[รีวิวซีรีส์] The Last Kingdom - คู่แข่งเกมออฟโทรนส์?
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A- (จากสเกล D-A) *ผ่านไปสองตอนแรก
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เนื้อเรื่องเกิดในปี คศ.872 เป็นยุคที่หมู่เกาะของอังกฤษถูกรุกรานอย่างหนักโดยชาวเดนมาร์ก (เดนส์/ไวกิ้ง) และแผ่นดินเกือบทั้งหมดถูกยึดไปเกือบสิ้นด้วยกำลังทางทหารที่ต่างกันเกินไป เหลือเพียงอาณาจักรเวสแซ็กเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดได้อยู่ ... และตัวเอกของเราอย่าง "เออเทรด" (Alexander Dreymon) เด็กหนุ่มชาวอังกฤษเชื้อสายเจ้าเมืองที่ถูกค้าเป็นทาสให้กับชาวเดนส์ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่ด้วยเมตตาของครอบครัวผู้ชุบเลี้ยงอย่าง "แร็กนาร์" ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นลูกผสมระหว่างสองชนชาติ ท่ามกลางสงครามอันเข้มข้นของการชิงดินแดน และความเชื่อในพระเจ้าที่ขัดแย้งกัน สงครามชิงแผ่นดินอังกฤษจึงเกิดขึ้น
.
.
โอเค ที่สนใจจับเรื่องนี้มาดูก็เพราะว่าในเว็บต่างประเทศนั้นมีบางท่านอวดอ้างว่า "หนังเรื่องนี้จะเป็นคู่แข่งรุ่นใหม่ของ
Game of Thrones ได้แน่นอน" เราก็เลยได้ไปพิสูจน์กัน ... ผ่านไปสองตอนอย่างรวดเร็วถึงแม้ความยาวแต่ละตอนจะมากถึง 50-55 นาทีก็ตาม เราก็ยังติดตามเรื่องราวได้อย่างเพลิดเพลินและลุ้นได้อยู่ และมั่นใจว่าคอหนังสงครามย้อนยุคจะติดกันได้ง่ายๆแน่นอน ด้วยเหตุผลดังนี้
1.สโคปเนื้อเรื่องที่ไม่กว้างจนเวียนหัว มีการโฟกัสไปที่ตัวละครหลักเสียส่วนใหญ่ : คือผิดจากหนังย้อนยุคทั่วไป (ที่ดังๆก็มีอย่าง Rome,Game of Thrones เป็นต้น) ที่มักมีผังตัวละครขนาดใหญ่มหาศาลมาทำให้งงกัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดีในระยะยาวที่จะทำให้ตัวซีรีย์มันมี dynamic ระหว่างหลายๆตัวละครมากขึ้นด้วยวัตถุดิบที่มากพอ แต่มันก็จะเป็นปัญหาสำหรับคนที่พึ่งเริ่มดูครั้งแรกก็อาจจะเกิดอาการ 'งง' ได้ ซึ่งสำหรับ
The Last Kingdom นั้นหนังจะทุ่มโฟกัสไปที่ตัว "เออเทรด" อย่างเดียวเลย ในการผจญภัยตั้งแต่เด็กจนโต และตะลอนเดินทางไปทั่วอาณาจักร บวกกับคอนฟลิกต์ที้เกิดขึ้นในความเชื่อทางศาสนา (เพราะตนเป็นทั้งคริสเตียนและนับถือเทพธอร์) ซึ่งนี่ถือว่าเป็นข้อดีข้อแรก
2.ตัวละครที่ค่อนข้างมีเสน่ห์ ทำให้เรารู้สึกผูกพันได้ไม่ยาก : อย่างตัวผู้เขียนเองพึ่งดูไปได้สองตอน แต่ก็เริ่มรู้สึกนิยมชมชอบตัวแสดงนำทั้งสองตัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็น "เออเทรด" ที่มีนิสัยมุทะลุขวานผ่าซากจนเหมือน หรือแม้แต่คู่ขาสาวอารมณ์ขันอย่าง "บริด้า" (Emily Cox) ที่คอยเคียงข้างตัวเอกอยู่ไม่ห่าง ซึ่งลำพังชุดความสัมพันธ์ของสองคนนี้มันก็น่ารักดี มันเป็นในลักษณะ "คู่หู" และ "คู่รักด้วย" คือว่าง่ายๆคือตัวละครมันถูกออกแบบมาได้ดีพอสมควรจนเราชื่นชอบได้นั่นแหละ และมันก็จะมีผลในภายภาคหน้าที่ว่า หากมีใครซักคนตายไป impact ที่เกิดขึ้นมันก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3.เซ็ตติ้งของหนังเป็นหนังสงคราม ดังนั้นจึงจุใจกับฉากรบได้แน่นอน : แต่ก็ต้องเบรกใจไว้ก่อนว่าสเกลสงครามของหนังเรื่องนี้มันจะไม่ใหญ่โตมากนะ คืออาจจะหลักร้อยหลักสิบมาฟาดฟันกันบนทุ่งหญ้าก็เท่านั้น โดยที่ไปหาข้อมูลมาหนังให้เหตุผลว่า "ก็ยุคนั้นเขารบกันแค่นี้จริงๆนี่หว่า" ... คือคำว่า "กษัตริย์" ในยุคนั้นก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมาก หมายถึงเป็นเจ้าเมืองขนาดย่อมๆเมืองนึงก็เท่านั้น ความมั่งคั่งก็แค่หีบใหญ่ๆหีบนึง มีวัว มีแพะ แกะ ให้เลี้ยง จบ -- แต่ว่าในสเกลเล็กจ้อยอันนี้มันก็ยังมีความเร้าใจอยู่นะ โดยเฉพาะถ้าใครชื่นชอบการรบดิบๆเป็นกระบวนทัพแบบ Vikings แล้วก็อาจจะเพลินก็ได้ อันนี้ต้องลองตัดสินเอง
.
