สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 25
มี สามประเด็นคำตอบ
หนึ่ง เครื่องดีเซลมีประสิทธิภาพสูงกว่าเครื่อง Gasoline หมายถึงเครื่องมีความสามารถในการสร้างแรงบิด และแรงม้าต่อจำนวนน้ำมันที่ใช้ไปได้กว่าเครื่อง Gasoline ดังนั้นไม่แปลกที่จะเห็นเครื่องดีเซลอยู่ในรถบรรทุก รถเพื่อการขนส่งในเชิงพาณิชย์ เพราะมันประหยัด และฉุดลากได้ดี
แต่ข้อจำกัดคือ เครื่องดีเซลหมุนได้ช้ากว่าเครื่อง Gasoline เพราะชิ้นส่วนต่างๆ มีขนาดใหญ่กว่า และรับแรงจาการระเบิดของน้ำมันมากกว่า
ดังนั้น ถ้ายังต่อเชื่อมกับระบบส่งกำลังแบบ 4-5 Speed ก็จะทำให้การขับขี่ไม่สนุกเมื่อเทียบกับเครื่อง Gasoline
ที่ว่าไม่สนุกก็เพราะลากรอบไม่ได้มากลากปุ๊ปก็หมด
ต่อมาเมื่อระบบส่งกำลังพัฒนาขึ้นมาเป็นแบบ 8 ++ speed ผนวกกับการใช้ระบบอัดอากาศ (Turbo Charger) ในปัจจุบัน จึงทำให้การขับขี่รถเครื่องดีเซลเป็นไปได้แบบสนุกสนานมากขึ้น ลองไปถามพวกที่ขับ BMW 525, 520d ดูซิว่ามีแรง และสนุกแค่ไหน
นอกจากนี้เครื่องยังได้รับการออกแบบให้ลดอาการสั่น และลดเสียงรบกวนในห้องโดยสารไปได้เกือบทั้งหมด
เสียงด้านนอกตัวรถยังดังครับ เพราะนั่นคือ ลักษณะเฉพาะตัวของเครื่องดีเซลแบบฉีดตรง แต่เสียงด้านในแทบไม่ได้ยิน
ดังนั้นสาเหตุแรกที่มันได้รับความนิยมก็คือ ประหยัดในเมือง 13-14 Km/lt นอกเมือง 19 Km/lt สบายๆ ขับสนุก แรงดึง (แรงบิด) ดีมาก ดึงหลังติดเบาะได้ง่ายๆ ถ้าไม่เน้นขับเร็วเกินกว่า 140++ Km/hr ผมไม่คิดว่ามันจะแพ้เครื่อง Gasoline ตรงไหน
ถ้าได้ลองขับรถดีเซลแล้วจะติดใจขับง่ายในเมือง เพราะแรงบิดสูง แตะนิดเดียวก็ไปแล้ว
แรงดึงดีมาก เพราะแรงบิดสูง ถ้าใช้ความเร็วช่วง 50-140 เป็นส่วนใหญ่ ผมรับรองว่าชอบเครื่องดีเซล เกินกว่า 140 Km/hr นั้นไม่ใช่ว่าจะไม่แรงนะครับเพียงแต่สู้เครื่อง Gasoline ที่มีกำลังพอๆกันไม่ได้แค่นั้นเอง
ประหยัดโคตรๆ แรง ขับสนุก แค่เสียตรงเสียงเหมือนกะบะ (เมื่อฟังจากนอกรถ)
- สอง เรื่องมลพิษ
จริงๆ แล้วทั้งน้ำมัน Gasoline และ ดีเซล ต่างก่อให้เกิดมลพิษ แต่มลพิษที่ตกค้าง และยังจัดการได้ไม่ดีนักนั้นเป็นคนละประเภทกัน
เครื่องดีเซลจะก่อให้เกิดฝุ่นขนาดเล็ก ปล่อย NOx มากกว่าเครื่อง Gasoline
เครื่อง Gasoline ปล่อย CO2 (ตัวการทำโลกร้อน) มากกว่าเครื่องดีเซล และปล่อย CO (ก๊าซที่ทำให้คนที่นอนในรถที่ติดเครื่องหมดสติ หรือเสียชีวิต) ในขณะที่ เครื่องดีเซลไม่ปล่อย CO ออกมาเลย
