สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
"บ่อยครั้งที่เราจะพบผู้ชายที่คบกับกะเทย หรือมีความสัมพันธ์ทางเพศกับกะเทย ทำไมนะ พวกเขาถึงโดนมองว่าไม่ใช่ผู้ชายแท้ บ้างก็โดนว่าเป็นเกย์ หนักหน่อยก็ว่าอยากลองของแปลก ความรักมันมีข้อจำกัดด้วยงั้นหรอกหรือ"
เริ่มต้นมาก็ irony ได้แสบซี๊ดดีครับ ไม่ใช่ในฐานะที่ผมเป็น "ชายแท้" ที่เป็นผัวกะเทยนะ แต่ในฐานะ "เกย์" ครับ...
อ่านจบแล้วก็คิดขึ้นมาทันทีเลยว่าก็แค่เรียงความสั่ว ๆ ที่ไม่ได้มีอะไรใหม่เลย ไม่ได้ส่งเสริมการรับรู้ที่ดีอะไรเกี่ยวกับรักร่วมเพศ (เพศที่ 3) เลย ใจความมีแค่ว่า เฮ้ย! กรูเป็นชายแท้นะ กรูไม่ใช่เกย์ กรูไม่ได้กินของแปลก ย้ำว่ากรูชายแท้เว้ย ไม่ใช่เกย์ กรูไม่แปลกเว้ย กรูจะคบใคร เยใครก็ได้ แต่กรูไม่ใช่เกย์นะเว้ย กรูผู้ชายปกติเว้ย...
มันก็แค่บทความเกี่ยวกับผัวกะเทยที่ยังเหยียบหัวเกย์และรักร่วมเพศอื่น ๆ เพื่อพยายามที่จะรักษาสถานะทางสังคมของตัวเองไว้ก็แค่นั้นอ่ะครับ อ่านจบแล้วเกย์และรักร่วมเพศอื่น ๆ ก็ยังคงอยู่ชายขอบเหมือนเดิม เหมือนลากเกย์มาตบหน้าคว่ำสลบเหมือดอยู่กลางสายฝนแล้วเดินจากไปเยี่ยงฮีโร่ผู้กอบกู้เกียรติยศให้ผัวกะเทย...
เอาจริง ๆ ผมไม่มีปัญหาอะไรกับการที่ผัวกะเทยหรือใครจะ define ตัวเองว่าเป็นอะไรยังไงเลยนะ และเข้าใจด้วยว่านี่คือบทความเกี่ยวกับการปกป้องสถานะของผัวกะเทย ไม่ได้จะยกหรือปกป้องสถานะของรักร่วมเพศ แต่ถ้าจะรักษาสถานะทางสังคมของตัวเองไว้ก็อย่าทำโดยการกดทับคนอื่นครับ อย่ากระทบคนอื่น มันไม่สง่า มันไม่แมนเว้ย!
ปล. ถ้าแทนที่คำว่า "ผัวกะเทย" ด้วยคำว่า "รักร่วมเพศ" หรือ "เพศที่ 3" นะ มันจะไม่มีอะไรที่ผมจะเขียนกระแนะกระแหนเลย ออกจะเห็นด้วยด้วยซ้ำ...
เริ่มต้นมาก็ irony ได้แสบซี๊ดดีครับ ไม่ใช่ในฐานะที่ผมเป็น "ชายแท้" ที่เป็นผัวกะเทยนะ แต่ในฐานะ "เกย์" ครับ...
อ่านจบแล้วก็คิดขึ้นมาทันทีเลยว่าก็แค่เรียงความสั่ว ๆ ที่ไม่ได้มีอะไรใหม่เลย ไม่ได้ส่งเสริมการรับรู้ที่ดีอะไรเกี่ยวกับรักร่วมเพศ (เพศที่ 3) เลย ใจความมีแค่ว่า เฮ้ย! กรูเป็นชายแท้นะ กรูไม่ใช่เกย์ กรูไม่ได้กินของแปลก ย้ำว่ากรูชายแท้เว้ย ไม่ใช่เกย์ กรูไม่แปลกเว้ย กรูจะคบใคร เยใครก็ได้ แต่กรูไม่ใช่เกย์นะเว้ย กรูผู้ชายปกติเว้ย...
