โอกินาว่า เกาะทางใต้สุดของญี่ปุ่น เป็นเกาะที่เหมาะกับคนรักฤดูร้อน รักทะเล ฟ้ากว้าง น้ำใส ดอกไม้สีสด



     คนบนเกาะมีหลากหลายเชื้อชาติ ในร้านสะดวกซื้อ เราจะพบพนักงานหน้าลูกครึ่งแต่พูดภาษาญี่ปุ่น ส่วนในตลาด แม่ค้ามักจะพูดภาษาจีนกับเรา (โดยเฉพาะตลาดปลามากิชิ พูดภาษาจีนทุกร้าน จนงงว่านี้เราอยู่ประเทศอะไร)

     ทริปนี้ 4 วัน 3 คืน ให้ความรู้สึกเหมือนไปเที่ยวต่างจังหวัด เนื่องจากราคาตั๋วเครื่องบินไม่แพงและใช้เวลาเดินทางไม่นาน ที่สำคัญอากาศร้อนเหมือนที่ไทย ( -  v - ;)

Day1

     Peach Air สายการบิน Low cost บินตรงจากไทย เวลาดี ราคาเป็นมิตร (ถ้าจองราคาโปรโมชั่นได้ทัน >.< ) ที่นั่งช่วงขากว้าง แต่ช่วงตัวถ้าตัวใหญ่อาจจะอึดอัดค่ะ สามารถถือสัมภาระขึ้นเครื่องได้คนละ 2 ชิ้น นับรวมถุงช้อปปิ้งและกระเป๋าส่วนตัว น้ำหนักทั้ง 2 ชิ้นรวมกันไม่เกิน 10 กิโลกรัม ใครรู้ตัวว่าสัมภาระเยอะ ช้อปปิ้งหนัก แนะนำให้ซื้อน้ำหนักกระเป๋าไว้เลยค่ะ ถูกปรับหน้างานจะไม่คุ้มนะคะ



     ใช้เวลาบิน 4 ชั่วโมง 30 นาที ก็ถึง Naha, Okinawa สำหรับสายบิน Peach Air จะใช้ LCC Terminal ลงจากเครื่อง รับกระเป๋า ผ่านด่านตรวจคนเข้าคนเมือง ก็ออกมานอกอาคารขึ้น Free shuttle bus ไปที่เทอร์มินัลหลัก เพื่อจะนั่งรถไฟเข้าเมืองค่ะ

     Yui-Rail (Okinawa Urban Monorail) รถไฟฟ้าสายสั้นๆวิ่งในเมืองNaha มีทั้งบัตรรายเที่ยวและบัตร 1-Day Pass (24 hrs after purchase) (¥700) , 2-Day Pass (48 hrs) (¥1,200) ลองคำนวณดูนะคะว่าแพลนเที่ยวเป็นยังไง ซื้อบัตรแบบไหนจะคุ้มค่ากว่า



     ที่พักเราอยู่ใกล้สถานี Asahibashi เข้าที่พัก (NAHA Wafuu Hokkaisou) ฝากกระเป๋าเรียบร้อย ความหิวก็นำเราเดินไปโคคุไซโดริ (Kokusaidori) ถนนย่านช้อปปิ้ง ที่เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านของฝาก ร้านขนมและอาหาร ทริปนี้เราแวะโคคุไซโดริทุกวันเลยค่ะ
     Kokusaidori ตั้งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟ Kencho-mae และ Miebashi



     มื้อแรกในนะฮะ ประเดิมกันที่เนื้อย่าง lunch set ¥1,890 รวมเนื้อ 3 ชนิด ได้แก่ Agu Pork (หมูดำ โอกินาว่า) , ishigaki beef, matobu beef (2 ชนิดนี้เป็นเนื้อวัวท้องถิ่น) ร้านตั้งอยู่ตรงข้ามร้าน Okashigoten สาขาใหญ่ สีแดง



     จากนั้นนั่งรถไฟไปลงสถานี Shuri station เดินค่อนข้างไกล เพื่อไปยัง Shuri Castle แดดแรงมาก แนะนำให้ดื่มน้ำบ่อยๆ สวมหมวก กางร่ม ใส่แว่นกันแดดได้ก็ดีค่ะ
     