.
สรุป!
The Last Kingdom เท่าที่ดูไปสองตอนถือว่าหนังชุดที่มีศักยภาพมากๆ สามารถดันเรื่องไปไกลและเร็วได้ภายในเวลา 2 ตอนและตัวละครไม่กี่ชุดทำให้หนังไม่เกิดความยืดเยื้อน่าเบื่อ และตัวละครที่ทำให้เรารู้สึกเอ็นดูได้ไม่ยาก บวกกับสงครามในยุคกลางที่หลายๆคนชื่นชอบกัน ก็อาจจะเป็นหนึ่งในว่าที่ Game of Thrones ของหนังรุ่นใหม่ก็เป็นได้ ... แต่ถ้าว่าเพียงแค่ตอนนี้ก็คงเทียบกันยาก บารมีมันยังห่างกันหลายขุมอยู่ ต้องให้เวลาพิสูจน์กันนิดนึง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หากชื่นชอบรีวิวรบกวนช่วยไลค์ช่วยแชร์เพื่อให้กำลังใจหรือติดตามผลงานได้ที่เพจ https://www.facebook.com/expensivemovie/ นะครับ!
[รีวิวซีรีส์] The Last Kingdom - คู่แข่งเกมออฟโทรนส์? by ตั๋วหนังมันแพง
[รีวิวซีรีส์] The Last Kingdom - คู่แข่งเกมออฟโทรนส์?
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A- (จากสเกล D-A) *ผ่านไปสองตอนแรก
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เนื้อเรื่องเกิดในปี คศ.872 เป็นยุคที่หมู่เกาะของอังกฤษถูกรุกรานอย่างหนักโดยชาวเดนมาร์ก (เดนส์/ไวกิ้ง) และแผ่นดินเกือบทั้งหมดถูกยึดไปเกือบสิ้นด้วยกำลังทางทหารที่ต่างกันเกินไป เหลือเพียงอาณาจักรเวสแซ็กเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดได้อยู่ ... และตัวเอกของเราอย่าง "เออเทรด" (Alexander Dreymon) เด็กหนุ่มชาวอังกฤษเชื้อสายเจ้าเมืองที่ถูกค้าเป็นทาสให้กับชาวเดนส์ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่ด้วยเมตตาของครอบครัวผู้ชุบเลี้ยงอย่าง "แร็กนาร์" ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นลูกผสมระหว่างสองชนชาติ ท่ามกลางสงครามอันเข้มข้นของการชิงดินแดน และความเชื่อในพระเจ้าที่ขัดแย้งกัน สงครามชิงแผ่นดินอังกฤษจึงเกิดขึ้น
.