มันก็แค่บทความเกี่ยวกับผัวกะเทยที่ยังเหยียบหัวเกย์และรักร่วมเพศอื่น ๆ เพื่อพยายามที่จะรักษาสถานะทางสังคมของตัวเองไว้ก็แค่นั้นอ่ะครับ อ่านจบแล้วเกย์และรักร่วมเพศอื่น ๆ ก็ยังคงอยู่ชายขอบเหมือนเดิม เหมือนลากเกย์มาตบหน้าคว่ำสลบเหมือดอยู่กลางสายฝนแล้วเดินจากไปเยี่ยงฮีโร่ผู้กอบกู้เกียรติยศให้ผัวกะเทย...
เอาจริง ๆ ผมไม่มีปัญหาอะไรกับการที่ผัวกะเทยหรือใครจะ define ตัวเองว่าเป็นอะไรยังไงเลยนะ และเข้าใจด้วยว่านี่คือบทความเกี่ยวกับการปกป้องสถานะของผัวกะเทย ไม่ได้จะยกหรือปกป้องสถานะของรักร่วมเพศ แต่ถ้าจะรักษาสถานะทางสังคมของตัวเองไว้ก็อย่าทำโดยการกดทับคนอื่นครับ อย่ากระทบคนอื่น มันไม่สง่า มันไม่แมนเว้ย!
ปล. ถ้าแทนที่คำว่า "ผัวกะเทย" ด้วยคำว่า "รักร่วมเพศ" หรือ "เพศที่ 3" นะ มันจะไม่มีอะไรที่ผมจะเขียนกระแนะกระแหนเลย ออกจะเห็นด้วยด้วยซ้ำ...
ความคิดเห็นที่ 5
นิยามความหมายในทางสากล คือยอมรับกันทั่วไปในระดับนานาชาติ
เกย์ คือผู้ที่ชอบเพศเดียวกัน จะเป็น ช-ช หรือ ญ-ญ ก็ถือว่าเป็นเกย์
ผู้ขายแท้ (ในบริบทนี้) ก็คือ ผู้ชายที่ชอบผู้หญิง แต่อาจมีเพศสัมพันธุ์ กับเพศเดียวกันบ้าง แต่โดยเนื้อแท้ยังรักชอบเพศตรงช้ามอยู่
กะเทย ทอม ดี้ เลส ไบ ทรานส์ เป็น Subset ของเกย์อีกที เพื่อแสดงรายละเอียด
ดังนั้นจากนิยามนี้ ผู้ชายที่ถึงขนาดคบหาดูใจ อยู่กินกับกะเทย จนสามารถเรียกตนเองได้ว่าเป็น สามีกะเทย ได้นั้น ไม่ถือว่าเป็นชายแท้ (ในบริบทนี้)
เพราะไม่มีชายแท้คนไหน ที่คบหาดูใจกับกะเทยจนยอมรับว่าตนเองเป็นสามีกะเทยได้
ดังนั้นข้อเขียนนี้จึงเป็นข้อเขียนที่พยายามจะเรียกหาการยอมรับในการคบหา ชอบพอของคนเพศเดียวกัน ไม่อยากให้คนทั่วไปเข้าใจผิด
และรวมทั้งพยายามปฏิเสธการเป็นเกย์ ราวกับว่าเกย์คือสิ่งที่ไม่ได้รับการยอมรับ
แต่ผู้เขียน กลับเป็นฝ่ายเข้าใจในความหมายของการเป็นเกย์ผิดไปเสียเอง จึงทำให้ข้อเขียนนี้บกพร่อง ขาดความสมเหตุผล
และรวมไปถึงเหยียดการเป็นเกย์ของผู้ที่เป็นสามีของกะเทยอยู่ในที จึงใช้คำที่รู้สึกได้ถึงทัศนคติด้านลบ
และไม่ยอมรับว่าตนเองนั้นเป็นเกย์(ทั้งที่ชอบพอคบหากับผู้ชาย)
ดังนั้นจึงอยากเรียนให้ผู้เขียนได้ทราบว่า ก่อนที่คุณจะเรียกหาการยอมรับ คุณควรที่จะยอมรับตนเองให้ได้ก่อน
คือคุณต้องยอมรับให้ได้ว่าคุณคือเกย์ หรือว่าง่าย ๆ ก็คือ คุณคือผู้ที่มีความรักและคบหาดูใจกับคนเพศเดียวกัน
การที่ประกาศตนว่าเป็นผู้ชาย "แท้" ไม่ใช่เกย์ แต่กลับคบหาดูใจกับเพศเดียวกัน นั้นจึงย้อนแย้งและแสดงให้เห็นถึงทัศนคติด้านลบต่อสถานะการเป็นเกย์อยู่ในที และมันสะท้อนผ่านการใช้ภาษาของข้อเขียนนี้ออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อคุณยอมรับตัวตนของคุณได้ คุณก็จะเข้าใจและยอมรับได้เมื่อใคร ๆ บอกว่าคุณเป็นเกย์
และเมื่อถึงขั้นนั้น คุณจะไม่ใส่ใจความแตกต่างของ Subset แต่ละประเภท และสามารถเรียกรวม ๆ ได้อย่างไร้อคติ
ซึ่งก็จะทำให้ .
