[หนังโรงเรื่องที่ 195] Valerian and the City of a Thousand Planets - ทัวร์อวกาศระดับ HD by ตั๋วหนังมันแพง


[หนังโรงเรื่องที่ 195] Valerian and the City of a Thousand Planets - ทัวร์อวกาศระดับ HD ; ( Luc Besson, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง

คะแนนความชอบ : B+ (จากสเกล D-A)

**มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญเล็กน้อย

เรื่องย่อ : หนังว่าด้วยมหานคร "อัลฟา" ซึ่งเป็นดาวที่เกิดกลุ่มก้อนยานอวกาศขนาดใหญ่จากเผ่าพันธุ์ต่างๆจำนวนมหาศาลมารวมเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นเมืองที่ก้าวหน้าในเชิงอารยธรรมและนวัตกรรมที่สุดของจักรวาล และ ณ บัดนี้ ก็มีภัยคุกคามที่กำลังกัดกินแกนกลางของดาวดวงนี้ และกลายเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่หนึ่งของจักรวาลอย่าง "วาเลเรี่ยน" (Dane DeHaan) และ "ลอเรลีน" (Cara Delevingne) ต้องเข้าไปกอบกู้สถานการณ์ให้ได้
.
.

ด้วยความที่ผู้เขียนไม่ได้พกความคาดหวังอะไรเข้าไปในโรงก่อนดูด้วย มันเลยออกมาเป็นความรู้สึกที่สบายๆเกินคาด กับหนังเนื้อหาเบาๆที่เหมาะกับการดูคลายเครียดได้ทั้งครอบครัวเรื่องนี้ ถึงแม้มันจะไม่มีอะไร

เราจำไปพูดต่อก็เถอะ แต่โดยรวมแล้วก็รู้สึกพึงพอใจอยู่นะสิ่งแรกที่เซอไพรส์ที่สุดคือ หนังเรื่องนี้มีความเป็น "ลุค เบซง" น้อยมาก! คือตามปกติแล้วมันจะมีลีลาลายเซ็นต์อะไรบางอย่างอยู่ในหนังของผู้กำกับคนนี้เต็มไปหมด ทั้งอารมณ์ โทนภาพ หรือแม้แต่วิธีดำเนินเรื่องก็ตามแต่ แต่ด้วยสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์นี่แหละ ที่ทำให้หนังของเขาถูกกล่าวขานข้ามยุคข้ามสมัยมานักต่อนักแล้ว อย่าง Fifth Element ที่เป็นหนังสร้างชื่อก็ดี หรือไม่ว่า Lucy ที่เป็น phenomenon ระดับนึงตอนเข้าฉายก็ดี ... แต่กับวาเลเรี่ยนมันไม่ใช่

ได้อ่านบทสัมภาษน์มาก่อน จึงได้รู้ว่าหนังเรื่องนี้ถูกสร้างมาจากคอมิกที่ผกก.รักมากกกกกกก และดองไว้ในใจมานานกว่า 30 ปีจนกระทั่งถึงวันที่เทคโนโลยีจะพร้อมเสกอภิมหาความแฟนตาซีในจินตนาการเหมือนที่เขาวาดหวังไว้ ... พอมาถึงวันนี้เทคโนโลยี CG พร้อมแล้ว ผกก.ก็เหมือนเด็กได้ของเล่นที่ชอบ ก็เลยอยากเล่าทุกอย่างที่ตัวเองประทับใจออกมาเป็นหนังให้โลกสดับรับชมกัน

แต่อาจจะด้วยความที่พราวลี่พรีเซ้นเกินไปก็ได้ ทำให้หนังมันอยู่ในภาวะ 'โดนเบียดจนแน่น' คือมีเรื่องราวมหาศาลเกี่ยวกับจักรวาลของวาลีเรี่ยนและอัลฟ่าต่อคิวรอเข้าฉากยาวเป็นกิโล และตัวผู้กำกับเองก็คงรักทุกฉากมากจนไม่อยากจะคัดออกไป คือไม่ว่าจะเป็นงานภาพอลังๆของ "บิ๊ก มาร์เก็ต" ก็อยากอวด หรือจะเป็นประวัติอันยิ่งใหญ่ของมหานคร "อัลฟ่า" ก็อยากขาย (ถึงขนาดให้ตัวละครร่ายยาวถึงสรรพคุณของอัลฟ่าถึงสองสามรอบแน่ะ) โอ้โห แถมยังมีโรมานซ์ระหว่างพระ-นางอีก เรียกได้ว่าความสองชั่วโมงยี่สิบนาทีก็ยังไม่ช่วยนำพาคอนเทนต์มหาศาลของหนังเรื่องนี้ได้เลย

