ 2 ส่วน คือ พลังชีวิต เป็นลมหายใจ และเงาของเรา อีกส่วนคือ วิญญาณ และจิตใจ หรือที่ชาววูดูเรียกว่า ‘ซอมบี้’ ซึ่งจะวนเวียนอยู่รอบๆ ร่างของผู้ที่เพิ่งตายราวๆ 7 วัน โดยในช่วง 7 วันแรกหลังตายนี้ ‘ซอมบี้’ จะอยู่ในภาวะที่อ่อนแอที่สุด ดังนั้น หมอผีวูดูจะใช้ช่วงเวลานี้ในการจับ ‘ซอมบี้’ ส่งกลับเข้ากายหยาบ เพื่อปลุกชีพขึ้นมา สะกดวิญญาณเอาไว้ให้อยู่ในรูปของผีที่มีกายหยาบ หรือ ‘ผีดิบ’ ไว้ใช้งานเป็นทาสต่อไป ซึ่ง ‘ซอมบี้’ จัดว่าเป็นบริวารที่ซื่อสัตย์ที่สุดต่อผู้ทรงอำนาจอย่างหมอผีวูดู ทำงานรับใช้ได้อย่างอดทน ไม่จำเป็นต้องกินหรือนอน เพียงแต่ระวังอย่าให้ถูกเกลือก็พอ เพราะเกลือจัดว่าเป็นวัตถุที่บริสุทธิ์ในทางโลกวิญญาณ ซึ่งซอมบี้ถือเป็นวิญญาณเร่ร่อนชนิดหนึ่งที่อาศัยในกายหยาบ การที่ซอมบี้สัมผัสเกลือ อาจทำให้อนุภาค 2 ส่วนของซอมบี้แตกสลายไปจากจากโลกมนุษย์ได้
การทำงานรับใช้ของเหล่าซอมบี้ภายใต้อาณัติของหมอผีวูดูนั้นสามารถเป็นอะไรก็ได้ ตามแต่ที่หมอผีวูดูต้องการ ไม่ว่าจะงานเล็กน้อยอย่างงานบ้านประจำวัน งานเกษตรกรรม งานก่อสิ่งปลูกสร้าง แต่ในขณะเดียวกัน ‘การทำร้ายเพื่อการล้างแค้น’ ก็สามารถทำได้เช่นกัน..
LEGEND OF THE DEAD
เรื่องราวของคนตายเดินดินกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับ ‘จอร์จ โรเมโร’ ผู้กำกับวัย 28 ปีสร้างหนังที่เล่าถึงคนตายลุกขึ้นมาจากหลุมศพด้วยอำนาจเวทมนต์บางอย่างแล้วทำร้ายสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งที่ขวางหน้าอย่างบ้าคลั่ง โดยมีกลุ่มตัวละครกลุ่มหนึ่งนำโดย ชายฉกรรจ์ผิวสี โดยตัวหนังได้สอดแทรกประเด็นอะไรหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น ความขัดแย้งในสถานการณ์ที่ต้องติดอยู่ในสถานที่ปิดตายเพื่อเอาตัวรอด การทำใจที่ต้องสูญเสียคนรัก รวมไปถึงความเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งส่งผลให้ตอนจบของหนังเป็นสิ่งที่สะเทือนขวัญต่อแนวคิดของอเมริกันชนในปี 1968 เป็นอย่างมาก ทำให้ ‘Night of the Living Dead’ เป็นมากกว่าหนังสยองขวัญพันธุ์ใหม่ เนื่องจากหลายๆ ประเด็นดังกล่าวที่สอดแทรกในตัวหนัง และเป็นหนังสยองขวัญชั้นครูอยู่คู่ฟ้าในวงการมาตลอดมา และจะคงอยู่ตลอดไป..