จะเห็นได้ว่าแบบหลัง ไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีการเหยียด และเต็มเปี่ยมไปด้วยการยอมรับ
จากนั้นจึงค่อยนำเสนอว่า แม้คุณจะเป็นเกย์ แม้คุณจะชอบเพศเดียวกัน แต่คุณนั้นก็ยังเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งซึ่งก็มีความรู้สึกนึกคิด วิถีชีวิต เหมือนกับผู้ชายทั่ว ๆ ไป ยังคงคิดแบบผู้ชาย ยังคงเป็นผู้ชายทั้งกายและใจ จะต่างกันก็เพียงแค่คุณไม่ได้ชอบเพศตรงข้ามก็เท่านั้น ดังนั้นโปรดอย่าใช้ถ้อยคำเรียกหาในเชิงลบอีกเลย อย่างนี้เป็นต้น
ในเมื่อผู้เขียนอาจจะไม่ชอบให้ใครมาพูดในเชิงเหยียด ผู้เขียนเองก็ไม่ควรเหยียด(ซ้อนอยู่ในความเหยียด)ด้วยเช่นเดียวกัน
ปล. นี่คือความรู้สึกส่วนตัว จากคนที่มีเพื่อนรักที่สนิทที่สุดเป็นเกย์คนหนึ่ง ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าคนที่เป็นเกย์คงไม่มีใครชอบนักที่จะถูกเรียกหา
ด้วยถ้อยคำที่มีความหมายในเชิงลบ
เกย์ คือผู้ที่ชอบเพศเดียวกัน จะเป็น ช-ช หรือ ญ-ญ ก็ถือว่าเป็นเกย์
ผู้ขายแท้ (ในบริบทนี้) ก็คือ ผู้ชายที่ชอบผู้หญิง แต่อาจมีเพศสัมพันธุ์ กับเพศเดียวกันบ้าง แต่โดยเนื้อแท้ยังรักชอบเพศตรงช้ามอยู่
กะเทย ทอม ดี้ เลส ไบ ทรานส์ เป็น Subset ของเกย์อีกที เพื่อแสดงรายละเอียด
ดังนั้นจากนิยามนี้ ผู้ชายที่ถึงขนาดคบหาดูใจ อยู่กินกับกะเทย จนสามารถเรียกตนเองได้ว่าเป็น สามีกะเทย ได้นั้น ไม่ถือว่าเป็นชายแท้ (ในบริบทนี้)
เพราะไม่มีชายแท้คนไหน ที่คบหาดูใจกับกะเทยจนยอมรับว่าตนเองเป็นสามีกะเทยได้
ดังนั้นข้อเขียนนี้จึงเป็นข้อเขียนที่พยายามจะเรียกหาการยอมรับในการคบหา ชอบพอของคนเพศเดียวกัน ไม่อยากให้คนทั่วไปเข้าใจผิด
และรวมทั้งพยายามปฏิเสธการเป็นเกย์ ราวกับว่าเกย์คือสิ่งที่ไม่ได้รับการยอมรับ
แต่ผู้เขียน กลับเป็นฝ่ายเข้าใจในความหมายของการเป็นเกย์ผิดไปเสียเอง จึงทำให้ข้อเขียนนี้บกพร่อง ขาดความสมเหตุผล
และรวมไปถึงเหยียดการเป็นเกย์ของผู้ที่เป็นสามีของกะเทยอยู่ในที จึงใช้คำที่รู้สึกได้ถึงทัศนคติด้านลบ
และไม่ยอมรับว่าตนเองนั้นเป็นเกย์(ทั้งที่ชอบพอคบหากับผู้ชาย)
ดังนั้นจึงอยากเรียนให้ผู้เขียนได้ทราบว่า ก่อนที่คุณจะเรียกหาการยอมรับ คุณควรที่จะยอมรับตนเองให้ได้ก่อน
คือคุณต้องยอมรับให้ได้ว่าคุณคือเกย์ หรือว่าง่าย ๆ ก็คือ คุณคือผู้ที่มีความรักและคบหาดูใจกับคนเพศเดียวกัน
การที่ประกาศตนว่าเป็นผู้ชาย "แท้" ไม่ใช่เกย์ แต่กลับคบหาดูใจกับเพศเดียวกัน นั้นจึงย้อนแย้งและแสดงให้เห็นถึงทัศนคติด้านลบต่อสถานะการเป็นเกย์อยู่ในที และมันสะท้อนผ่านการใช้ภาษาของข้อเขียนนี้ออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อคุณยอมรับตัวตนของคุณได้ คุณก็จะเข้าใจและยอมรับได้เมื่อใคร ๆ บอกว่าคุณเป็นเกย์
และเมื่อถึงขั้นนั้น คุณจะไม่ใส่ใจความแตกต่างของ Subset แต่ละประเภท และสามารถเรียกรวม ๆ ได้อย่างไร้อคติ
ซึ่งก็จะทำให้ .