ซึ่งด้วยความแน่นเอี้ยดนี่แหละ มันเลยส่งผลให้ประเด็นของหนังมันดูจับจดไปหน่อย แล้วก็มาเร่งเหยียบมิดตอนช่วงกลาง-ท้ายเรื่องเพื่อให้มันเล่าเรื่องและจบได้ทันเวลา ... บทหนังที่ออกมาบนจอมันเลยดู 'อ่อน' ลงไปอย่างเห็นได้ชัด (นี่ยังสตั้นอยู่เลยตอนหนังเปิดตัวให้เห็นห้องทรมาณสอบสวนของนายพล คือแบบเอางี้เลยเรอะ?) แต่ก็ถือว่าโชคยังดีที่ตัวพล็อตมันก็ไม่ได้ซับซ้อนชวนขบคิดอะไรมากมาย พร้อมกับแยกเป็นขาว-ดำของตัวร้ายออกมาชัดเจนทำให้หนังมันดูย่อยไม่ยาก (ทั้งๆที่ถ้าคิดจะทำจริงก็ทำได้ แต่คงต้องบวกอีกครึ่งชั่วโมง)

สิ่งที่ดีอย่างนึงคือหนังสามารถเสิร์ฟ 'ความบันเทิง' ให้คนดูได้เพลิดเพลินไม่ขาดสาย เริ่มตั้งแต่ฉากรวมสถานีอวกาศในช่วงต้นเรื่องนี่ถือว่าเป็นฉากโปรดของผู้เขียนเลยทีเดียว (นั่งขำอยู่ในโรงคนเดียวกับความเป็น David Bowie) คือมันเป็นการนำเสนอต้นกำเนิดของ 'อัลฟ่า' ได้อย่างมีรสนิยมเอามากๆ ... รวมไปถึงมุกเล็กๆน้อยๆที่หนังใส่เข้ามาก็ทำงานได้ดีเยี่ยม และไม่พูดไม่ได้อย่างความเป็นพ่อแง่แม่-งอนของพระ-นางคู่นี้ที่ค่อนข้างเข้าขาก็ทำให้หนังมันยังคงความเป็น "หนังเบาๆ" ตลอดสองชั่วโมงกว่าได้แบบสบายมาก

และแน่นอนว่าสำหรับ 'งานภาพ' นี่คือสอบผ่านอยู่แล้ว คือมันสวยงามฉูดฉาดมากกับการนำเสนอสุดยอดมหานครและจักรวาลขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมต่างๆมากมายมหาศาลเข้าด้วยกัน ลำพังแค่ปล่อยให้สายตาเพลิดเพลินไปกับภาพสวยๆบนจอนี่ก็อาจจะคุ้มสำหรับบางท่านแล้วก็ได้ (หัวเราะ) แน่นอนว่ามันก็ยังมีกรอบเชยๆของคอมิคที่มีอายุเก่าแก่อยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วสวยงามผ่านทุกโจทย์แน่นอน!

สิ่งที่อาจจะดูแหม่งๆไปหน่อยก็ยังพอมีอยู่บ้าง อาทิเช่น ฉากที่พ่อพระเอกวาลีเรี่ยนของเราต้องแอบปลอมตัวเข้าไปในนครคนเถื่อนเพื่อช่วยนางเอก (จำชื่อไม่ได้จริงๆ บอกแล้วว่าหนังมันไม่ชวนให้จำ) และกองทัพก็เข้าแทรกแทรงไม่ได้โดยให้เหตุผลว่า "การบุกรุกอาจจะเป็นข้อพิพาททางเผ่าพันธุ์ได้" แล้วถามว่าพระเอกเราทำอะไร? ... พระเอกเข้าไปปลงพระชนม์กษัตริย์ของคนเถื่อน แถมฆ่าราษฏรของเค้าไปอีกเกือบร้อยคนจ้าาา ฮัลโหลสวัสดีข้อพิพาท การบุกรุกนี่ดูซอฟไปเลย คือเข้าใจว่าการที่หนังได้เรต 15 มันสามารถใช้อาวุธมีดสังหารสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ได้ แต่ส่วนตัวก็คิดจริงๆนะว่าผู้กำกับคึกจนหนักมือไปหน่อย หรือเนื้อเรื่องส่วนของริฮันน่าเองก็กินเวลาหนังไปเยอะพอสมควร (ก็คงต้องแบ่งเวลาให้เยอะพอบารมีนักแสดงล่ะมั้ง) และหลายๆอย่างมันสามารถตบให้ลงตัวกว่านี้ได้
.
.

สรุปแล้ว Valerian and the City of a Thousand Planets ก็เป็นหนังดูง่าย เนื้อหาเบา เหมาะแก่การไปดูทั้งครอบครัวมากๆ ถึงแม้ว่าด้วยตัวบทหรือเนื้อเรื่องมันจะอ่อนไปหน่อยจนไม่น่าจดจำก็ตาม แต่ในแง่ความบันเทิงมันก็โอเคแหละ ไม่รู้สึกเสียดายค่าตั๋วแต่อย่างใด ถ้าใครไม่ชอบโดนเครื่องบินทิ้งระเบิดเครียดๆก็ขอแนะนำให้เบนตัวมาทางนี้ได้ ไหนๆพฤหัสที่ผ่านมามันก็ไม่มีหนังน่าสนใจเข้ามาซักเรื่องทั้งที

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่