จริงๆ แล้วมีหลายวิธีที่จะค่อยๆ ทำให้ NOx ที่ปล่อยจากเครื่องดีเซลลดลงไป เช่น การใช้ ยูเรีย (Add Blue ที่เติมใน Benz) หรือการติดตั้ง Diesel Particulate Filter ซึ่งจะกรองฝุ่นขนาดเล็ก อีกทั้งตัวน้ำมันดีเซลเองก็ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ (มาตราฐาน Euro)
เรื่องมาแตกตรงที่ VW โดนจับได้ว่าโกงค่ามลพิษนี่แหละครับ อนาคตเครื่องดีเซลก็เริ่มสะดุดลง
- สาม การเกิดขึ้นของเครื่อง Hybrid
เครื่อง Hybrid ที่ใช้งานได้ดีในปัจจุบันล้วนแต่เชื่อมต่อกับเครื่อง Gasoline พวกนี้ทำงานได้ราบลื่น เชื่อมต่อระหว่าไฟฟ้ากับน้ำมันได้อย่างไม่มีสะดุด คือ คนขับแทบไม่รู้ตัว มีบางกรณีที่เชื่อมต่อกับเครื่องดีเซล เช่น Benz E300 Bluetec Hybrid รายนั้นไปตามอ่านได้ครับว่าเขาเจอปัญหาอะไรบ้าง และอัตราการประหยัดน้ำมันใกล้เคียงกับเครื่องดีเซลเดี่ยวๆ ขนาดไหน (คือ ไม่รู้จะทำ Hybrid ไปทำไม)
เรารู้ว่าโลกกำลังจะเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้รถไฟฟ้าในอีกไม่ช้า
ค่ายรถก็พยายามปรับตัวให้รองรับการเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่ใช่ว่าอยากเปลี่ยน แต่จะโดนบังคับให้เปลี่ยน
นึกดูดีๆ ว่าค่ายรถจะยอมทิ้งเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่ตัวเองปลุกปั้นมานาน แล้วกระโดดไปมีความสามารถใกล้กับผู้เล่นรายใหม่ๆ เช่น Tesla เพื่ออะไร
เราจะเห็นได้ว่าเดี๋ยวนี้อุปกรณ์ไฟฟ้าเต็มรถ พวงมาลัยก็ไฟฟ้า เบรคมือก็ไฟฟ้า ไหนจะอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอีกจิปาถะ
ก็เพราะเขาเตรียมตัวรอไปทำรถไฟฟ้าเมื่อเวลามาถึง Accord Hybrid ใหม่ก็ติดตั้งแบตเตอรรี่ไว้ที่ใต้ท้องรถตามการออกแบบของรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ แล้ว
เมื่อเครื่องดีเซลไม่ได้เป็นตัวเลือกสำหรับการเปลี่ยนผ่านนี้มันก็จะค่อยๆ ตายไปช้าๆ
ส่วนเรื่อง Gasoline คงจะมีชะตากรรมคล้ายๆ กันแต่คงจะช้ากว่ากันซัก 10 ปี
ทีนี้เพราะเราเป็นประเทศโลกที่สามไง เครื่องส่วนที่เหลือๆ จากทางนู้นมันก็ไหลมาทางนี้
แต่ผมไม่ได้มองว่าเป็นข้อเสียนะครับ เพราะเครื่องสมัยใหม่พวกนี้ก็ถือว่าสะอาดมากแล้ว บางเครื่องสะอาดเกินจนใช้น้ำมันดีเซลในบ้านเราไม่ได้
ีรถคันใหม่ของผม ถ้าไม่เป็นดีเซลรุ่นสุดท้าย (รุ่นที่ดีที่สุดที่มนุษยชาติคิดได้ ก่อนที่เทคโนโลยีจะตายไป) ก็คงจะเป็นรถไฟฟ้าครับ
หนึ่ง เครื่องดีเซลมีประสิทธิภาพสูงกว่าเครื่อง Gasoline หมายถึงเครื่องมีความสามารถในการสร้างแรงบิด และแรงม้าต่อจำนวนน้ำมันที่ใช้ไปได้กว่าเครื่อง Gasoline ดังนั้นไม่แปลกที่จะเห็นเครื่องดีเซลอยู่ในรถบรรทุก รถเพื่อการขนส่งในเชิงพาณิชย์ เพราะมันประหยัด และฉุดลากได้ดี