" “ผัวกะเทย” เสียงจากผู้ชายคนหนึ่งที่คบกะเทย"
เปลี่ยนเป็น
"รักร่วมเพศหรือเพศที่สาม เสียงจากผู้ชายคนหนึ่งซึ่งรักเพศเดียวกัน"
เปลี่ยนเป็น
"รักร่วมเพศหรือเพศที่สาม เสียงจากผู้ชายคนหนึ่งซึ่งรักเพศเดียวกัน"
จะเห็นได้ว่าแบบหลัง ไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีการเหยียด และเต็มเปี่ยมไปด้วยการยอมรับ
จากนั้นจึงค่อยนำเสนอว่า แม้คุณจะเป็นเกย์ แม้คุณจะชอบเพศเดียวกัน แต่คุณนั้นก็ยังเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งซึ่งก็มีความรู้สึกนึกคิด วิถีชีวิต เหมือนกับผู้ชายทั่ว ๆ ไป ยังคงคิดแบบผู้ชาย ยังคงเป็นผู้ชายทั้งกายและใจ จะต่างกันก็เพียงแค่คุณไม่ได้ชอบเพศตรงข้ามก็เท่านั้น ดังนั้นโปรดอย่าใช้ถ้อยคำเรียกหาในเชิงลบอีกเลย อย่างนี้เป็นต้น
ในเมื่อผู้เขียนอาจจะไม่ชอบให้ใครมาพูดในเชิงเหยียด ผู้เขียนเองก็ไม่ควรเหยียด(ซ้อนอยู่ในความเหยียด)ด้วยเช่นเดียวกัน
ปล. นี่คือความรู้สึกส่วนตัว จากคนที่มีเพื่อนรักที่สนิทที่สุดเป็นเกย์คนหนึ่ง ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าคนที่เป็นเกย์คงไม่มีใครชอบนักที่จะถูกเรียกหา
ด้วยถ้อยคำที่มีความหมายในเชิงลบ
แสดงความคิดเห็น
“ผัวกะเทย” เสียงจากผู้ชายคนหนึ่งที่คบกะเทย
ขอแค่คุณอย่าดูถูกเหยียดหยามในเรื่องเพศ
และขอให้คุณยอมรับสิทธิที่เราเลือกแค่นั้นเอง”
บ่อยครั้งที่เราจะพบผู้ชายที่คบกับกะเทย หรือมีความสัมพันธ์ทางเพศกับกะเทย ทำไมนะ พวกเขาถึงโดนมองว่าไม่ใช่ผู้ชายแท้ บ้างก็โดนว่าเป็นเกย์ หนักหน่อยก็ว่าอยากลองของแปลก ความรักมันมีข้อจำกัดด้วยงั้นหรอกหรือ
อย่างแรกคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้ชายเหล่านี้ โดนมองว่าไม่ใช่ชายแท้นั้น เริ่มมาจากเรามีฐานการมองเรื่องเพศที่ตั้งอยู่บนความเป็นสารัตถะ และรากเหง้ามาจากความรู้ทางการแพทย์และเพศศึกษาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ฉะนั้นจึงไม่แปลกเลย ที่เราจะมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับกะเทยเป็นเรื่องแปลก เพราะฐานการมองเรื่องเพศที่มองไปที่ความเป็นเพศโดยอิงจากสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้น มันก่อให้เกิดบรรทัดฐานที่เรียกว่า “รักต่างเพศ” ทำให้ความสัมพันธ์รูปแบบอื่นๆ ผิดแปลกไปจากบรรทัดฐานของสังคม
ฉันมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้ชายคนหนึ่งที่คบกับกะเทยอยู่ หรือจะเรียกว่าผัวกะเทยคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ การพูดคุยครั้งนี้ทำให้ฉันรู้ว่า ผัวกะเทยก็ไม่ได้แตกต่างไปจากผู้ชายคนอื่นๆ อีกทั้งเรื่องราวความสัมพันธ์ ความรัก ก็เหมือนกับมนุษย์คนอื่นๆทั่วไป