BIOHAZARD
เรื่องราวของคนตายเดินดิน นอกจากกำเนิดจากเวทย์วูดูแล้ว ยังมีอีก 1 เรื่องราวที่ทำให้เหล่าคนตายลุกขึ้นมาอาละวาดอีกครั้ง นั่นคือ ‘ไวรัส’ ถึงแม้ว่าหลังจาก Night of Living Dead อาจจะมีหนังซอมบี้เรื่องอื่นที่พูดถึงคนตายคืนจากหลุมเพราะเชื้อโรค/ไวรัส ไม่ว่าจะเป็น Zombie ปี 1979 ที่ทำฉากฉีกเนื้อคนได้อย่างสยดสยองสมจริง หรือ The Return of the Living Dead ปี 1985 ต้นกำเนิดของธรรมเนียม ‘ซอมบี้ต้องกินสมอง’ แต่ภาพรวมของเฟรนไชส์ทั้ง 2 เรื่องนี้เลี่ยงไม่ได้เลยที่จะบอกว่ามันดูคล้ายการเกาะบารมี ‘Frenchise of the Dead’ ของจอร์จ โรเมโร มากกว่า ซึ่งหนังซอมบี้พันธุ์ไวรัสที่ได้รับความนิยมที่สุด กลับไม่ใช่หนังที่ได้แรงบันดาลใจจาก Frenchise of the Dead แต่อย่างใด แต่เป็นหนังที่ดัดแปลงจากเกมส์สยองขวัญฝ่าดงซอมบี้แห่งยุคอย่าง ‘Resident Evil’ หรือในชื่อญี่ปุ่นคือ ‘Biohazard’
โดย Resident Evil ฉบับภาพยนตร์ในปี 2002 ได้ผู้กำกับ ‘พอล ดับบลิวเอส แอนเดอร์สัน’ ผู้ที่เพิ่งแจ้งเกิดครั้งใหญ่จากการนำเกมส์ต่อสู้มาเป็นหนังอย่าง ‘Mortal Kombat’ และหนังไซไฟสยองขวัญระดับจักรวาลอย่าง ‘Event Horizon’ ทางสตูดิโออย่าง Screen Gems ในเครือของ SONY Pictures จึงคิดว่าไม่น่าเป็นเรื่องยากหากจะให้ ดับบลิวเอส แอนเดอร์สัน กำกับหนังที่สร้างขึ้นจากเกมส์แนวไซไฟสยองขวัญ อีกทั้งยังได้รับทุนสนับสนุนส่วนหนึ่งจาก CAPCOM เจ้าของลิขสิทธิ์เกมส์ Biohazard โดยตรง
ถึงอย่างนั้น Resident Evil ฉบับภาพยนตร์ กลับไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง หรือดำเนินตามเนื้อเรื่องในเกมส์เลย มีเพียงสถานที่ องค์กรลับอย่าง ‘Umbrella Corp.’ ที่มีการอ้างอิงจากตัวเกมส์ รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อย่าง ‘Licker’ แต่เจ้า Licker ในเวอร์ชั่นหนังนั้น CAPCOM ได้ส่งตรงเวอร์ชั่นพิเศษแก่ SONY โดยตรง ซึ่งเป็น Licker ที่สามารถกลายพันธุ์ได้ และด้วยความสามารถนี้ ทำให้มันกลายเป็นวายร้ายหลักประจำภาคไปโดยปริยาย
Resident Evil ฉบับภาพยนตร์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จากการผสมผสานเอาความสยองขวัญสไตล์หนังซอมบี้ ความเป็นหนังไซไฟ และความมันส์ในฉากแอ็คชั่นเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ทำให้ Resident Evil (ภาคแรก) ได้รับการยกให้เป็น 1 ในหนังดัดแปลงจากเกมส์ที่ประสบความสำเร็จที่สุด จนส่งผลให้มีหนังสยองขวัญดัดแปลงจากเกมส์เรื่องอื่นๆ เข็นตามกันออกมา ไม่ว่าจะเป็น The House of the Dead ,Silent Hill หรือแม้แต่ DOOM ซึ่งนอกจาก Resident Evil แล้ว ก็แทบไม่มีเรื่องไหนประสบความสำเร็จอีกเลย และกับตัวเฟรนไชส์ Resident Evil เองก็ปิดตัวลงไปได้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่
แต่ความพยายามในการเข็นเกมส์สู่หนังของ SONY ก็ยังไม่ลดลงง่ายๆ เมื่อล่าสุด SONY ตัดสินใจทำการรีบู๊ทเฟรนไชส์นี้อีกครั้ง การรีบู๊ทในครั้งนี้ ทางค่ายประกาศว่า จะเป็นการดำเนินเรื่องตามเนื้อหาในเกมส์มากขึ้น เพื่อเป็นการแสดงความซื่อสัตย์ต่อฐานแฟนคลับจากเกมส์ต้นฉบับ โดยได้ ‘เจมส์ วาน’ ผู้กำกับมือฉมังรุ่นใหม่ไฟแรงที่ได้รับฉายา ‘เจ้าพ่อหนังสยองขวัญยุคใหม่’ อย่างไม่ตั้งใจ หลังประกาศศักดาวาดลีลาความสยองไว้ใน SAW ภาคแรก ,INSIDIOUS และ The Conjuring มาเป็นผู้อำนวยการสร้าง นอกจากนี้ SONY ยังประกาศสร้างหนังสยองจากเกมส์อีกเรื่อง นั่นคือ ‘The Last of Us’ เกมส์ฝ่าวิกฤติเชื้อล้างโลกเนื้อหาสุดเข้มข้นจนขึ้นหิ้ง ที่ได้ ‘แซม ไรมี่’ เจ้าของตำนาน ‘Evil Dead’ มาอำนวยการสร้างอีกเช่นกัน