แต่ข้อจำกัดคือ เครื่องดีเซลหมุนได้ช้ากว่าเครื่อง Gasoline เพราะชิ้นส่วนต่างๆ มีขนาดใหญ่กว่า และรับแรงจาการระเบิดของน้ำมันมากกว่า
ดังนั้น ถ้ายังต่อเชื่อมกับระบบส่งกำลังแบบ 4-5 Speed ก็จะทำให้การขับขี่ไม่สนุกเมื่อเทียบกับเครื่อง Gasoline
ที่ว่าไม่สนุกก็เพราะลากรอบไม่ได้มากลากปุ๊ปก็หมด
ต่อมาเมื่อระบบส่งกำลังพัฒนาขึ้นมาเป็นแบบ 8 ++ speed ผนวกกับการใช้ระบบอัดอากาศ (Turbo Charger) ในปัจจุบัน จึงทำให้การขับขี่รถเครื่องดีเซลเป็นไปได้แบบสนุกสนานมากขึ้น ลองไปถามพวกที่ขับ BMW 525, 520d ดูซิว่ามีแรง และสนุกแค่ไหน
นอกจากนี้เครื่องยังได้รับการออกแบบให้ลดอาการสั่น และลดเสียงรบกวนในห้องโดยสารไปได้เกือบทั้งหมด
เสียงด้านนอกตัวรถยังดังครับ เพราะนั่นคือ ลักษณะเฉพาะตัวของเครื่องดีเซลแบบฉีดตรง แต่เสียงด้านในแทบไม่ได้ยิน
ดังนั้นสาเหตุแรกที่มันได้รับความนิยมก็คือ ประหยัดในเมือง 13-14 Km/lt นอกเมือง 19 Km/lt สบายๆ ขับสนุก แรงดึง (แรงบิด) ดีมาก ดึงหลังติดเบาะได้ง่ายๆ ถ้าไม่เน้นขับเร็วเกินกว่า 140++ Km/hr ผมไม่คิดว่ามันจะแพ้เครื่อง Gasoline ตรงไหน
ถ้าได้ลองขับรถดีเซลแล้วจะติดใจขับง่ายในเมือง เพราะแรงบิดสูง แตะนิดเดียวก็ไปแล้ว
แรงดึงดีมาก เพราะแรงบิดสูง ถ้าใช้ความเร็วช่วง 50-140 เป็นส่วนใหญ่ ผมรับรองว่าชอบเครื่องดีเซล เกินกว่า 140 Km/hr นั้นไม่ใช่ว่าจะไม่แรงนะครับเพียงแต่สู้เครื่อง Gasoline ที่มีกำลังพอๆกันไม่ได้แค่นั้นเอง
ประหยัดโคตรๆ แรง ขับสนุก แค่เสียตรงเสียงเหมือนกะบะ (เมื่อฟังจากนอกรถ)
- สอง เรื่องมลพิษ
จริงๆ แล้วทั้งน้ำมัน Gasoline และ ดีเซล ต่างก่อให้เกิดมลพิษ แต่มลพิษที่ตกค้าง และยังจัดการได้ไม่ดีนักนั้นเป็นคนละประเภทกัน
เครื่องดีเซลจะก่อให้เกิดฝุ่นขนาดเล็ก ปล่อย NOx มากกว่าเครื่อง Gasoline
เครื่อง Gasoline ปล่อย CO2 (ตัวการทำโลกร้อน) มากกว่าเครื่องดีเซล และปล่อย CO (ก๊าซที่ทำให้คนที่นอนในรถที่ติดเครื่องหมดสติ หรือเสียชีวิต) ในขณะที่ เครื่องดีเซลไม่ปล่อย CO ออกมาเลย
จริงๆ แล้วมีหลายวิธีที่จะค่อยๆ ทำให้ NOx ที่ปล่อยจากเครื่องดีเซลลดลงไป เช่น การใช้ ยูเรีย (Add Blue ที่เติมใน Benz) หรือการติดตั้ง Diesel Particulate Filter ซึ่งจะกรองฝุ่นขนาดเล็ก อีกทั้งตัวน้ำมันดีเซลเองก็ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ (มาตราฐาน Euro)