บัส นักศึกษาหนุ่ม วัย23ปี ปัจจุบันบัสกำลังเรียนอยู่ที่คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง บัสเล่าว่าเขานั้นคบกะเทยมาตลอดระยะเวลา5 ปี ที่ผ่านมา โดย เริ่มจากการที่เขาอกหักจากผู้หญิงมาก่อนและคิดว่าจะลองคบกะเทยเล่นๆเพื่อประชดชีวิตรักของเขาดู แต่แล้วยังไง ปัจจุบันเขาก็ยังคบหาดูใจกับกะเทยอยู่
สำหรับบัส ในฐานะผัวกะเทยคนหนึ่ง ฉันพบว่าเขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ปกติเหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆทั่วไป เพียงแค่เขาสามารถมองข้ามแก่นแท้ของความเป็นเพศไปได้ อีกทั้งบัสยังไม่ใช่แค่ผู้ชายที่สามารถมองข้ามเพศ หรือหน้าตา รูปร่างภายนอกไปได้ แต่บัสยังมองลึกเข้าไปกว่านั้น นั้นก็คือตัวตน จิตใจนิสัยใจคอ รวมถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่มีอย่างเท่าเทียมกัน บัสกล่าวว่า
“ผมมองว่ามันไม่ต่าง มันอยู่ที่ว่าเราอยู่ที่จะเลือกคบอะไร ใจเราไปทางไหน ถ้าถามว่า กะเทยต่างกับผู้หญิงตรงไหน ถ้ามองในมุมมองเพศ น่ะ ต่างแน่นอน ถ้ามองลักษณะภายนอก มองในเพศกำเนิด คนนี้คือผู้หญิง-ชาย คนนี้เคยเป็นผู้ชาย แล้วมากลายเป็นกะเทย นั้นแหละ ต่างชัดเจน แต่ถ้ามองนิสัยใจคอ ความรู้สึก ความรักความสัมพันธ์ มันไม่ต่างครับ”
ความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของรักต่างเพศ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ไปทำให้รูปแบบของความสัมพันธ์อื่นๆ นั้นผิดแปลกไปจากบรรทัดฐาน ความสัมพันธ์ระหว่างบัสกับแฟนก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคู่รักต่างเพศคนอื่นๆเลย เป็นความสัมพันธ์ที่สุดแสนจะธรรมดาแบบคู่รักคนอื่นๆในสังคมเรา อีกทั้งเสียงสะท้อนจากคำบอกเล่าของบัส
แสดงให้เห็นว่า ตัวเขาเองก็มีความหวังที่จะใช้ชีวิตคู่แบบคนอื่นๆ ร่วมสร้างอนาคตกับคนรักของเขา หากเสียแต่ว่าเมื่อมองเขามาในบริบทสังคมไทยเรา เรายังไม่มีพื้นที่ให้สำหรับความสัมพันธ์แบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นหญิง-หญิง ชาย-ชาย แม้อาจจะมองดูว่าความสัมพันธ์ระหว่างบัสกับแฟนเป็นการต้องเดินตามรูปแบบความสัมพันธ์แบบคู่รักชาย-หญิง ก็ตาม กฎหมายจึงนับว่าเป็นตัวแปรสาคัญอย่างยิ่ง ในการให้สิทธิในการใช้ชีวิตคู่และตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกับใครสักคน
“เขาเป็นแฟนคนแรกที่เราอยากสร้างอนาคตกับเขา เราเคยพูดกับเขาว่า วันหนึ่งอยากคบไปจนแต่งงาน สร้างบ้าน สร้างอนาคตด้วยกันนั้น เขาตอบกลับมาว่า อยู่ไปจนแก่เรื่องแต่งงานเรื่องเล็กๆนะ แต่ใช้ชีวิตไปจนแก่น่ะ มันไม่ง่าย มันเลยทำให้รู้สึกว่า อยู่กับคนนี้มันมีอนาคต ไม่ใช่รักที่อยู่ไปวันๆ”
“
ส่วนเรื่องแต่งงาน จัดพิธีเฉยๆก็ได้ แต่ถ้าวันหนึ่งจดทะเบียนได้ก็อยากจดนะ ก็ดีมันได้รับรองทางกฎหมายเขาจะได้มีสิทธิในมรดกและทรัพย์สินของผม” บัส กล่าว