     ใครซื้อบัตร Yui-Rail แบบ Day Pass สามารถใช้เป็นส่วนลดค่าเข้าชมปราสาทได้ 20% นะคะ รอบๆบริเวณปราสาทจะมีตราประทับให้สะสมเหมือนเล่นแรลลี่ ลองเล่นดูนะคะ ช่วงที่เราไปเขาซ่อมบำรุงด้านหน้าปราสาท แต่ยังเปิดให้เข้าชมภายในปราสาท (เราอยากได้รูปหน้าปราสาท ก็เลยตัดสินใจไม่ซื้อบัตรเข้าชมค่ะ)



     ผิดหวังจากปราสาทชูริ ก็นั่งรถกลับ มื้อเย็นวันนี้คือหมูนึ่ง (อารมณ์เดียวกับ MK Live) ร้านตั้งอยู่ในย่าน Kumoji ถนนด้านหลัง Kokusaidori ชื่อร้านsteam dining shima buta-ya (スチームダイニングしまぶたや)
     
     เซ็ตหมูนึ่ง ประกอบด้วย หมูอากุ, หมูบด และผัก เริ่มจากแบ่งหมูบดเป็นก้อนๆ วางบนที่นึ่ง จากนั้นวางผักทับลงไป แล้วจึงนำหมูชิ้นวางไว้บนสุด (ตอนวางหมูชิ้นจัดระเบียบหมูให้กระจายตัวดีๆหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะไม่สุก) ปิดฝา คว่ำนาฬิกาทราย (ใช้เวลาประมาณ 3-5 นาที) พร้อมรับประทาน
     
     อีกหนึ่งเมนูที่สั่ง คือ Rafute อาหารท้องถิ่นของโอกินาว่า รสชาติหวานเค็ม เป็นหมูสามชั้นต้มกับซีอิ๊ว, น้ำตาลทรายแดง และสาเก





Day2

     จอง Bus Tour ของบริษัท Cerulean Blue ตรงต่อเวลา มีทัวร์ไกด์ (น่ารักมาก โชว์ร้องเพลงและระบำท้องถิ่นขณะอยู่บนรถ) แจก audio guide  (มี 4 ภาษา : อังกฤษ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น) ถ้าจองออนไลน์ล่วงหน้า ได้ส่วนลดด้วยค่ะ

     

     Kouri Bridge สะพานเชื่อมเกาะ Yagaji jima และ เกาะ Kouri เป็นสะพานที่ยาวมาก ฝั่ง Kouri มีชายหาดขนาดเล็ก



     Churaumi Aquarium ไฮไลท์ของทริปอยู่ที่เจ้าฉลามวาฬในอควาเรียมแห่งนี้ นอกจากนี้บริเวณด้านนอกอควาเรียมยังมีโชว์ปลาโลมาด้วย อย่าลืม เช็ครอบการแสดงแล้ววางแผนให้ดีนะคะ



     Okashigoten ร้านขายขนม ของฝาก มีหลายสาขา แต่สาขานี้ใหญ่และมีขนมให้ชิมเยอะ ได้ชีสทาร์ตเบนิอิโมะ (มันม่วงโอกินาว่า) และขนม Beniimo Milk (อันนี้อร่อยที่สุดในบรรดาขนมมันม่วง)



     Cape Manza หน้าผารูปช้าง แดดจ้า ฟ้ากว้าง น้ำใส



     Ryukyu Village  หมู่บ้านจำลองวัฒนธรรมริวกิว มีโซนโชว์การแสดง โรงงานเครื่องปั้น (ไม่ค่อยมีอะไร ค่อนข้างเงียบ)



     จบทริปตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ บัสกลับมาจอดที่เดิม ใกล้โคคุไซโดริ มื้อเย็นวันนี้เราเลือกร้านข้าวแกงกะหรี่ 琉球珈琲館 แกงกะหรี่ที่นี่จะไม่ค่อยข้น มีกลิ่นสมุนไพรและสาเก เมนูเด่นอีกอย่างคือ Boku Boku Tea ชารสชาติจืด แต่มีกลิ่นหอม และเอกลักษณ์คือฟองชาที่ตีจนฟู



     อิ่มท้องแล้วก็เดินชมบรรยากาศค่ำคืนของโคคุไซโดริ