โอเค ที่สนใจจับเรื่องนี้มาดูก็เพราะว่าในเว็บต่างประเทศนั้นมีบางท่านอวดอ้างว่า "หนังเรื่องนี้จะเป็นคู่แข่งรุ่นใหม่ของ Game of Thrones ได้แน่นอน" เราก็เลยได้ไปพิสูจน์กัน ... ผ่านไปสองตอนอย่างรวดเร็วถึงแม้ความยาวแต่ละตอนจะมากถึง 50-55 นาทีก็ตาม เราก็ยังติดตามเรื่องราวได้อย่างเพลิดเพลินและลุ้นได้อยู่ และมั่นใจว่าคอหนังสงครามย้อนยุคจะติดกันได้ง่ายๆแน่นอน ด้วยเหตุผลดังนี้
1.สโคปเนื้อเรื่องที่ไม่กว้างจนเวียนหัว มีการโฟกัสไปที่ตัวละครหลักเสียส่วนใหญ่ : คือผิดจากหนังย้อนยุคทั่วไป (ที่ดังๆก็มีอย่าง Rome,Game of Thrones เป็นต้น) ที่มักมีผังตัวละครขนาดใหญ่มหาศาลมาทำให้งงกัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดีในระยะยาวที่จะทำให้ตัวซีรีย์มันมี dynamic ระหว่างหลายๆตัวละครมากขึ้นด้วยวัตถุดิบที่มากพอ แต่มันก็จะเป็นปัญหาสำหรับคนที่พึ่งเริ่มดูครั้งแรกก็อาจจะเกิดอาการ 'งง' ได้ ซึ่งสำหรับ The Last Kingdom นั้นหนังจะทุ่มโฟกัสไปที่ตัว "เออเทรด" อย่างเดียวเลย ในการผจญภัยตั้งแต่เด็กจนโต และตะลอนเดินทางไปทั่วอาณาจักร บวกกับคอนฟลิกต์ที้เกิดขึ้นในความเชื่อทางศาสนา (เพราะตนเป็นทั้งคริสเตียนและนับถือเทพธอร์) ซึ่งนี่ถือว่าเป็นข้อดีข้อแรก
2.ตัวละครที่ค่อนข้างมีเสน่ห์ ทำให้เรารู้สึกผูกพันได้ไม่ยาก : อย่างตัวผู้เขียนเองพึ่งดูไปได้สองตอน แต่ก็เริ่มรู้สึกนิยมชมชอบตัวแสดงนำทั้งสองตัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็น "เออเทรด" ที่มีนิสัยมุทะลุขวานผ่าซากจนเหมือน หรือแม้แต่คู่ขาสาวอารมณ์ขันอย่าง "บริด้า" (Emily Cox) ที่คอยเคียงข้างตัวเอกอยู่ไม่ห่าง ซึ่งลำพังชุดความสัมพันธ์ของสองคนนี้มันก็น่ารักดี มันเป็นในลักษณะ "คู่หู" และ "คู่รักด้วย" คือว่าง่ายๆคือตัวละครมันถูกออกแบบมาได้ดีพอสมควรจนเราชื่นชอบได้นั่นแหละ และมันก็จะมีผลในภายภาคหน้าที่ว่า หากมีใครซักคนตายไป impact ที่เกิดขึ้นมันก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3.เซ็ตติ้งของหนังเป็นหนังสงคราม ดังนั้นจึงจุใจกับฉากรบได้แน่นอน : แต่ก็ต้องเบรกใจไว้ก่อนว่าสเกลสงครามของหนังเรื่องนี้มันจะไม่ใหญ่โตมากนะ คืออาจจะหลักร้อยหลักสิบมาฟาดฟันกันบนทุ่งหญ้าก็เท่านั้น โดยที่ไปหาข้อมูลมาหนังให้เหตุผลว่า "ก็ยุคนั้นเขารบกันแค่นี้จริงๆนี่หว่า" ... คือคำว่า "กษัตริย์" ในยุคนั้นก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมาก หมายถึงเป็นเจ้าเมืองขนาดย่อมๆเมืองนึงก็เท่านั้น ความมั่งคั่งก็แค่หีบใหญ่ๆหีบนึง มีวัว มีแพะ แกะ ให้เลี้ยง จบ -- แต่ว่าในสเกลเล็กจ้อยอันนี้มันก็ยังมีความเร้าใจอยู่นะ โดยเฉพาะถ้าใครชื่นชอบการรบดิบๆเป็นกระบวนทัพแบบ Vikings แล้วก็อาจจะเพลินก็ได้ อันนี้ต้องลองตัดสินเอง
.
สรุป! The Last Kingdom เท่าที่ดูไปสองตอนถือว่าหนังชุดที่มีศักยภาพมากๆ สามารถดันเรื่องไปไกลและเร็วได้ภายในเวลา 2 ตอนและตัวละครไม่กี่ชุดทำให้หนังไม่เกิดความยืดเยื้อน่าเบื่อ และตัวละครที่ทำให้เรารู้สึกเอ็นดูได้ไม่ยาก บวกกับสงครามในยุคกลางที่หลายๆคนชื่นชอบกัน ก็อาจจะเป็นหนึ่งในว่าที่ Game of Thrones ของหนังรุ่นใหม่ก็เป็นได้ ... แต่ถ้าว่าเพียงแค่ตอนนี้ก็คงเทียบกันยาก บารมีมันยังห่างกันหลายขุมอยู่ ต้องให้เวลาพิสูจน์กันนิดนึง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้