ซึ่งแม้ว่าการแต่งงานหรือจดทะเบียนสมรสอาจจะไม่ใช่เครื่องหมายของความมั่นคงในรัก แต่หากการจดทะเบียนสมรสเปรียบเสมือนเครื่องหมายของการมีคุณภาพชีวิตที่มั่นคง การขาดซึ่งกฎหมายการจดทะเบียนสมรส หรือเอื้อผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มคนหลากหลายทางเพศก็ยังเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งในการคิดที่จะสร้างอนาคตร่วมกัน
การปฏิบัติจากสังคมรอบข้างต่อผัวกะเทย และกะเทยย่อมมีความสาคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสถาบันครอบครัว เพื่อน และคนอื่นๆในสังคม หลายครั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับกะเทยบางคู่ไปกันไม่รอด เพราะครอบครัวของฝ่ายชายไม่ยอมรับ ในความสัมพันธ์รูปแบบนี้ เพราะมองว่าผิดธรรมชาติ ต่างไปจากบรรทัดฐานของสถาบันครอบครัว
นิยามคำว่าครอบครัวในสังคมไทยที่อยู่บนบรรทัดฐานของรักต่างเพศ เรายังยึดติดกับสถาบันครอบครัว ระบบผัวเดียวเมียเดียว และการมีลูกถูกทำให้เป็นองค์ประกอบหนึ่งของสถาบันครอบครัว ฉะนั้นจึงทำให้รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับกะเทยถูกมองว่าไม่ได้มีเพื่อสืบพันธ์ุ และสร้างครอบครัว ระบบความกตัญญูและอุดมการณ์การเป็นคนดี หรือลูกที่ดี ถูกนำมาใช้เพื่อผูกติดไว้กับความเป็นลูก และสถาบันครอบครัว และการเป็นคนดี หรือลูกที่ดีนั้นก็มักจะพร้อมกับการเป็นคนปกติอีกด้วย
ส่วนมากครอบครัวในสังคมไทยเราจะพบว่ามักจะเลี้ยงลูกเหมือนไข่ในหิน ทำให้เด็กหรือผู้ชายไม่สามารถคิดเองได้ ออกไปใช้ชีวิตครอบครัวอย่างมีอิสระ ทั้งที่สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้แล้ว หรือแม้กะทั่งการที่ตัดสินใจเลือกที่รักใครสักคน ฉะนั้นการตระหนักรู้ถึงสิทธิเสรีภาพ ควรเริ่มตั้งแต่สถาบันครอบครัว ครอบครัวควรเป็นผู้ให้สิทธิขั้นพื้นฐานแก่คนเป็นลูก อย่างเช่น สิทธิในการเลือกคู่ชีวิต เช่นเดียวกับการยอมรับจากครอบครัวที่บัสได้รับ โดยบัสได้ตัดสินใจเล่าให้แม่ฟังว่ากำลังคบกับกะเทยนะ บัสเล่าให้ฟังว่า
“แม่ก็บอกว่าก็แล้วแต่เรา อยู่ที่เราเลือก”
“ผมคิดว่าเหมือนเขาให้อิสระแก่เรา อยากให้เราคิดเอง เราควรโตได้แล้ว ไม่ใช่ให้เข้ามาผูกติดเอาไว้ให้คิดอย่างนั้นอย่างนี้ เรื่องครอบครัวสำคัญมาก สังคมไทยเขากำหนดกันมาแบบนี้ คนยุคใหม่ที่จะเข้ามาเปลี่ยนความคิด ซึ่งทั้งที่ความจริงแล้วอะไรคือสิ่งที่ถูก สิ่งที่ผิด เราบอกไม่ได้ การเลี้ยงดูก็เป็นเรื่องสำคัญ”
การล้อเลียน ไม่ควรถูกทำให้เป็นเรื่องปกติ การล้อเลียนด้วยคำพูดอย่างเช่น สายเหลือง ขุดทอง คำพวกนี้ล้วนแต่เป็นการเหยียดเพศวิธีหนึ่ง ทำให้เพศวิถีเหล่านี้เป็นชายขอบ แปลกแยกอีกทั้งการล้อเลียนเสียดสี นับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกะเทยและผู้ชาย สั่นคลอน ทำให้ผู้ชายบางคนรู้สึกอับอายที่คบกับกะเทย เพราะกลัวจะถูกมองว่าไม่ใช่ผู้ชายแท้ๆ ต่างไปจากเพื่อนผู้ชายคนอื่นๆ