เรื่องมาแตกตรงที่ VW โดนจับได้ว่าโกงค่ามลพิษนี่แหละครับ อนาคตเครื่องดีเซลก็เริ่มสะดุดลง
- สาม การเกิดขึ้นของเครื่อง Hybrid
เครื่อง Hybrid ที่ใช้งานได้ดีในปัจจุบันล้วนแต่เชื่อมต่อกับเครื่อง Gasoline พวกนี้ทำงานได้ราบลื่น เชื่อมต่อระหว่าไฟฟ้ากับน้ำมันได้อย่างไม่มีสะดุด คือ คนขับแทบไม่รู้ตัว มีบางกรณีที่เชื่อมต่อกับเครื่องดีเซล เช่น Benz E300 Bluetec Hybrid รายนั้นไปตามอ่านได้ครับว่าเขาเจอปัญหาอะไรบ้าง และอัตราการประหยัดน้ำมันใกล้เคียงกับเครื่องดีเซลเดี่ยวๆ ขนาดไหน (คือ ไม่รู้จะทำ Hybrid ไปทำไม)
เรารู้ว่าโลกกำลังจะเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้รถไฟฟ้าในอีกไม่ช้า
ค่ายรถก็พยายามปรับตัวให้รองรับการเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่ใช่ว่าอยากเปลี่ยน แต่จะโดนบังคับให้เปลี่ยน
นึกดูดีๆ ว่าค่ายรถจะยอมทิ้งเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่ตัวเองปลุกปั้นมานาน แล้วกระโดดไปมีความสามารถใกล้กับผู้เล่นรายใหม่ๆ เช่น Tesla เพื่ออะไร
เราจะเห็นได้ว่าเดี๋ยวนี้อุปกรณ์ไฟฟ้าเต็มรถ พวงมาลัยก็ไฟฟ้า เบรคมือก็ไฟฟ้า ไหนจะอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอีกจิปาถะ
ก็เพราะเขาเตรียมตัวรอไปทำรถไฟฟ้าเมื่อเวลามาถึง Accord Hybrid ใหม่ก็ติดตั้งแบตเตอรรี่ไว้ที่ใต้ท้องรถตามการออกแบบของรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ แล้ว
เมื่อเครื่องดีเซลไม่ได้เป็นตัวเลือกสำหรับการเปลี่ยนผ่านนี้มันก็จะค่อยๆ ตายไปช้าๆ
ส่วนเรื่อง Gasoline คงจะมีชะตากรรมคล้ายๆ กันแต่คงจะช้ากว่ากันซัก 10 ปี
ทีนี้เพราะเราเป็นประเทศโลกที่สามไง เครื่องส่วนที่เหลือๆ จากทางนู้นมันก็ไหลมาทางนี้
แต่ผมไม่ได้มองว่าเป็นข้อเสียนะครับ เพราะเครื่องสมัยใหม่พวกนี้ก็ถือว่าสะอาดมากแล้ว บางเครื่องสะอาดเกินจนใช้น้ำมันดีเซลในบ้านเราไม่ได้
ีรถคันใหม่ของผม ถ้าไม่เป็นดีเซลรุ่นสุดท้าย (รุ่นที่ดีที่สุดที่มนุษยชาติคิดได้ ก่อนที่เทคโนโลยีจะตายไป) ก็คงจะเป็นรถไฟฟ้าครับ
แสดงความคิดเห็น
ทำไม ปัจจุบัน นิยมผลิตรถเก๋งเครื่องดีเซล มากกว่าเมื่อก่อน ?!?
เสียงก็ดังกว่า สั่นสะเทือนก็มากกว่า
ราคาน้ำมันก็พอๆกับเบนซิน
แล้วรถเก๋งก็ไม่ได้เน้นบรรทุกหนักที่จะเน้นเอาแรงบิดของเครื่องยนต์ช่วยแบบดีเซล
แถมยังมีข่าวเครื่องดีเซลในรถเก๋งมีปัญหาอยู่เรื่อยๆอีก
หรือแค่ว่ามลพิษน้อยกว่ากับเครื่องทนทานกว่าและซ่อมบำรุงง่ายกว่า เครื่องเบนซิน แค่นั้น