การมองความสัมพันธ์ จึงควรอยู่บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน เคารพในสิทธิ์ของการเป็นมนุษย์ ฉะนั้นมนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะมีเพศสถานะหรือเพศวิถีแบบใดก็ตาม เราควรให้สิทธิและเสรีภาพแก่เขาในการเลือกที่จะรัก หรือใช้ชีวิตคู่ร่วมกับใครสักคนหนึ่ง เช่นเดียวกับที่บัสพูดว่า
“คุณไม่จำเป็นต้องยอมรับทั้งหมด ขอแค่คุณอย่าดูถูกเหยียดหยามในเรื่องเพศ และขอให้คุณยอมรับสิทธ์ที่เราเลือกแค่นั้นเอง”
การตัดสินความสัมพันธ์บนพื้นฐานของการเป็นคนรักต่างเพศ ผู้ชายผู้หญิง มีแต่จะทำให้เกิดการแบ่งแยก ในโลกนี้ที่ไม่ได้มีแค่เพศสถานะหรือเพศวิถีแบบ เดียวตายตัว แต่ควรเข้าใจใหม่ว่าเรื่องเพศสถานะและเพศวิถีนั้นมีความลื่นไหลอยู่ตลอดเวลา
ความรักที่ไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของคาว่าปกติ การที่จะเลือกที่จะรักใครสักคนหนึ่ง มันมีหลายปัจจัยมาก หากแต่เราไม่ควรไปดูถูกหรือเหยียดหยามความรักในรูปแบบอื่นๆที่ไม่ได้อยู่บนบรรทัดฐานของสังคม คนเราจะรักใครชอบใครมันเป็นสิทธิของเขา เพราะรักก็คือรัก ความแตกต่างไม่ได้ทำให้เป็นอุปสรรคในความรักได้
จากเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างบัสกับแฟน ทำให้ฉันตระหนักว่า ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายและกะเทยที่เกิดขึ้น มันอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องของ เพศสถานะ หรือเพศวิถีใดๆเลย หากมันเป็นเพียงแค่เรื่องง่ายๆ อย่างสิทธิของความเป็นมนุษย์ สิทธิในการเลือกที่เราจะรักใครสักคน มนุษย์เราเองนั้นล่ะ ที่สร้างเงื่อนไข ขึ้นมามากมาย การที่จะรักใครสักคนมันควรเป็นเรื่องง่ายๆ แต่มนุษย์เรานี่ล่ะ ทำให้มันเป็นเรื่องยาก
ในทัศนคติของฉัน “ผัวกะเทย” หรือผู้ชายคนใดก็ตามที่เลือกคบกับกะเทย เขาก็ยังเป็นผู้ชายเหมือนเดิมนั้นแหละ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าความเที่ยงแท้นั้นจะมีอยู่จริง ความเป็นชายจริงหญิงแท้ล้วนแต่เป็นการประกอบสร้างขึ้นทั้งนั้น
ฉะนั้นเราควรเล็งเห็นถึงความสำคัญตรงนี้ คือสิทธิและเสรีภาพของการเลือกที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกับใครสักคน การไม่เข้าไปตัดสินถึงความแท้-ไม่แท้ ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอีกทั้งการเคารพซึ่งกันและกันไม่ใช่เป็นว่าเพศอะไร หากแต่เป็นในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แค่นั้นเอง
งานเขียนชิ้นนี้ มาจาก : คุณชนาธิป สุวรรณานนท์
https://www.matichonweekly.com/featured/article_22361